ทุกคนต่างมองขึ้นไปข้างบน รวมถึงฉู่เหมียนกับโม่อี้ต้วนจิ่นเหนียนกอดอกและมองไปยังเจ้าของคลับที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ลุงหวง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังใช้วิธีสกปรก ๆ แบบนี้เหมือนเดิมเลยนะครับ”ลุงหวงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขายืนหันไปทิศทางตรงข้ามกับแสง ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของสองคนนี้ได้ชัดเจน แต่จากน้ำเสียงที่ได้ยิน ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยขนาดนี้?“ฉันขอเตือนพวกนายทั้งสองไว้ก่อน อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” ลุงหวงพูดพร้อมชี้ไปที่พวกเขา“ลุงคิดว่าพวกผมไม่คู่ควรที่จะยุ่งเหรอครับ?” ต้วนจิ่นเหนียนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจลุงหวงยิ้มเยาะ “เรื่องของคลับ WK ไม่ใช่เรื่องที่คนภายนอกจะมายุ่ง”กู้ว่างเชินยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาหัวเราะเบา ๆ พร้อมมองลุงหวงด้วยสายตาเยือกเย็น น้ำเสียงเริ่มเย็นชาและเฉียบคม “แล้วถ้าเกิดว่าคนที่ลุงคิดจะยุ่งเป็นคนของผมล่ะ?”ฉู่เหมียนหายใจติดขัด เมื่อได้ยินประโยคนั้น ความรู้สึกในใจของเธอช่างยากจะอธิบายตอนที่เขาเพิ่งขึ้นปีหนึ่ง เธอยังเรียนอยู่มัธยมปลาย วันหนึ่งเธอไปหาเขาที่มหาวิทยาลัย แต่โดนพวกเด็กอันธพาลกลุ่มหนึ่งกลั่นแกล้งเมื่อก่อนเขาก็เป็นแบบนี้ ยืนอยู่ไม่ไกลนัก สายตาของเขามีรอย
“ลูกพี่บอกว่านิ้วนี้คารวะต่อทุกสรรพสิ่งบนโลก!” โม่อี้ตะโกนเสียงดัง ราวกับคนบ้าคลั่งฉู่เหมียนยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาโม่อี้มองไปที่ฉู่เหมียน ในใจรู้สึกสะใจเป็นอย่างมากฉู่เหมียนเงยหน้าขึ้น สบตากับสายตาลึกล้ำของกู้ว่างเชิน เธอยิ้มบาง ๆ “คุณกู้ ขอบคุณนะคะ”พูดจบ ฉู่เหมียนก็หันมองขึ้นไปบนเวที ส่งสัญญาณทางสายตาให้เสิ่นเหรา สื่อเป็นนัยว่าให้พวกเธอออกไปกันได้แล้วสีหน้ากู้ว่างเชินดูซับซ้อน ภายในใจเหมือนมีคำพูดนับพัน แต่สุดท้ายทำได้เพียงมองฉู่เหมียนเดินจากไปเสิ่นเหราเดินฝ่าฝูงชนออกมา และเดินมายังที่เดิมพันแล้วพูดอย่างจริงจัง “ฉันเดิมพันว่าฝ่ายแดงชนะ เพราะฉะนั้นฉันชนะ”เด็กน้อยในวงพนันมองเสิ่นเหราด้วยสายตาลึกซึ้ง หลังจากที่รับสายตาจากลุงหวง เขาก็นำเงินในถังทั้งหมดมามอบให้กับเสิ่นเหรา พร้อมกับนำเงินสดอีกหลายปึกมาให้เธอเสิ่นเหรารับเงินด้วยความตั้งใจทางด้านหลังได้มีคนชนเธอ ทำให้เธอเกือบจะล้มลงแต่แขนของเธอก็ถูกต้วนจิ่นเหนียนดึงเอาไว้ได้ทัน เสิ่นเหราเงยหน้าขึ้นและตั้งตัวได้ทันพอดี“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” ต้วนจิ่นเหนียนมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเสิ่นเหราส่
