“พวกข้ามิล่วงรู้ว่าท่านมีเหตุผลใดที่ต้องทำเช่นนี้ แม้ฝีมือพวกข้าจะด้อยกว่าพวกท่าน หากก็สู้มิถอย มิยอมให้ท่านนำตัวหนิงเหอไปได้ง่าย ๆ แน่” อี้เฟยเทียนกล่าวอย่างรู้ดีกว่า ฝีมือของตนที่เป็นเพียงแค่ทัพคุมกองทัพมิกี่หมื่นนาย คงจะเทียบกับห้าจอมยุทธ์แห่งหงหนานมีชื่อเสียงที่ดีงามมาตลอด ด้วยมิทำเรื่องเลวร้าย มิสนใจชื่อเสียง เรื่องวรยุทธ์ หากลงประมือกับใคร ล้วนแล้วแต่มีชัยเสมอ เรียกได้ว่าติดอันดับผู้มีวรยุทธ์สูงในยุทธภพมิได้ ถึงจะสู้ไม่ได้แต่เขาก็จะสู้“คนพวกนี้เป็นใครขอรับลิ่วเกอ” ทั้งที่พวกเขายืนอยู่เฉย ๆ มิมีท่าทางคุกคามแต่อย่างใด แต่กลับทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกอึดอัด กายบอบบางสั่นด้วยความหวาดกลัวขึ้นมา หากสี่หนิงเหอยังมิได้รับคำตอบก็มีสตรีนางหนึ่งเดินมาเสียก่อน“หนานเฟยรั่ว!” สตรีที่ได้เห็นทำให้สี่หนิงเหอตกใจยิ่งนักที่มาพร้อมกับความรู้สึกมิค่อยดี“ในที่สุดเจ้าก็ยอมเปิดเผยตัวออกมาเสียที”หือ...นี่มันอะไรกัน สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากกว้างมองท่านอ๋องที่กล่าวราวกับรู้ตั้งแต่แรกว่าผู้ที่ติดตามเรามาเป็นใคร“ท่านพี่กลับไปก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ทางนี้ข้าดูแลรับผิดชอบเอง”“จะดีหรือเฟยรั่ว”หนึ่งในห้าคนนั้นไต่ถาม
ดูเหมือนกับว่าพี่สามคิดจะโต้ตอบ หากสุดท้ายแล้วก็นิ่งเงียบ ก่อนจะเดินมาที่ม้า กระโดดขึ้นขี่นำนำเขากับทุกคนไปแทน“หมายความว่าอย่างไรขอรับท่านอ๋อง” เขาก็ร่วมเดินทางและเป็นหนึ่งในตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ เขาควรมีสิทธิ์รู้มิใช่หรืออย่างไรกัน“เจ้าสนใจเรียนขี่ม้าไหมหนิงเหอ”หากคำตอบที่ข้าได้รับจากท่านอ๋องกลับกลายเป็นอีกเรื่องที่สี่หนิงเหอได้แต่กลอกสายตาไปมา...คิดพาเขาออกนอกเรื่องเก่งเสียจริง“ก็...นิดหน่อยขอรับ หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะได้มิต้องรบกวนท่านมาก”“ถ้าเช่นนั้นเห็นทีจะมิดี”“ทำไมละขอรับ ถ้าทำเช่นนั้น ม้าก็จะได้มิเหนื่อยมาก” ทั้งที่สี่หนิงเหอรู้นะ ท่านอ๋องหมายถึงสิ่งใด หากเขาก็ยังอยากที่จะได้ยินจากปาก“ข้าก็จะมิได้กอดเจ้าเช่นนี้อย่างไรเล่า”ฉ่า! หากว่า วาจาทำให้หน้าสี่หนิงเหอร้อนราวกับไปจ่อไปมาแล้ว เสียงกระซิบที่ดังใกล้หูก็ยังทำให้หัวใจเต้นแรง สัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนทำให้เผลอยิ้มออกมาอย่างมิรู้ตัวขอบคุณขอรับท่านแม่...สี่หนิงเหอเอ่ยในใจ หากมิใช่เพราะท่านแม่ทำให้เขาย้อนกลับมาในครั้งนี้ เขาคงมิล่วงรู้ว่ามีคนรักมากเพียงใด ท่านอ๋อง...แม้จะมิกล่าวออกมาตรง ๆ หากก็แสดงให
“ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ ท่านต้องคิดว่าข้ากับลูกจะอยู่ข้างท่านเสมอ”องค์ชายใหญ่หันไปมองฟูเหรินของตนแล้วพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปหยุดตรงจุดที่หนิงเหออยู่อยู่เมื่อครู่ หลับตาลงพลางก้าวเดินเข้าไปในกลุ่มหมองด้วยหัวใจที่แน่วแน่และมั่นคงเป็นอย่างที่เสี่ยวฝานกล่าวนั่นแหละ หมอกพรางตาเสมือนสิ่งที่มีชีวิตที่ล่วงรู้ความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ในใจคน องค์ชายใหญ่ซินหลิงปรารถนาให้มียามาแก้พิษที่มารดาได้รับ ช่วยให้มารดาอยู่กับตนเองและทุกคนให้นานกว่านี้ไปอีกหน่อย สิ่งที่หูได้ยินคือวาจาที่กล่าวมาว่ามียาที่สามารถถอนสารพิษได้ มันมีเม็ดเดียวใต้หล้านี้...อยากได้มิใช่หรือ เข้ามาเอาสิ...“ซินหลิง!” เฟยเทียนรีบร้องเรียกเมื่อเห็นว่าซินหลิงยื่นมือออกไปด้านหน้าที่ตอนนี้กลุ่มหมอกได้รวมตัวกันอย่างหนาแน่น“ข้ากับลูกรอท่านพี่อยู่นะเจ้าคะ”ดูเหมือนเสียงหวานใสของสตรีที่ยืนอยู่มิไกลจากเฟยเทียนจะส่งไปถึงซินหลิง มือที่ยื่นออกไปนั้นหยุดชะงัก ใบหน้าคมเข้มที่ตอนนี้มีออกสีซีดหันมามองคู่ชีวิต ก่อนจะหันกลับไปอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เฟยเทียนวางใจว่า...ซินหลิงเข้มแข็งและแกร่งพอที่จะเอาชนะหมอกลวงตานั้นได้สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู
ฟังวาจาของเสี่ยวฝานแล้ว ทำให้เฟยเทียนถึงกับโกรธจนตัวสั่น ขณะเดียวกันก็หวาดหวั่นอย่างที่สุด มันทำให้เขาต้องเร่งรีบพาหนิงเหอไปให้พ้นจากหมอกลวงตานี้โดยเร็ว หากว่า...ด้านหน้าตอนนี้มีหมอกลวงตากลุ่มใหญ่ดักทางอยู่ หากจะพุ่งเข้าชนก็กลัวว่าจะหลงเข้าไปจนหาทางออกมิเจอ หากจะเลี่ยงไป...มิว่าเคลื่อนไหวไปทางใด กลุ่มหมอกลวงตาก็ตามติดไปมิลดละ มันเหมือนกับตอนนี้เขากับหนิงเหอถูกล้อมอยู่ เขาจะทำอย่างไรถึงจะหนีจากกลุ่มหมอกลวงตานี้ได้...หากเพียงแค่ตัวเขานั้นเฟยเทียนมิหวั่นเกรงเลย ทว่าหนิงเหอ...แม้ตอนนี้จะมิมีสติ หากก็มั่นใจมิได้ว่าจะมิถูกหมอกลวงตาทำร้ายขณะที่เฟยเทียนกำลังขบคิดเพื่อจะพาตนเองและทุกคนออกจากหมอกลวงตาอยู่นั่นเอง...“ท่านแม่!” สี่หลวนซานตะโกนด้วยความตกใจเมื่อเห็นมารดาใช้กระบี่สั้นที่พกติดกายมาเฉือนฝ่ามือตนเองจนเลือดไหล“แม้จะจากที่นี่ไปนานแล้ว หากพวกเราก็คือคนของที่นี่...เลือดของพวกเราอาจจะช่วยเปลี่ยนทางของหมอกเหล่านี้ไปได้บ้างและอาจจะพอช่วยหนิงเหอได้ด้วย”“ข้าทราบแล้วขอรับ” แม้มิรู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ หากสี่หลวนซานก็เลือกที่จะทำตามวาจาของมารดา อย่างน้อยหากว่าสิ่งที่ทำดึงความสนใจของหมอกลวงตาได้เ
