ไม่รู้ว่าต่างจ้องมองกันและกันนานแค่ไหน ถูซินเยว่รู้สึกถึงความเมื่อยล้าของสายตา จึงได้เอามือขึ้นมาขยี้ตาตนเอง และไม่นาน นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างแรง สายตาคมกริบจ้องมองไปที่ฉงเป่าใช่แล้ว ก็คือฉงเป่า!ฉงเป่าซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากมิติตั้งแต่เมื่อไหร่เห็นถูซินเยว่จ้องมองด้วยสายตาอันดุดัน ฉงเป่าไม่เพียงไม่นึกกลัว ยังหยิบเอาผ้าห่มมาจากข้าง ๆ ห่อหุ้มร่างกายอ้วนท้วนของตัวเองไว้อีกเพราะการอยู่ในมิตินั้น ชั่วนาตาปีมีแต่ความอบอุ่น ฉงเป่าในฐานะผู้พิทักษ์แห่งมิติ สามารถควบคุมอุณหภูมิในนั้นได้ แต่หลังจากที่ออกจากมิติมา ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปขณะนี้อากาศข้างนอกเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ยังคงมีความหนาวเย็นอยู่โดยรอบ ในขณะที่ฉงเป่าสวมใส่เพียงเสื้อบังทรงตัวเดียว แขนขาล้วนเปลือยเปล่า จึงย่อมจะหนาวเย็นเป็นธรรมดาหลังจากมุดเข้าผ้าห่มแล้ว ฉงเป่าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ก็ค่อยถอนใจโล่งอกหน่อย"เจ้าอ้วน จะพูดอะไรกับข้านะ?" หลังจากปรับสภาพได้แล้ว ฉงเป่าก็ค่อยแหงนหน้าขึ้นมองถูซินเยว่ และทำเหมือนไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอยู่ถูซินเยว่มองดูฉงเป่าเล็กน้อย พลางสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่ครู่หนึ่ง"เจ้าออกมาจากมิติไ
ซูจื่อหังก็ตกใจเช่นกัน และมองไปยังฉงเป่าอย่างไม่คาดคิดฉงเป่ารีบพูดว่า "ข้าชอบพี่ซินเยว่ ข้าไม่อยากไปจากพี่ซินเยว่ ข้าจะอยู่ที่นี่!"พูดเป็นด้วยหรือเนี่ย?ซูจื่อหังรู้สึกโล่งใจไปไม่น้อย ถ้าพูดเป็นล่ะก็ การจะถามหาว่าพ่อแม่ของเด็กคนนี้อยู่ที่ไหน แล้วเขาไปเดินพรากมาได้อย่างไร ก็จัดการได้ง่ายขึ้นแล้วแต่เมื่อเขาก้มศีรษะลงและไปเห็นเป้ากางเกงของฉงเป่าเข้า พอพบว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้ชาย เมื่อเห็นฉงเป่าที่ฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดของถูซินเยว่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทําไมในใจของเขาถึงได้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกันทันมเขายื่นมือออกมาดึงฉงเป่าออกจากร่างของถูซินเยว่ทันทีซูจื่อหังเองก็ไม้ได้ใช้แรงมากสักเท่าไหร่นัก แต่ฉงเป่าดิ้นขัดขืนไปมาอยู่สองครั้งก็ยังไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือของอีกฝ่ายไปได้พอดิ้นไม่หลุด เขาก็ได้แต่จ้องเขม็งไปยังซูจื่อหังที่บัดนี้ใช้แขนทั้งสองข้างชูตัวเองอยู่"ปล่อยข้านะ!" เขาใส่แค่เอี๊ยมตัวเดียวเท่านั้น ยังไงเขาก็ไม่ยอมลุกออกจากผ้าห่มไปหรอก ก็ข้างนอกมันหนาวจะตายนี่นา!สีหน้าของฉงเป่าน้อยอกน้อยใจขึ้นมาในทันใดซูจื่อหังเองเห็นแบบนี้ก็หมดปัญญา ตัวเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ ๆ แต่กลับไปรังแ