“เหล่ากู้ งั้นฉันส่งนายแค่นี้นะ ไม่ต้องชวนฉันเข้าไปดื่มชาล่ะ เพราะฉันไม่…” ปัง!ประตูรถถูกปิดลงด้านหน้าวิลล่าของกู้ว่างเชิน ต้วนจิ่นเหนียนกำพวงมาลัยแน่นแล้วสบถออกมา “กู้เชิน นายนี่มันไม่มีหัวใจจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เมียหนี!”กู้ว่างเชิน: “…” เขาหันกลับมามองต้วนจิ่นเหนียนในรถด้วยสายตาอำมหิตต้วนจิ่นเหนียนสบถ “ฉันก็เกรงใจไปงั้น ไม่คิดจะชวนฉันเข้าไปดื่มชาในบ้านจริง ๆ เหรอ? หรือว่ามีผู้หญิงซ่อนอยู่ในบ้าน?”“พูดบ้าอะไรของนาย?” กู้ว่างเชินขบฟันและกำลังจะเปิดประตูรถลากต้วนจิ่นเหนียนออกมาต้วนจิ่นเหนียนเห็นท่าทางนั้นก็หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนเหยียบคันเร่งแล้วขับออกไปกู้ว่างเชินยกมือขึ้นนวดขมับ เขารู้สึกว่าต้วนจิ่นเหนียนช่างพูดมากจริง ๆเมื่อเขาหันกลับมาและกำลังจะเดินไปที่ประตู ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าประตู ดูท่าทางน่าสงสารหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขา “อาเชิน…” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือกู้ว่างเชินขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเธอเขาก็รู้สึกหน่วงในใจเขาเปิดประตูเข้าไปลู่เจียวเดินตามเข้ามา “ฉันโทรหาคุณทั้งวันเลยนะ”“อาเชิน ฉันรู้แล้วว่าฉันผิดไปจริง ๆ” ลู่เจียวเดินตามเขามาติด ๆ
กู้ว่างเชินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเงียบ ๆ โทรศัพท์หาอี้เซินลู่เจียวรีบคว้ามือเขาไว้ “อย่าเลย”“คุณมีไข้ ควรไปโรงพยาบาล ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมคงอธิบายกับตระกูลลู่ไม่ได้” เขาดึงโทรศัพท์กลับมาและพยายามโทรหาอี้เสิ่นอีกครั้งลู่เจียวถามทันทีว่า “คุณรีบไล่ฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”กู้ว่างเชินเงียบไปสามวินาที แล้วอธิบายอย่างจริงจัง “ลู่เจียว คุณมีไข้ ตอนนี้ต้องไปโรงพยาบาล เข้าใจไหม?”“ฉันไม่เข้าใจ ฉันรู้แค่ว่าวันนี้ฉันไม่ได้เจอคุณ และคุณก็ไม่อยากเจอฉัน พอเจอหน้ากัน คุณก็กลับไล่ฉัน!” ลู่เจียวทรุดตัวลงนั่งบนพื้นและร้องไห้อย่างเจ็บปวดกู้ว่างเชินก้มมองลู่เจียว เขาเม้มริมฝีปากถอนหายใจ ชัดเจนว่าเขารู้สึกเบื่อหน่าย“ฉันแค่ทำผิดเล็กน้อย แต่คุณกลับทำแบบนี้กับฉัน แล้วตอนที่ฉันเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อคุณ ฉันเคยบ่นเสียใจสักครั้งไหม?” ลู่เจียวปิดหน้าร้องไห้ เสียงสั่นเครือด้วยความเศร้าสีหน้าของกู้ว่างเชินที่เคยแสดงความรู้สึกพลันหายไปทันที เหลือเพียงความเย็นชาเขาไม่อยากให้ลู่เจียวพูดถึงอดีต แต่ลู่เจียวมักจะพูดถึงมันทุกครั้งที่ทะเลาะกันกู้ว่างเชินตัดสินใจโทรหาอี้เซินทันที พูดเสียงเย็นชาว่า “มาที่วิลล่าที พาคุณลู่ไปโรงพ
ฉู่เหมียนส่งเสิ่นเหรากลับบ้าน ทันทีที่กำลังจะจากไป ก็ได้ยินเสิ่นเหราเอ่ยถามว่า “งานเลี้ยงวงการบันเทิงคืนพรุ่งนี้ เธอจะไปไหม?”