ความเชื่อใจบางครั้งก็มิต้องเอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ เพียงแค่มองตากันก็รู้ใจกัน แม้เบื้องหน้าจะมีอันตรายอันใหญ่หลวงรออยู่ เพียงแค่มีกันและกัน ก็เชื่อว่าจะผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดี“ขอรับ”หากเมื่อพวกเรากำลังจะเดินผ่านม่านกระจกผ่านไปยังอีกฝั่งที่ก็มิรู้เหมือนกันว่ามีสิ่งใดรออยู่บ้าง เถาวัลย์ที่เมื่อแรกอยู่นิ่งเฉยก็เคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็วดั่งลูกธนู ยิ่งเราใช้อาวุธขัดขวาง ก็เหมือนกับว่ามันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก มาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนจะมีเสียงหวีดหวิวราวกับเสียงของปีศาจขับขานดังก้องมาพร้อมกับลูกธนูที่มีเปลวไฟติดมาด้วย“ท่านอ๋อง!” “ข้ามิเป็นอันใด แล้วเจ้าเล่า เป็นอันใดบ้าง” เฟยเทียนไต่ถามหนิงเหอที่ตกใจด้วยว่าธนูที่ปลายมีเปลวไฟติดอยู่พุ่งตรงมาจนเกือบจะปักลงบนไหล่ของเขาด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็พยายามพาทั้งตนเองและหนิงเหอหลบธนูที่ปลายติดไฟที่ถูกยิงมาอย่างต่อเนื่องมิยอมหยุด “แย่แล้ว! พวกนั้นตามมาถึงแล้ว ตอนนี้คงจะพยายามที่จะข้ามหมอกลวงตามาแล้วด้วย”“เจ้าอย่าอยู่ห่างจากข้านะหนิงเหอ”“ที่ท่านได้ยินได้ฟังมา...เอ่ยถึงวิธีกำจัดเถาวัลย์พวกนี้ไหมขอรับท่านแม่” สี่หลวนซ
“จะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ควรหาทางเข้าขุมทรัพย์ให้เจอก่อนที่คนพวกนั้นจะเข้ามาที่นี่ได้...เราจะต้องไปทางไหนหนิงเหอ” สี่หลวนซานถามออกไป ด้วยว่าเมื่อยามเยาว์วัยนั้นมีบ่อยครั้งที่หนิงเหอเหมือนจะมีเพื่อนที่พวกเขาเหล่าพี่น้องมิเคยเห็นตัวตน หากเมื่อมีเสี่ยวฝานอยู่ด้วย เรื่องที่เคยเห็นก็หายไป จนทุกคนลืมไปหมดแล้ว หากเมื่อหนิงเหอกล่าวมาเช่นนี้ เขาก็พร้อมจะเชื่อน้อง“มิใช่มิอยากเผชิญหน้าเพื่อให้ทุกอย่างจบสิ้นลงโดยเร็ว ถึงแม้เราจะมีวรยุทธ์ หากฝ่ายโน้นก็มีเช่นกัน พวกนั้นยังจะมีกองกำลังอีกชุดใหญ่ด้วย ข้าอยากให้พวกเราถอยก่อนแล้วค่อยรุกกลับในภายหลัง ข้าเชื่อว่ามีโอกาสทำเช่นนั้นแน่นอน”“ข้าเห็นด้วยกับซินหลิง”ท่านอ๋องกล่าวขณะจับมือสี่หนิงเหอเอาไว้“ข้าอย่างไรก็ได้” หนานเฟยรั่วกล่าว สำหรับนาง...สมบัติเหล่านั้นจะได้หรือไม่ ค่าก็มิต่างกัน ด้วยว่าคนใจดำอำมหิต ใจคอคับแคบอย่างเจียวหานหลง มิคิดปล่อยครอบครัวนางไปแน่นอน หนทางเดียวที่นางและทุกคนในครอบครัวจะรอดก็คือ...จัดการเจียวหานหลงให้ได้เท่านั้น!“ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามาขอรับ” สี่หนิงเหอกล่าวก่อนจะหลับตาลงเพื่อใช้สติที่มีฟังเสียงสายลมกระซิบบอกว่าให้เดินไปทางใด...