ตอนกินข้าวเช้า ถูซินเยว่ฉวยโอกาสตอนที่ทั้งซูจื่อหังกับนางหยูไม่อยู่ จงใจหรี่ตามองฉงเป่าแล้วถามว่า "เมื่อคืนนอนเป็นยังไงบ้าง?"ไม่พูดเรื่องนี้ยังดีอยู่ พอพูดถึงเรื่องนี้เข้า ฉงเป่าก็รู้สึกไม่ดีใจทันทีเขาวางตะเกียบลง เหลือบมองถูซินเยว่แล้วพูดว่า "เจ้ายังกล้ามาถามอีก! เมื่อวานให้เจ้าช่วยข้าเจ้าก็ไม่ช่วย แต่ก็นะ แม่สามีเจ้านี่เป็นคนดีจริง ๆ ..."เมื่อคืนกลางดึกยังตื่นขึ้นมาห่มผ้าห่มให้เขาแม้ว่าฉงเป่าจะมีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว แต่เนื่องจากเขาอาศัยอยู่ในมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ดังนั้นนิสัยของเขาจึงเรียบง่ายมาก เมื่อนางหยูดีกับเขา เขาก็ดีกับนางหยูกลับถูซินเยว่กระตุกมุมปาก เธอก้มหน้ากินข้าวต้มไปคําหนึ่งจากนั้นเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า "ข้าว่าเจ้าควรจะลองคิดดูว่าควรจะอยู่ในบ้านนี้ตลอดไปยังไงจะดีกว่านะ"ฉงเป่าไม่ใช่คนตระกูลซู หากถึงเวลายังหาคนในครอบครัวของฉงเป่าไม่เจอสักที ไม่แน่ว่านางหยูกับซูจื่อหังอาจจะไม่ยอมให้ฉงเป่าอยู่บ้านตลอดไป บางที พวกเขาอาจจะหาครอบครัวที่ดีแล้วส่งฉงเป่าไปให้ก็เป็นไปได้เดิมทีถูซินเยว่แค่พูดเตือนไปอย่างนั้น แต่ไม่คิดว่า ฉงเป่าฉงเป่ากลับทำเสียงฮึดฮัดแล
เดิมทีถูชิวหลานมาด้วยอารมณ์อยากเยาะเย้ยถูซินเยว่ แต่ว่าพอนางได้มาเห็นบ้านที่นางหลินชี้แล้วก็ต้องตกตะลึงแม่เจ้า!นี่ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม?นี่คือบ้านใหม่ที่ซูจื่อหังสร้างงั้นหรือ?ลานบ้านที่มีทางเข้าออกสี่ทางนี่ถึงจะดูไม่ใหญ่เท่าบ้านตระกูลถู แต่เนื่องจากเป็นบ้านสร้างใหม่ ทั้งอิฐทั้งกระเบื้องมุงหลังคาต่างก็เป็นของใหม่ ชายคาสีแดงไม้กระดานใหม่เอี่ยม นอกลานบ้านเป็นกำแพงสูง ดูแล้วสง่าราศรีดียิ่งนักคนจน ๆ อย่างซูจื่อหังทำไมถึงสร้างบ้านแบบนี้ออกมาได้กัน?อย่าว่าแต่ถูชิวหลานไม่เชื่อเลย ขนาดแม่เฒ่าตระกูลถูที่อยู่ข้าง ๆ ยังต้องเบิกตากว้างเอ่ยถามว่า "เจ้ามาผิดที่หรือเปล่า?""เปล่านะท่านแม่ ที่นี่แหละบ้านใหม่ของซินเยว่" นางหลินส่ายหน้า สายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเมื่อก่อนเพราะว่าถูซินเยว่สติไม่ค่อยดี ดังนั้นถูชิวหลานกับแม่เฒ่าตระกูลซูต่างก็ดูถูกดูแคลนนางและซินเยว่ลูกของนางด้วย ต่อมาที่ซินเยว่ออกเรือนได้ไปแต่งงานกับซูจื่อหังก็เป็นไปตามแผนที่พวกเขาวางไว้ เพราะพวกของแม่เฒ่าตระกูลถูก็ดูแคลนญาติจน ๆ อย่างตระกูลซูเช่นกันแต่ตอนนี้ซินเยว่กับจื่อหังมีชีวิตที่ดี แถมยังสร้างบ้านหลังใหญ่สวยงามเช
"พี่ซินเยว่!" เสี่ยวเป้ยเข้ามาปุ๊ปก็กอดเอวของถูซินเยว่พูดด้วยความดีใจว่า "พี่ซินเยว่คิดถึงเสี่ยวเป้ยไหม!""คิดถึงสิ!" ถูซินเยว่ยิ้มพลางเอามือบีบแก้มเสี่ยวเป้ยเสี่ยวเป้ยสูงขึ้นเร็วมาก แต่เวลายิ้มก็ดูน่ารักมากเหมือนกัน ถูซินเยว่มองเสี่ยวเป้ยแล้วก็คิดว่าได้เวลาต้องคุยกับแม่เรื่องส่งเสี่ยวเป้ยไปเรียนที่สำนักบัณฑิตได้แล้ว"เข้ามาเร็ว เดี๋ยวพี่เอาอะไรอร่อย ๆ ให้กิน" ถูซินเยว่เงยหน้าขึ้น ไม่อยากจะทำให้เสียบรรยากาศจึงหันมองถูชิวหลานกับแม่เฒ่าตระกูลถูแล้วบอกว่า "ท่านป้ากับท่านย่าก็เข้ามานั่งก่อนสิ"ถูซินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ไม่คิดว่าถูชิวหลานได้กำไรแล้วยังจะทำตัวพาลอีก นางพูดด้วยน้ำเสียงส้อเสียดว่า "จุ๊ ๆ ๆ ดูเครื่องเรือน ดูการตกแต่ง ทั้งตู้ทั้งโต๊ะคงทำใหม่หมดเลยสินะ? ข้าง ๆ นั่นยังมีไม้แกะสลักอีก ทำไมจู่ ๆ พวกเจ้าถึงได้รวยขึ้นมาได้ขนาดนี้นะ คงไม่ใช่ได้จากการทำอะไรที่ผิดศีลธรรมหรอกนะ?"ตระกูลซูยากจนมาตั้งหลายปี จู่ ๆ ก็มีเงินขึ้นมาแบบนี้มันก็ชวนสงสัยจริง ๆ นั่นแหละแต่ว่าเงินนี้เป็นเงินที่ถูซินเยว่กับซูจื่อหังค่อย ๆ สะสมกันมาที่ละเล็กทีละน้อย ได้มาโดยสุจริต ครั้งนั้นที่ไปงัดเงินมาจ
"ท่านแม่วางใจได้ ข้ากับท่านพี่จะพยายามทำให้ท่านได้อุ้มหลานเร็ว ๆ!" ถูซินเยว่ที่โดนบ่นจนหูชาจึงทำได้แต่พยักหน้ารับปากไปตามน้ำนางหลินรั้งมือเธอแล้วพูดว่า "เจ้าจะหลอกแม่เล่นไม่ได้นะ หนังสือที่เอาให้ดูคราวก่อน...""ท่านแม่ พอแล้ว ข้างมีคนอยู่เยอะแยะ" ถูซินเยว่รับไม่ไหวแล้วจริง แม่ของเจ้าของร่างปกติก็ดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่ในเวลาสำคัญก็มักจะพูดอะไรร้อนแรงแบบนี้ออกมาได้ทุกทีเมื่อนึกถึงภาพเร้าอารมณ์เมื่อคราวก่อน ตอนนี้ถูซินเยว่ก็ยังรู้สึกหน้าร้อนฉ่าอยู่เลยเธอก็ไม่อยากคุยเรื่องส่วนตัวกับนางหลินแล้ว จึงลากนางหลินไปช่วยงานในครัวแทนถูชิวหลานกับแม่เฒ่าตระกูลถูนั่งอยู่ในลานบ้านสักพักก็เข้ามาเดินวนในบ้านอีกรอบ สุดท้ายก็อยู่ต่อไม่ไหวจะกลับแล้วถูซินเยว่มาส่งนางหลินที่หน้าประตูแล้วบอกว่า "ท่านแม่ กลับไปก็ดูแลสุขภาพดี ๆ ด้วย อย่าเหนื่อยเกินไปนัก แล้วเสี่ยวเป้ยก็เหมือนกัน เรื่องเรียนต้องคิดเตรียมไว้ล่วงหน้าได้แล้ว""ไม่ต้องห่วงหรอก" ถูซานพยักหน้าบอกว่า "เรื่องนี้เดี๋ยวเราจะกลับไปคุยกัน เจ้ากับจื่อหังมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว"ถูซินเยว่กับซูจื่อหังมองตากัน สองคนต่างมีแววยิ้มกริ่มในสายตา ไม่ทันที่เธ