ฉู่เหมียนมองเสิ่นเหราเสิ่นเหราเดินมาหาเธอและพิงที่กระจกหน้าต่างของรถ เป่าปอยผมเบา ๆ ดูน่าสงสารเหมือนเด็กน้อยกำลังขอความช่วยเหลือเสิ่นเหราอยากให้ฉู่เหมียนนั้นไปกับเธอจริง ๆ เพราะการไปงานเลี้ยงคนเดียวโดยไม่มีคนรู้จักมันช่างน่าเบื่อซะเหลือเกินเมื่อฉู่เหมียนเห็นเสิ่นเหราทำท่าน่าสงสารก็ถอนหายใจยาว จะปฏิเสธผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน! “ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอ” เอ่ยตอบอย่างจนปัญญาเสิ่นเหรายิ้มจนตาหยี “งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”“ถึงตอนนั้นฉันจะแย่งความสนใจจากเธอนะ” ฉู่เหมียนเอ่ยแซวเธอเสิ่นเหราไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยเมื่อมองฉู่เหมียนจนลับสายตา เสิ่นเหราถึงได้เดินกลับเข้าบ้านระหว่างทางกลับบ้านฉู่เหมียนได้เปิดข่าวคืนนี้ดูโชคดีเรื่องที่เธอไปแข่งรถและทำเรื่องโหดเหี้ยมนั้นกลับไม่มีใครเอาไปเปิดเผยทันใดนั้นฉู่เหมียนก็รู้สึกหิวขึ้นมา เธอโทรศัพท์หาโม่อี้ “พี่จะพาไปกินข้าว ไปไหม?”โม่อี้รีบขับรถตามมาทันทีฉู่เหมียนมองเขาผ่านกระจกรถและยิ้มรถเร่งความ
“ตอนนี้นักแสดงหญิงที่มาคือ “มิกกี้” มิกกี้เพิ่งดังจากซีรีส์ออนไลน์งบประมาณต่ำ! หน้าตาของเธอเรียกได้ว่าสวยไม่แพ้ใครจริง ๆ!”ฉู่เหมียนกัดลูกอมยืนอยู่ข้างหลังสื่อมวลชน กำลังฟังสื่อที่กำลังถ่ายทอดสดแนะนำแขกในคืนนี้“เสิ่นเหราล่ะ? เสิ่นเหรายังไม่มาอีกเหรอ” สื่อมวลชนมองคอมเมนต์ในการถ่ายทอดสด“เสิ่นเหราใกล้จะมาแล้วล่ะค่ะ อย่าเพิ่งรีบกันนะ สาว ๆ!”ฉู่เหมียนมองคอมเมนต์บนมือถือ ส่วนใหญ่กำลังพูดถึงเสิ่นเหรา ดูเหมือนแฟนคลับของเธอเยอะมากจริง ๆ!“เหมียนเหมียน ทำไมแกมาอยู่ที่นี่ได้?” แขนของเธอถูกชายคนหนึ่งจับไว้เมื่อฉู่เหมียนหันไปก็พบเข้ากับฉู่เทียนหยาง เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าและพยักหน้าวันนี้ลุงของเธอใส่สูทสีดำ บอกเลยว่าดูหล่อเหลาเอาการทีเดียว“วันนี้เป็นงานเลี้ยงของวงการบันเทิง แต่ดูแกใส่เสื้อผ้าสิ!” ฉู่เทียนหยางชี้ไปที่ฉู่เหมียนฉู่เหมียนก้มลงมองตัวเองวันนี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีดำ ดูสง่างามและเรียบหรูเธอสวมชุดนี้แล้วมันทำไมหรือ? มีอะไรไม่เหมาะสมหรือเปล่า?“ไม่มีเครื่องประดับเลย แถมสีลิปสติกก็ไม่ฉูดฉาด! แกจะโดนดาราหญิงคนอื่นกลบความโดดเด่นหมดเอานะ” ฉู่เทียนหยางตำหนิเธอฉู่เหมียนรู้
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาก็เจอเข้ากับพวกเธอพอดี“นั่นต้วนจิ่นเหนียนนี่” ฉู่เหมียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยต้วนจิ่นเหนียนยิ้มให้แล้วโบกมือทักทาย “สวัสดีครับ”เสิ่นเหราพยักหน้าให้ต้วนจิ่นเหนียนเสมือนว่าเป็นการทักทายต้วนจิ่นเหนียนจ้องมองเสิ่นเหราเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาออกไปอย่างเงียบ ๆ “คุณต้วนก็มางานเลี้ยงนี้ด้วยเหรอคะ” ฉู่เหมียนเอียงศีรษะถาม“อ๋อ ปกติผมก็ไม่มาหรอกครับ วันนี้ที่มาก็เพราะมีธุระน่ะ” ต้วนจิ่นเหนียนยิ้มแล้วพูดอย่างกระตือรือร้นที่จริงฉู่เหมียนเองไม่ได้คิดอยากจะถามว่าธุระนั้นคือเรื่องอะไร แต่เขากลับพูดขึ้นมาเองว่า “ผมมาตามหาดาราคนหนึ่ง มีธุระอยากจะคุยกับเธอน่ะครับ”“อย่างนี้นี่เอง” ฉู่เหมียนพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ไม่รู้ว่าเป็นดาราคนไหนโชคดีได้ร่วมงานกับประธานต้วนนะคะ การได้ร่วมงานกับคุณถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยล่ะค่ะ”เสิ่นเหรายิ้มบาง ๆ และเอ่ยเสียงเรียบว่า “งั้นก็ขอให้คุณเจรจาสำเร็จนะคะ”เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มในแววตาค่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้น “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นครับ”พูดจบ ต้วนจิ่นเหนียนก็เดินไปทำธุระต่อฉู่เหมียนและเสิ่นเหราต่างยืนกอดอก แล้วมองไปที่แผ่นหลังของ
ฉู่เหมียนเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เจอเข้ากับหานซือหลี่“หานซือหลี่!” เธอโบกมือด้วยความตื่นเต้นหานซือหลี่ประหลาดใจ “เหมียนเหมียน คุณก็มาที่นี่ด้วยเหรอ?”“ฉันโดนเสิ่นเหราลากมาน่ะ แล้วคุณล่ะ?” เธอเอ่ยถามเขา“คุณรู้จักเสิ่นเหราด้วยเหรอ?” หานซือหลี่รู้สึกอึ้งฉู่เหมียนเบ้ปากเล็กน้อย “พูดอะไรน่ะ เสิ่นเหราเป็นเพื่อนสนิทของฉัน พวกเรารู้จักกันมาหลายปีแล้วนะ! ฉันมองดูเธอค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นซุปตาร์ดังเลยนะ!”ทันใดนั้นหานซือหลี่ก็ยกยิ้มขึ้น “งั้นผมขอร้องคุณสักเรื่องได้ไหม?”ฉู่เหมียนหรี่ตา เขาจะขอร้องเรื่องอะไรกัน?“พรีเซนเตอร์ร้านเครื่องประดับของพวกผมหมดสัญญาพอดี เลยอยากหาพรีเซนเตอร์คนใหม่ เสิ่นเหราเหมาะสมมาก แต่คิวเธอก็แน่นมากเลย นัดทีไรก็ไม่เคยได้สักที วานคุณช่วยนัดให้ผมหน่อยได้ไหม?”“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวรอให้เสิ่นเหราว่างก่อน ฉันจะชวนเธอมากินข้าวด้วยกัน คุณคุยกันเองนะคะ แต่จะสำเร็จไหมฉันก็ไม่รู้ เพราะฉันเคารพการตัดสินใจของเพื่อน” ฉู่เหมียนยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มนั้นช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นหานซือหลี่ประสานมือขอบคุณ “แค่ได้เจอกันก็ถือว่าดีมากแล้ว ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณคุณมาก ๆ!”ทั้งสอง
ฉู่เหมียนไปที่ฐาน M ในทันที เธอต้องการรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องลู่เจียวเธอทนไม่ได้กับความอับอาย แม้แต่นิดเดียวก็ทนไม่ได้!โม่อี้กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล เขาตรวจสอบทุกมุมแล้ว แต่ก็หาคนที่เข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการไม่พบ“ดูกล้องวงจรปิดตรงหน้าต่างซิ” ฉู่เหมียนสั่งโม่อี้เสียงเย็นโม่อี้หันไป ก็เห็นฉู่เหมียนยืนอยู่ข้างหลังเขา “หัวหน้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”“เมื่อกี้” ฉู่เหมียนพูดเสียงแข็ง ชัดเจนว่ากำลังโกรธ คำสองคำนั้นเหมือนเค้นผ่านไรฟันออกมาโม่อี้กำลังตรวจสอบอย่างตั้งใจมาก จนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอมาโม่อี้ร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง รีบเปลี่ยนภาพกล้องวงจรปิดไม่ลืมเหลือบมองฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังดูตรงหน้าต่าง… เดี๋ยวนะ“หน้าต่างโรงพยาบาลเหรอ?” โม่อี้เหยียดยิ้ม ดูเหมือนจะไม่เชื่อ “หัวหน้า นั่นมันชั้นที่สามสิบกว่านะ คนคนนั้นจะเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อแจ้งเบาะแสเรื่องลู่เจียวเหรอ? บ้าไปแล้ว!”