“มิต้องห่วงเจ้ารองหรอกหนิงเหอ...สภาพเช่นนั้นดูเหมือนจะยอมให้ถูกจับมาโดยง่ายดายเสียมากกว่านะ”วาจาของพี่สามทำให้สี่หนิงเหอต้องมองพี่รองซ้ำอีกครั้ง คนถูกจับตัวเอาไว้จะต้องเป็นเช่นบิดาของหนานเฟยรั่วที่มีอาการอ่อนเพลียและถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ หากพี่รองกลับยังคงมีร่างกายที่เป็นปกติ อีกทั้งพี่รองเป็นคนที่ชอบเอะอะและโวยวาย หากคราวนี้กลับยืนอยู่อย่างสงนนิ่งเงียบ...มันผิดปกติไปจริง ๆ ด้วย“ถึงฝีมือพี่รองจะมิดีมากมาย มิเช่นนั้นคงจะไม่ถูกบางคนเล่นงานจนทำให้ตัวเองบาดเจ็บและเจ้าเป็นอันตรายแล้ว หากอย่างอื่นแล้ว...ก็คงต้องดูว่าใครเป็นคนทำให้มีโทสะละนะ” สี่หลวนซานเอ่ยขณะมองสบตากับพี่ชายที่พยักหน้าให้ราวกับกำลังบอกว่ามิต้องเป็นห่วง “ระหว่างที่พวกท่านเข้าไปในถ้ำ ข้ากับเจ้าหกและเสี่ยวฝานก็จะอยู่ที่นี่...เราต้องคอยอยู่ช่วยเหลือคุณชายรองและขณะเดียวกันก็คอยระวังให้ท่านอ๋องกับทุกคน เชื่อเถอะว่าเจียวหานหลงย่อมมิปล่อยให้ทุกคนกลับออกมาได้แน่นอน”“ศิษย์พี่ของข้าก็มิยอมให้พวกนั้นทำอันใดได้ง่าย ๆ หรอกนะ ส่วนที่ยังมิปรากฏกายก็คงจะมีเหตุผลเช่นกัน”ดูเหมือนหนานเฟยรั่วจะมั่นใจในตัวศิษย์พี่ของตนเองว่าจะมิทอดทิ้ง จะต้องม
“ท่านแม่” หากเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา...ก็ได้เห็นแสงสีขาวที่สว่างเจิดจ้า ทำเอาตาถึงกับพร่าเลือนและปวดศีรษะอย่างรุนแรงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนทุกอย่างจะหายไปเช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างทุกคนและก็จบลง โดยที่เจ้าสัตว์หน้าตาและรูปร่างที่แปลกประหลาดนั้นก็ได้หายไปด้วย“เป็นอย่างไรบ้างหนิงเหอ”“ข้า...ข้ามิเป็นอันใดขอรับ แล้วท่านอ๋องกับคนอื่น ๆ เล่า มีใครเป็นอะไรบ้างหรือไม่ขอรับ”หากท่านอ๋องมิทันจะได้ตอบ...กระบี่วางบนไหล่เขาเสียก่อน“หนิงเหอ!”“พวกเจ้ามิเป็นห่วงพี่น้อง มิเป็นห่วงคนรักแล้วใช่ไหม ถึงได้ทำเช่นนี้” เจียวหานหลงถามด้วยความเกรี้ยวกราด ด้วยมิอาจระงับโทสะเอาไว้ได้เมื่อเห็นลูกน้องฝีมือดีต้องจากไปถึงสองคนด้วยกัน คนหนึ่งจากไปด้วยพิษจากสัตว์ที่มิรู้ว่าจะเรียกว่าอะไร ขณะที่อีกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย“มิใช่เพียงแค่คนของท่านที่เคราะห์ร้าย หากพวกเราทุกคนก็ล้วนแล้วแต่บาดเจ็บกันหมด”เมื่อสี่หนิงเหอมองไป...มิใช่เพียงแค่พี่สามและพี่เขยที่ได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด ยังจะมีองค์ชายใหญ่และหนานเฟยรั่วที่ต่างก็ยืนปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยอ่อน “ท่านน่าจะรู้ดี ขนาดอยู่ในเรือนของตนเองยังมิปลอดภัยเลย แล้วนี่ท่านม
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.