นางยื่นมือออกมาคว้าไม้เท้าไว้ โดยไม่รอให้แม่เฒ่าตระกูลถูได้ทันตั้งตัว จากนั้นจึงออกแรงเหวี่ยงไม้เท้าไปด้านข้างแต่นึกไม่ถึงว่าแม่เฒ่าคนนี้กลับออกแรงจับไม้เท้าไว้แน่นพอถูชิวหลานออกแรงเหวี่ยงไม้เท้าออกไป แม่เฒ่าก็กระเด็นตกร่องน้ำที่อยู่ด้านข้างลงไปทันที"โอ๊ยย!" แม่เฒ่าถูตะโกนร้องขึ้นอย่างน่าเวทนานางหลินและถูซานที่ตามมาข้างหลังก็ตะลึงงันไปทันที ทำอะไรไม่ถูกยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่เฒ่าจึงได้รีบวิ่งมาพยุงแม่เฒ่าตระกูลถูลุกขึ้นจากร่องน้ำร่องน้ำร่องนี้เป็นร่องน้ำที่ใช้ระบายน้ำเสีย ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยเศษอาหารบูดเน่าและดินโคลน ขณะที่แม่เฒ่าถูถูกดึงขึ้นมานั้น เสื้อผ้าที่เพิ่งจะเปลี่ยนใหม่ในวันนี้ก็เต็มไปด้วยเศษอาหาร ช่างน่าเวทนาอย่างยิ่ง"นังลูกอตัญญู นังลูกอกตัญญูสมควรตาย!" แม่เฒ่าตระกูลถูที่ปกติเป็นคนรักความสะอาดอย่างมาก ผมเผ้าต้องหวีให้เรียบร้อยไม่เคยแตกเส้น ตอนนี้เมื่อได้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งของตัวเอง ก็อยากจะฆ่าถูชิวหลานให้ตายแต่น่าเสียดาย เมื่อนางหลินพยุงนางขึ้นมาจากร่องน้ำแล้วนั้น ถูชิวหลานก็หายไปแล้วอีกฝ่ายวิ่งหนีไปตั้งนานแล้ว ท
ถูซินเยว่ตอบตกลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ซูเฟิ่งอี๋รู้สึกไม่แน่ใจนางเหลือบมองถูซินเยว่แล้วถามเบา ๆ ว่า "เจ้าพูดจริงหรือ เรื่องนี้เจ้าจะช่วยข้าจริง ๆ หรือ""ก็จริงน่ะสิ ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม" ถูซินเยว่พยักหน้าเธอไม่ได้ตั้งใจจะช่วยซูเฟิ่งอี๋ แต่ว่าเหลยชีที่ซูเฟิ่งอี๋พูดถึงนั้น หากแต่งเข้ามาจริง ก็จะกลายมาเป็นอาของตน แน่นอนว่าถูซินเยว่ไม่อยากได้อาหญิงตัวแสบเข้ามาอีกคนนอกจากนี้ อีกไม่กี่วันเธอก็ต้องเข้าไปในเมืองอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นทางผ่าน"วางใจเถอะ อีกสองวันข้าจะมาแจ้งข่าว" ถูซินเยว่พูดกล่าวซูเฟิ่งอี๋ยังคงรบเร้าด้วยความไม่วางใจ "งั้นเจ้าต้องรีบหน่อย อีกสามวันท่านแม่จะเข้าไปดูตัวแม่นางเหลยชีคนนั้นในอำเภอแล้วหากว่าท่านแม่ถูกใจขึ้นมา ไม่แน่ว่าเรื่องตบแต่งหมั้นหมายก็อาจจะตกลงกันในทันที ถึงตอนนั้นข่าวคราวที่ถูซินเยว่ไปสืบมาก็คงไร้ประโยชน์"ท่านย่าก็จะไปด้วย?" ถูซินเยว่รู้สึกประหลาดใจแม่เฒ่าตระกูลซูอายุปูนนั้นแล้ว ต้องระหกระเหินไปถึงในตัวอำเภอเพื่อหาภรรยาให้ซูฟาเสียง แสดงให้เห็นว่าแม่เฒ่าตระกูลถูนั้นรักลูกชายคนนี้มากเพียงใด และไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูฟาเสียงเคยทำเรื่องไม่ดีกับท่านแม่มาก่อน
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด