“เจ้าจดจำได้แล้วสินะหนิงเหอ”“ข้า...” มันยากที่จะเชื่อได้ในระยะเวลาอันสั้น หากสิ่งที่เกิดขึ้นมันล้วนแล้วแต่แตกต่างจากสิ่งที่เขาได้รู้และได้ประสบพบเจอในครั้งก่อนที่จะตาย มันช่างแตกต่างราวกับว่า...ความทรงจำที่เคยมีมิเคยเกิดขึ้นเลย“มิเป็นไรหรอก นางมิเคยโกรธเกลียดเจ้า นางเข้าใจในสิ่งที่ทำทุกอย่าง หากนับจากนี้ไป...”“ข้ารู้ขอรับ...รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร” สี่หนิงเหอกล่าวออกไปเสียงเบา เขามิกล้าสบสายตากับสตรีโปร่งใสตรงหน้าที่ตอนนี้ได้ปัดไล่ความหวาดกลัวออกไปจากตนเองเสียจนหมดสิ้น พร้อมกับเติมความรักและอบอุ่นที่เขาโหยหามาตลอด น้ำตาสี่หนิงเหอหยดไหลอย่างที่หักห้ามเอาไว้มิได้“ท่าน...” หากเขากลับเอ่ยคำนั้นมิออก ในอกมันจุกเหมือนกับถูกก้อนหินกดทับ ปากก็เหมือนกับโดนปิดเอาไว้“มิเป็นไร...”จะน้ำเสียง...จะรอยยิ้มของนาง มันช่างอบอุ่น...เขาอยากจะกอดนางเหลือเกิน หากเมื่อยื่นมือออกไปแล้วกลับสัมผัสเพียงแค่ความว่างเปล่า“มิเป็นไรนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนบวกกับแสงสว่างสีทองโอบล้อมรอบกายบอบบาง“ท่าน...ท่านแม่” ในที่สุดเขาก็เรียกนางออก สี่หนิงเหอได้เห็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและเจ็บปวด สัมผัสได้ว่าท่านแม่รู้สึกผ
สี่หนิงเหอได้แต่ยืนอึ้งและกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองสตรีนามว่าเจียวชุนลี่ที่ถูกองค์ชายใหญ่เรียกว่าหย่งอี้ดึงเอาบางอย่างออกจากใบหน้า ก่อนที่ท่านอ๋องจะบอกกับเขาว่ามันคือหน้ากากหนังที่ทำมาจากยางไม้ชนิดหนึ่ง“เจียวชุนลี่ตัวจริงถูกพวกเราแอบวางยาเพื่อให้ป่วยหนัก จากนั้นก็ส่งคนของเราไปทำการรักษา ก่อนจะจับตัวนางเอาไว้และหย่งอี้เสี่ยงปลอมแปลงใบหน้าเข้าไปอยู่แทน เพื่อสืบล้วงความลับของคนพวกนั้น” องค์ชายใหญ่กล่าวให้ทุกคนได้ล่วงรู้“ในวัง...เจียวอ้ายเหม่ยใช้ทุกวิถีทางเพื่อบีบคั้นให้ข้าบอกความลับเรื่องขุมทรัพย์ จากที่มิสงสัย คิดเพียงแค่ว่าพวกเขาคงต้องการทรัพย์สมบัติพวกนั้นเป็นของตนเอง หากเมื่อคิดทบทวนให้ดี พวกเขาอาจจะกำลังวางแผนร้ายอยู่ก็ได้ หากเป็นก่อนหน้านั้น ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะเป็นพวกทำอันใดมิประมาณตน หากตอนนี้...ข้าคิดว่า พวกเขามีกำลังพร้อม ขาดเพียงแค่ทรัพย์สินที่จะนำมาใช้ หากได้ขุมทรัพย์นั้นไว้ในมือ...”วาจาของพระสนมทำให้ทุกคนอึ้งกันไปหมด ด้วยรู้ดีว่าหากตระกูลเจียวที่มักใหญ่ใฝ่สูง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องของตนเอง มิสนใจว่าผู้อื่นจะเดือดร้อนแค่ไหนเป็นใหญ่ในแคว้นนี้เมื่อไหร่ ชาวประชาย่อมจะต้อ