แล้วก็ไม่มีที่ให้เข้าไปด้วยนี่นา?“นอกหน้าต่างห้องทำงานของหลินเฉิงชุยมีระเบียง พอจะเข้าไปได้” ฉู่เหมียนคลายความสงสัยของเขาโม่อี้รีบตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห
“ฉันไม่ได้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับน้องสาวคุณ เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ฉู่เหมียนไม่อยากติดต่อกับคนตระกูลลู่“คุณฉู่ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ลู่อี้อธิบายฉู่เหมียนเงียบไปสามวินาที ก่อนจะเดินไปที่รถ “คุยกันตรงนี้แหละ”ลู่อี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้“ฉู่เหมียน ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่บัตรใบนี้มีมูลค่าสองล้าน” ลู่อี้ยื่นบัตรเครดิตมาให้ฉู่เหมียนตกใจเมื่อเห็นบัตรเครดิตใบนี้เขาหมายความว่ายังไง?“ขอให้คุณใจดีกับน้องสาวผมด้วย” เขาจ้องฉู่เหมียน นัยยะคือ เรื่องนี้เป็นฝีมือคุณ รับเงินสองล้านนี้ไป แล้วจบเรื่องไปซะฉู่เหมียนหัวเราะเขาคิดจะใช้เงินฟาดหัวเธอ นี่ไม่ใช่การดูถูกเธอหรอกเหรอ?“คิดว่าเงินแค่สองล้านจะเปลี่ยนทัศนคติของฉันที่มีต่อน้องสาวคุณได้เหรอ?” ฉู่เหมียนหยิบบัตรเครดิตขึ้น พลางจ้องมองลู่อี้อย่างเยาะเย้ย “ฉันจ่ายให้คุณสองล้าน หวังว่าคุณจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก เป็นคุณจะรู้สึกยังไง?”“ฉู่เหมียน คุณไม่ยุติธรรมเลย! กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ!” ลู่อี้ขมวดคิ้ว คิดว่าฉู่เหมียนไม่เข้าใจเหตุผล“ฝ่ายที่ไม่ยุติธรรมคือตระกูลลู่ของคุณต่างหาก!” ฉู่เหมียนโยนบัตรเครดิตใส่ลู่อี้พวกเขาทั้งคร
ชูหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เธอพูดว่า “ไม่มีเลย ตอนนั้นเลิกงานพอดี ฉันเลยเอาเอกสารมาให้ผู้อำนวยการ”ฉู่เหมียนเงียบไปสองสามนาที เธอมองวิดีโอในโทรศัพท์ สักพักก็คิดอะไรไม่ออก “ค่ะ”ถ้าไม่ใช่ชูหลานที่เอาเข้ามา งั้นจดหมายร้องเรียนที่ไม่ระบุชื่อนี่บินเข้ามาเองงั้นเหรอ?ไม่ไกลนัก หม่าจือหยางเดินเข้ามา เขามีสมุดประวัติการรักษาสองเล่มในมือ พูดพลางเดินเข้ามา “คุณหมอชู พรุ่งนี้ผมขอลาพักร้อนนะครับ”ชูหลานเหลือบมองหม่าจือหยาง หม่าจือหยางยื่นใบลาพักร้อนให้ชูหลาน“ค่ะ” ชูหลานตอบรับหม่าจือหยางมองฉู่เหมียน แล้วเลิกคิ้ว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปฉู่เหมียนสังเกตเห็นใบลาพักร้อนในมือของชูหลาน นั่นเป็นลายมือของหม่าจือหยางแน่นอน“ลายมือรองผู้อำนวยการหม่า สวยดีนะคะ” ฉู่เหมียนพูด“ค่ะ ลายมือรองผู้อำนวยการหม่าอ่านง่ายดี หนักแน่นด้วย” ชูหลานเก็บใบลาพักร้อนไว้ฉู่เหมียนเหลือบมองอีกสองสามครั้ง แล้วก็ไปทำงานต่อแผนกฉุกเฉิน ฉู่เหมียนไปส่งเอกสาร กำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงคนเรียก “คุณหมอฉู่ มารับคนไข้เหรอคะ?”ฉู่เหมียนงง อะไรนะ?“มีคนไข้ของแผนกคุณอยู่ที่นี่พอดี อย่าลืมไปรับนะคะ” พยาบาลสาวเตือนฉู่เหมี
