“ข้าจะรอฟังขอรับ” สี่หนิงเหอยิ้มหวานให้กับท่านอ๋อง...แล้วตอนที่ต้องมาอยู่กับข้าละขอรับ” เป็นไปมิได้ที่เสี่ยวฝานจะยินยอมมาอยู่กับเขาแต่โดยดี“ถ้าเจ้าจะพอจำได้นะ ช่วงที่เราเจอกัน จะมีเด็กคนหนึ่งอยู่ใกล้ข้า”สี่หนิงเหอส่ายศีรษะ...มีด้วยเหรอ “จำมิได้ขอรับ”“เมื่อข้าบอกไป อยากให้มาอยู่กับเจ้า เสี่ยวฝานก็งอนข้าไปหลายวัน หากเมื่อข้ากล่าวให้ฟัง เหตุใดเสี่ยวฝานจำต้องมาปกป้องเจ้า เขาก็เข้าใจและยอมมาแต่โดยดี”“ท่านบอกว่าอย่างไรขอรับ”“เจ้าน่าจะรู้ดีนะ”‘อย่างไรกัน...ข้าเนี่ยนะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า ท่านกล่าวสิ่งใดกับเสี่ยวฝานนะ’“ข้าจะให้เวลาเจ้าขบคิดเรื่องนี้...เรื่องของข้า องค์ชายใหญ่กับเสี่ยวเป่าและเสี่ยวฝานเจ้าก็ล่วงรู้หมดแล้ว ยังมีอันใดสงสัยอีกหรือไม่”“ข้ารับรู้หลายเรื่องจนตอนนี้คิดอันใดมิออกขอรับ หากมีอันใดสงสัยเพิ่มเติม ข้าค่อยไต่ถามท่านในภายหลังได้หรือไม่ อ๋อ...ข้ามีอย่างหนึ่งที่จะต้องรบกวนท่านขอรับ” นี่ถ้าลืมสิ่งนี่ไป อันตรายย่อมเกิดกับเขาได้ทุกเมื่อเลยนะ!ท่านอ๋องเลิกคิ้วขณะมองเขา“คือ...อย่างเสี่ยวฝานถึงจะมิได้เก่งด้านวรยุทธ์หากก็น่าจะมีพื้นฐานอยู่บ้าง ไหนจะฝีมือด้านการแพทย์และยา
“หนิงเหอตกใจหมดแล้วนะเจ้าคะท่านแม่” สี่ซูเจียวรีบบอกมารดาเสียงสั่นพร่า ขณะที่ดวงตาของนางก็มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาเช่นกัน“พวกท่าน...” หากเรื่องที่ได้ล่วงรู้จากท่านอ๋องถือว่าหนักหน่วงแล้ว มาเจอกับครอบครัวตระกูลสี่ที่เปลี่ยนไปราวกับเรือนที่มันพลิกคว่ำ สี่หนิงเหอจึงเหมือนกับคนที่ถูกไม้ตีที่ศีรษะ นอกจากคิดอันใดมิถูกแล้วยังทำตัวมิถูกเช่นกัน“นั่นสินะ เจอแบบนี้หนิงเหอคงจะมิชิน ไม่ต้องกลัวนะลูก ป้าขอโทษที่ทำมิดีกับเจ้าไป”น้ำเสียงและใบหน้าของนางช่างอบอุ่น อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเมตตาปรานียิ่งนัก มันทำให้สี่หนิงเหอเต็มตื้นในอก น้ำตามันเอ่อล้นคลอเบ้า หากเมื่อตอนที่อยู่ที่เรือนหากพวกนางแสดงออกกับเขาเช่นนี้ เขาคงจะ...มีความสุขยิ่งนัก หากตอนนี้เขามีแต่ความหวาดกลัวยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เขากำลังจะไปเยือนปรโลกเสียอีก “พี่ใหญ่ก็เหมือนกัน ขอโทษนะหนิงเหอ เจ้าจะยกโทษให้พวกเราได้ไหม”“ให้หนิงเหอมานั่งกับข้าก่อนดีกว่าขอรับท่านป้า...เขายังมิล่วงรู้เรื่องของตนเองกับพวกท่านเลย”แม้มิอยากทำอย่างที่อี้เฟยเทียนกล่าว หากเมื่อสี่อิงเหม่ยได้เห็นใบหน้าและท่าทางที่ตื่นตระหนกของหนิงเหอ จึงต้องจำใจยอมรับอย่างมิพึงพอใจสั
“ท่านอ๋อง...นางเป็นมารดาขององค์ชายใหญ่ใช่ไหมขอรับ” ผู้ที่ให้ท่านอ๋องดูแล...มาหลายปีก็น่าจะมีเพียงแค่เสี่ยวเป่าเท่านั้น“ข้าก็ยังมิแน่ใจเช่นกัน ด้วยข้ามิเคยเจอนางในฐานะพระสนมเลยสักครั้ง” “เจ้าคงมีเรื่องสงสัยเต็มไปหมด จนมิรู้ว่าควรจะไต่ถามข้าและอิงเหม่ยด้วยเรื่องอันใดก่อนดีสินะหนิงเหอ”“ขอรับ” สี่หนิงเหอตอบกลับไป“แล้วเจ้าเล่าเฟยเทียน มีเรื่องอันใดจะไต่ถามข้าหรือไม่”หากท่านอ๋องยังมิทันจะได้ตอบ องค์ชายใหญ่ก็พาเสี่ยวเป่าและบุรุษอีกสองคน...พี่สามและคุณชายรองเดินเข้ามาในห้องโถงของเรือนไม้ไผ่เสียก่อน ห้องที่เคยกว้างตอนนี้จึงคับแคบไปในทันที...“ลูกขอคารวะท่านแม่ขอรับ...เสี่ยวเป่าคำนับท่านย่าสิลูก”“ขอรับท่านพ่อ...ข้าน้อยเสี่ยวเป่าขอคารวะท่านย่าขอรับ”“มาลูก...มาให้ย่ากอดหน่อย” พระสนมกวักมือเรียกเสี่ยวเป่าที่ยังคงนั่งนิ่ง หากแหงนหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดาที่เมื่อองค์ชายใหญ่พยักหน้ารับ ร่างเล็กป้อมก็รีบลุกขึ้นเดินไปหาพระสนมที่อ้าแขนรอรับอยู่ก่อนแล้วเห็นความรักของพวกเขาแล้ว สี่หนิงเหอเจ็บอกขึ้นมา อ้อมกอดบิดาเขาก็มิเคยได้สัมผัส ส่วนมารดาหรือ...ตอนนี้นางไร้ตัวตนในความทรงจำของเขาไปเสียหมดสิ้นแล้ว เข
“เมื่อเห็นว่าอยู่ที่หมู่บ้านไปก็มิได้เรื่องอันใด เขาผู้นั้นก็เลือกที่จะกลับเรือนของตนเองไปก่อน หากก็ยังทิ้งคนของตนเองเอาไว้เพื่อควบคุมพวกเราและยังนำเอาตัวบุตรสาวคนโตของตระกูลถานไปเป็นตัวประกัน สั่งความไว้ว่า เมื่อใดที่ท่านปู่กลับมา ก็จะย้อนกลับมาเพื่อนำเอาของที่เป็นของตน” สี่อิงเหม่ยมองผู้เป็นพี่สาวที่เสียสละตัวเองจำต้องจากคนที่รักเพื่อเดินทางตามใครก็ไม่รู้ไปจากครอบครัวเพียงเพื่อจะให้ทุกคนปลอดภัย“ข้ารู้ว่า...การเดินทางครั้งนี้ ข้ามิมีโอกาสกลับไปหาครอบครัวอีกแล้ว หากก็รู้ดีเช่นกัน การไปกับคนผู้นั้นก็ไร้ความปลอดภัย ข้าจึงต้องคิดหาทางรอดให้กับตนเองและยังจะต้องทำให้ครอบครัวจะยังปลอดภัยด้วยเช่นกัน หากโอกาสของข้าแทบมิมีเลย หากสวรรค์ก็มิปิดทางคนดี ก่อนจะถึงเรือนของเขาผู้นั้น ข้าได้ข่าวมาว่ามีบุรุษผู้มีอำนาจเดินทางกลับจากไปล่าสัตว์ มิมีทางใดที่จะทำให้แผนการสำเร็จเท่ากับการทำให้ตนเองเจ็บกาย ความช่วยเหลือที่ข้าจำต้องแลกเปลี่ยน ทว่า...” พระสนมเงียบเสียงไป “หากตระกูลถานก็หลีกภัยร้ายมิพ้น ในคืนที่ทุกคนกำลังมีความสุข เหล้ามงคลกลับกลายเป็นยาพิษให้ทุกคนดื่ม มิทันข้ามคืน…” น้ำตาก็นองหน้าสี่อิงเหม่ย
“มีอีกเหตุผลที่ทำให้พวกข้าต้องทำเช่นนั้น” สี่อิงเหม่ยกล่าวเสียงสั่น “หากข้าเลี้ยงดูหนิงเหอด้วยความรักเช่นเดียวกับบุตรของข้า ก็เท่ากับเปิดเผยว่าหนิงเหอเป็นบุตรของผู้ใด มันพวกนั้นคงล่วงรู้ความจริงในเวลามิช้ามินาน คนที่แม้พวกเราจะพอล่วงรู้ตัวตนแล้วแอบมาลักพาเจ้าไป”“ข้าที่แม้จะรู้ดีว่าด้วยกำลังและฝีมือของตนเองมิอาจจะสู้คนพวกนั้นได้ หากความแค้นที่มันสุมแน่นเต็มอกทำให้ข้าคิดว่าจะยอมพลีชีพตนเพื่อแก้แค้น หากท่านพี่ก็ส่งข่าวมาทันเวลา แม้เจ็บใจแค่ไหนก็ยอมที่จะอดทนทำตามที่ท่านพี่แนะนำมา พวกเราติดต่อส่งข่าวกันอย่างลับ ๆ เพื่อรอถึงวันหนึ่งที่จะต้องได้เอาคืนคนพวกนั้นให้สาสม!”“ในที่สุดวันที่พวกข้ารอคอยก็มาถึง”“เรื่องทั้งหมดที่ข้ากล่าวมา เจ้าอาจจะมิเชื่อ หากสิ่งที่ยืนยันตัวตนของเจ้าได้ดีที่สุดนั่นก็คือ...หยกน้ำเต้าที่เจ้าห้อยคออยู่นั่นไงหนิงเหอ...หยกประจำตัวแม่เจ้า มันคือกุญแจไขความลับของขุมทรัพย์ทั้งหมด”“หนิงเหอ!”สี่หนิงเหอได้แต่กะพริบตามองท่านอ๋องที่ตอนนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลระคนหวาดกลัวอย่างไรชอบกล“มิเป็นไรนะ ข้าอยู่ตรงนี้”“ข้ามิเป็นไรขอรับ แค่รู้สึก...ปวดศีรษะ”แม้จะมิคุ้นเคยกับ
“เจ้าจดจำได้แล้วสินะหนิงเหอ”“ข้า...” มันยากที่จะเชื่อได้ในระยะเวลาอันสั้น หากสิ่งที่เกิดขึ้นมันล้วนแล้วแต่แตกต่างจากสิ่งที่เขาได้รู้และได้ประสบพบเจอในครั้งก่อนที่จะตาย มันช่างแตกต่างราวกับว่า...ความทรงจำที่เคยมีมิเคยเกิดขึ้นเลย“มิเป็นไรหรอก นางมิเคยโกรธเกลียดเจ้า นางเข้าใจในสิ่งที่ทำทุกอย่าง หากนับจากนี้ไป...”“ข้ารู้ขอรับ...รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร” สี่หนิงเหอกล่าวออกไปเสียงเบา เขามิกล้าสบสายตากับสตรีโปร่งใสตรงหน้าที่ตอนนี้ได้ปัดไล่ความหวาดกลัวออกไปจากตนเองเสียจนหมดสิ้น พร้อมกับเติมความรักและอบอุ่นที่เขาโหยหามาตลอด น้ำตาสี่หนิงเหอหยดไหลอย่างที่หักห้ามเอาไว้มิได้“ท่าน...” หากเขากลับเอ่ยคำนั้นมิออก ในอกมันจุกเหมือนกับถูกก้อนหินกดทับ ปากก็เหมือนกับโดนปิดเอาไว้“มิเป็นไร...”จะน้ำเสียง...จะรอยยิ้มของนาง มันช่างอบอุ่น...เขาอยากจะกอดนางเหลือเกิน หากเมื่อยื่นมือออกไปแล้วกลับสัมผัสเพียงแค่ความว่างเปล่า“มิเป็นไรนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนบวกกับแสงสว่างสีทองโอบล้อมรอบกายบอบบาง“ท่าน...ท่านแม่” ในที่สุดเขาก็เรียกนางออก สี่หนิงเหอได้เห็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและเจ็บปวด สัมผัสได้ว่าท่านแม่รู้สึกผ
สี่หนิงเหอได้แต่ยืนอึ้งและกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองสตรีนามว่าเจียวชุนลี่ที่ถูกองค์ชายใหญ่เรียกว่าหย่งอี้ดึงเอาบางอย่างออกจากใบหน้า ก่อนที่ท่านอ๋องจะบอกกับเขาว่ามันคือหน้ากากหนังที่ทำมาจากยางไม้ชนิดหนึ่ง“เจียวชุนลี่ตัวจริงถูกพวกเราแอบวางยาเพื่อให้ป่วยหนัก จากนั้นก็ส่งคนของเราไปทำการรักษา ก่อนจะจับตัวนางเอาไว้และหย่งอี้เสี่ยงปลอมแปลงใบหน้าเข้าไปอยู่แทน เพื่อสืบล้วงความลับของคนพวกนั้น” องค์ชายใหญ่กล่าวให้ทุกคนได้ล่วงรู้“ในวัง...เจียวอ้ายเหม่ยใช้ทุกวิถีทางเพื่อบีบคั้นให้ข้าบอกความลับเรื่องขุมทรัพย์ จากที่มิสงสัย คิดเพียงแค่ว่าพวกเขาคงต้องการทรัพย์สมบัติพวกนั้นเป็นของตนเอง หากเมื่อคิดทบทวนให้ดี พวกเขาอาจจะกำลังวางแผนร้ายอยู่ก็ได้ หากเป็นก่อนหน้านั้น ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะเป็นพวกทำอันใดมิประมาณตน หากตอนนี้...ข้าคิดว่า พวกเขามีกำลังพร้อม ขาดเพียงแค่ทรัพย์สินที่จะนำมาใช้ หากได้ขุมทรัพย์นั้นไว้ในมือ...”วาจาของพระสนมทำให้ทุกคนอึ้งกันไปหมด ด้วยรู้ดีว่าหากตระกูลเจียวที่มักใหญ่ใฝ่สูง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องของตนเอง มิสนใจว่าผู้อื่นจะเดือดร้อนแค่ไหนเป็นใหญ่ในแคว้นนี้เมื่อไหร่ ชาวประชาย่อมจะต้อ
“มั่นใจแล้วใช่ไหมขอรับท่านอ๋อง” สี่หนิงเหอให้โอกาสท่านอ๋องตัดสินใจอีกครั้ง“คนเราจะหวังอันใดมากไปกว่าชีวิตนี้ได้พบเจอคนรู้ใจ ขอเพียงแค่คนเดียวมาอยู่เคียงข้างกาย ก็เพียงพอแล้วล่ะ”“ไหนท่านพี่เคยกล่าวกับข้าไว้ ท่านอ๋องเป็นพวกเย็นชา มิสนใจใครอย่างไรเล่าเจ้าคะ หากที่ข้าเห็นคือมิใช่เลยนะเจ้าคะ” สี่ซูเจียวเอ่ยขึ้น ขณะทอดสายตามองสองคนที่ยืนส่งยิ้มให้แก่กัน...หวานเสียจนนางรู้สึกอิจฉาน้องชายขึ้นมา“ข้าว่าท่านอ๋องก็คงเหมือนกับพี่เขยนั่นแหละ กับคนอื่นก็เย็นชาเฉยเมย หากเมื่ออยู่กับคนที่ตนเองรักก็เอาใจใส่ในทุกสิ่งทุกอย่าง” สี่หลวนซานกล่าวขึ้น“ถ้าเช่นนั้นก็ทำพิธีแล้วยกน้ำชามงคลเถอะ” พระสนมกล่าวน้ำเสียงอ่อนแรงสี่หนิงเหอแทบมิรู้ตัวเลยว่าทำอันใดลงไปบ้าง รู้เพียงแค่มือของท่านอ๋องที่จับมือตนเองเอาไว้และเสียงขององค์ชายใหญ่ที่เอ่ยขึ้นว่า...“หนึ่ง...คำนับฟ้าดิน...”“สอง...คำนับพ่อแม่...”สี่หนิงเหอกับท่านอ๋องหันไปคำนับพระสนมและท่านแม่สี่อิงเหม่ย“สาม...คำนับกันและกัน...”เมื่อสี่หนิงเหอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มและสายตาที่อบอุ่นของท่านอ๋องที่มองมายังตัวเขา“ส่วนการเข้าห้องหอและดื่มเหล้ามงคล...เ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.