ฉู่เหมียน “…” ก็เธอไม่ใช่เหรอ?“ตำแหน่งของใครมีความขัดแย้งกับลู่เจียวมากที่สุด?”ฉู่เหมียน “…”แผนกศัลยกรรมหัวใจมีหมอสองคน ถ้าตำแหน่งเดียวกัน ก็คงเป็นฉันสินะฉู่เหมียน “คุณหมอหลิน อย่าเอาแต่วิเคราะห์เลยค่ะ” ขืนยังวิเคราะห์ต่อไป เดี๋ยวจะถูกตัดสินว่ามีความผิดเอาเสียเองทุกอย่างชี้ไปที่เธอ ยากจะแก้ตัวจริง ๆฉู่เหมียนเท้ามือลงบนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ขนาดวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันยังนอนไม่หลับเลย”“งั้น… คุณพักร้อนสักสองสามวันไหมครับ?” หลินเฮิงชุยถามความเห็นของฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังฉู่เหมียนตกใจ ทำไมล่ะ? ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับตัวเองมีความผิดน่ะสิ!เธอไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไม่เพียงแต่จะไม่พักร้อน แต่ยังจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างองอาจทุกวันอีกด้วยจดหมายแจ้งเบาะแสฉบับนี้ “จริง ๆ แล้ว คุณไม่ได้เป็นคนเขียนใช่ไหม?”หลินเฮิงชุยเองก็เริ่มสงสัยแล้วฉู่เหมียน “…” ฉู่เหมียนเริ่มปวดหัว“ฉันไปดูที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดดีกว่า” ฉู่เหมียนยิ้มขณะที่กำลังพูด ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะ เป็นพนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องนี้“ผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดออกแล้วเหรอครับ?” หลินเฮิงชุยสวมแว่น รู้สึกว่ามีหว
ขณะที่ฉู่เหมียนกำลังคิดไม่ตกว่าจะพูดอย่างไร เสียงแตกของแจกันที่ตกพื้นในห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้น“กรี๊ดดด!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังแว่วแทรกเข้ามาในหูกู้ว่างเชินรีบเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปทันที พบว่าผลไม้ถูกโยนมาตกอยู่ที่เท้าของเขากู้ว่างเชินเดินเข้าไปข้างใน ลู่เจียวกำลังนั่งอยู่บนเตียง ผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนจะใกล้ถึงขีดสุดของความอดทนเมื่อลู่เจียวเห็นกู้ว่างเชิน เธอก็ร้องไห้จนพูดไม่ออก จบแล้ว จบสิ้นแล้วจริง ๆกู้ว่างเชินไม่ยอมรับตัวตนของเธอ ตอนนี้อาชีพที่เธอภาคภูมิใจที่สุดก็หายวับไปแล้ว!เธอจะทำอย่างไรดี?กู้ว่างเชินขมวดคิ้ว ลู่เจียวดูโทรมลงทุกวัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องมีปัญหาแน่ กู้ว่างเชินเก็บของที่ตกอยู่บนพื้น ลู่เจียวก็โยนลงไปอีกกู้ว่างเชินไม่พูดอะไร แค่คอย ๆ เก็บขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งลู่เจียวเหนื่อยที่จะโยน เธอหยุดโยนแล้วเอาแต่ร้องไห้กู้ว่างเชินรู้สึกอึดอัดใจ เดินเข้าไปลูบหัวลู่เจียวเพื่อปลอบโยน เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่เจียวก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมเธอลุกขึ้นคุกเข่าแล้วโอบกอดกู้ว่างเชินไว้ ดูเหมือนว่ามีเพียงกู้ว่างเชินเท่
ฉู่เหมียนตกใจ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงกับต้องฉีดยา!“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณกู้กำลังรออยู่หน้าห้อง เป็นห่วงเจียวเจียวมาก” ซางหานถอนหายใจพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าฉู่เหมียนแพ้แบบไม่ยุติธรรม!ทุกอย่างของฉู่เหมียนดีกว่าลู่เจียว แต่กลับแพ้ในเรื่องของกู้ว่างเชินฉู่เหมียนกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น “ฉันจะไปดูหน่อย”“อย่าไปเลยค่ะ ถ้าเจียวเจียวตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเธอจะด่าคุณยังไงบ้าง พยาบาลบอกว่าตอนที่เธอกำลังใจเสีย เธอพูดว่า...” พูดมาถึงตรงนี้ ซางหานก็เงียบไปฉู่เหมียนไม่เข้าใจ พูดว่าอะไรล่ะ?ซางหานเกาหัว ดูเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อฉู่เหมียนยิ้ม “พูดมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”คำพูดที่ออกมาจากปากของลู่เจียวเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวกับเธอ…ฉู่เหมียน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่“ลู่เจียวบอกว่า เธอจะฆ่าคุณซะ...” ซางหานพูดฉู่เหมียนเม้มปาก เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย“เพราะงั้นคุณหมอฉู่ ตอนนี้คุณต้องระวังตัวตอนอยู่ในโรงพยาบาลนะคะ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าคุณเป็นคนแอบเขียนจดหมายร้องเรียน” ซางหานเตือนฉู่เหมียนฉู่เหมียนพยักหน้า ลูบหัวซางหาน “ได้ พี่รู้แล้ว ไปทำงานเถอะ!”“
ร่างกายของฉู่เหมียนเบี่ยงหลบทัน ทำให้มือของหลิ่วอิงพลาดเป้าหลิ่วอิงขมวดคิ้ว “แกยังกล้าหลบอีกเหรอ?”“พ่อแม่ฉันยังไม่เคยกล้าตีฉันเลยสักครั้ง คุณเป็นใครกันถึงมาทำแบบนี้?” ฉู่เหมียนถามหลิ่วอิงอย่างท้าทายหลิ่วอิงอึ้งไปชั่วขณะ เธอจ้องฉู่เหมียนด้วยความโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา“ถ้าฉันมีลูกสาวอย่างแก ฉันจะ...” หลิ่วอิงชี้ไปที่ฉู่เหมียน ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธฉู่เหมียนยิ้ม “โชคดีที่ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณ และคุณก็ไม่มีลูกอย่างฉัน”พูดตามตรง ถ้าเธอมีแม่แบบหลิ่วอิง เธอก็อยากจะกระโดดตึกตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!“นี่แก! นังตัวแสบ!” หลิ่วอิงโมโหจนสติแตกลู่อี้ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าฉู่เหมียนกับแม่ของเขาไม่เพียงแต่หน้าตาคล้ายกันแต่กระทั่งนิสัยที่ดื้อรั้นก้าวร้าวก็เหมือนกันอย่างน่าประหลาดลู่อี้กลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็เห็นฉู่เหมียนเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาหลิ่วอิงที่โกรธจนหน้ามืดก็หันหลังกลับมุ่งหน้าสู่ห้องประชุมทันที เห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนจะเจรจาเข้าใจกันเป็นอย่างดีลู่อี้อดไม่ได้ที่จะดึงแขนหลิ่วอิงไว้ แล้วถามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “แม่ครับ แม่ไม่คิดว่า เ
ปัญหาอยู่ที่ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ นี่มันทำลายอนาคตของลู่เจียวชัด ๆ“งั้นบอกมาสิ ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นใคร?” หลิ่วอิงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สำหรับแม่คนหนึ่ง อนาคตของลูกสาวถูกทำลาย มันเจ็บปวดกว่าการตายเสียอีก เธอรู้สึกผิดที่ปกป้องลู่เจียวไม่ได้ รู้สึกว่าในเมื่อลู่เจียวทุกข์ เธอก็ทุกข์เหมือนกัน…“ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวคุณเมาแล้วพูดอะไรออกมาบ้าง สรุปแล้ว…” ฉู่เหมียนเดินไปหาหลินเฮิงชุย เธอยกจดหมายไม่เปิดเผยตัวตนขึ้นมาดู “คุณหมอคะ ฉันมาเพื่อชี้แจงว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนเขียน”“ถ้าคุณหมอจะสอบสวน ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่” ฉู่เหมียนไม่กลัว เธอไม่ได้เขียน ก็คือไม่ใช่เธอเขียน เธอเกลียดลู่เจียวมาก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยคิดจะทำร้ายลู่เจียว ใช่ว่าเธอไม่สู้คน เพราะเธอสู้ได้มากกว่าใคร แต่เพราะลู่เจียวเป็นคนที่กู้ว่างเชินรัก เธอจึงอดทนมาตลอด แต่ถ้าตระกูลลู่มาใส่ร้ายเธอ ฉู่เหมียนจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป“ได้ครับ ฉู่เหมียน ผมเข้าใจแล้ว” หลินเฮิงชุยตอบกลับอย่างจริงจังหลิ่วอิงยังคงไม่พอใจ “คุณหมอคะ ลูกสาวฉันถูกพักงานใช่ไหม? ฉันต้องการให้เธอโดนพักงานด้วย!”เมื่อได้ยินคำพูดนั้
ห้องประชุมโรงพยาบาล ตรงข้ามคุณหมอหลินเฮิงชุ่ยนั่งกันอยู่สามคน คือพ่อและหลิ่วอิง และลู่อี้ที่มาร่วมประชุมสายเห็นได้ชัดว่าเรื่องของลู่เจียวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลลู่ ถึงกับทำให้ทั้งสามคนต้องมาโรงพยาบาลกันพร้อมหน้าหลินเฮิงชุยพลิกดูประวัติการศึกษาของลู่เจียวแล้วมองทั้งสามคนอย่างมีนัยยะสำคัญ“คุณลู่… ประวัติการศึกษาของลูกสาวคุณ…” หลินเฮิงชุยพูดขึ้นมาหลิ่วอิงรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ประวัติการศึกษาของลูกสาวฉันถูกต้อง ไม่มีการปลอมแปลงแม้แต่น้อย!”“ใช่ครับ แต่ตอนนี้มีคนแจ้งว่าคุณลู่เจียวได้เข้าเรียนคณะแพทย์โดยการแย่งโควตาของคนอื่น” หลินเฮิงชุยพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน การแย่งโควตาเรียนถือเป็นเรื่องใหญ่ เทียบได้กับคดีอาชญากรรม“ใครเป็นคนแจ้ง?” ลู่อวี้เหิงหน้าตาเปลี่ยนไปทันที “นี่มันใส่ร้ายลูกสาวผมชัด ๆ!”หลินเฮิงชุยรีบพูดขึ้นมา “คุณลู่ครับ อย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานอยู่”“บอกมาสิว่าใครแจ้ง!” หลิ่วอิงโมโห เธอตบโต๊ะดังปัง “ลูกสาวฉันยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย ใครมันมาใส่ร้ายลูกสาวฉันแบบนี้!”หลินเฮิงชุยตอบ “เป็นการแจ้งเบาะแสแบบไม่เปิดเผยตัวตนครับ”“แ