“มั่นใจแล้วใช่ไหมขอรับท่านอ๋อง” สี่หนิงเหอให้โอกาสท่านอ๋องตัดสินใจอีกครั้ง“คนเราจะหวังอันใดมากไปกว่าชีวิตนี้ได้พบเจอคนรู้ใจ ขอเพียงแค่คนเดียวมาอยู่เคียงข้างกาย ก็เพียงพอแล้วล่ะ”“ไหนท่านพี่เคยกล่าวกับข้าไว้ ท่านอ๋องเป็นพวกเย็นชา มิสนใจใครอย่างไรเล่าเจ้าคะ หากที่ข้าเห็นคือมิใช่เลยนะเจ้าคะ” สี่ซูเจียวเอ่ยขึ้น ขณะทอดสายตามองสองคนที่ยืนส่งยิ้มให้แก่กัน...หวานเสียจนนางรู้สึกอิจฉาน้องชายขึ้นมา“ข้าว่าท่านอ๋องก็คงเหมือนกับพี่เขยนั่นแหละ กับคนอื่นก็เย็นชาเฉยเมย หากเมื่ออยู่กับคนที่ตนเองรักก็เอาใจใส่ในทุกสิ่งทุกอย่าง” สี่หลวนซานกล่าวขึ้น“ถ้าเช่นนั้นก็ทำพิธีแล้วยกน้ำชามงคลเถอะ” พระสนมกล่าวน้ำเสียงอ่อนแรงสี่หนิงเหอแทบมิรู้ตัวเลยว่าทำอันใดลงไปบ้าง รู้เพียงแค่มือของท่านอ๋องที่จับมือตนเองเอาไว้และเสียงขององค์ชายใหญ่ที่เอ่ยขึ้นว่า...“หนึ่ง...คำนับฟ้าดิน...”“สอง...คำนับพ่อแม่...”สี่หนิงเหอกับท่านอ๋องหันไปคำนับพระสนมและท่านแม่สี่อิงเหม่ย“สาม...คำนับกันและกัน...”เมื่อสี่หนิงเหอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มและสายตาที่อบอุ่นของท่านอ๋องที่มองมายังตัวเขา“ส่วนการเข้าห้องหอและดื่มเหล้ามงคล...เ
“มีอันใดหรือขอรับ...ท่านอ๋อง” ตอนแรกสี่หนิงเหอจะเรียกท่านอ๋องว่าท่านพี่นะ หากเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้เราเดินทางไปเพื่อจัดการกับเรื่องขุมทรัพย์ให้เสร็จสิ้น หากเขาแสดงความสนิทสนมกับท่านอ๋องเกินไป ศัตรูที่กำลังตามมาหรือบางคนอาจจะล่วงหน้ามาก่อนแล้วเพื่อดักรอเล่นงานเรากลางทางนั้นจับจุดนี้ได้ จะเร่งรุดจับตัวเขาให้ได้ หนึ่งเพื่อจะให้เขาเป็นผู้เปิดขุมทรัพย์และอีกทางก็เพื่อเป็นการข่มขู่ท่านอ๋องก็เป็นไปได้ เขาจึงมิควรประมาท“พวกมันคงจะมีฝีมือมิน้อยหรือไม่ก็แฝงกายได้อย่างแนบเนียน พวกซานเกอที่เดินทางมาก่อนจึงมิอาจล่วงรู้” ต้าเกอเป็นผู้กล่าวขณะดึงน่องไก่ที่ย่างจนสุกหอมแล้วมาส่งให้ท่านอ๋องกับเขาคนละข้าง ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายให้กับเพื่อนคนอื่น ๆ ขณะที่สี่หนิงเหอได้แต่แปลกใจ ในเมื่อกล่าวว่ามีศัตรูซ่อนกายอยู่ ทำไมทุกคนถึงได้ดูมิทุกมิร้อนแต่อย่างใดเลย“ก็จะรีบร้อนไปทำไม เราอิ่มขณะที่พวกมันท้องหิว เราสบายเพราะพวกมันคอยเฝ้ายามให้”อ๋อ...เป็นเช่นนี้เอง สี่หนิงเหอพยักหน้ารับ ขณะละเลียดลิ้มทานไก่ย่างอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยยิ่งนัก“ท่านอ๋องพอจะบอกข้าได้ไหมขอรับ...คนผู้นั้นคิดจะทำอันใดกันแน่” สายต
“เดี๋ยวนะ พวกเจ้ามิเคยเห็นข้าทำอาหาร...มิเคยชิมอาหารที่ข้าทำเลย แล้วทำไมถึงคิดว่าข้าทำแล้วทานมิได้”“ดูเหมือนว่าหนิงเกอจะลืมไปนะขอรับ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้ข่าวว่าซานเกอจะไปหาท่านอ๋อง ท่านก็เลยเข้าครัวคิดจะทำขนมฝากไปให้ หากบ่าวไพร่มิไปพบเข้าเสียก่อน ท่านคงจะเผาห้องครัวตระกูลสี่ไปเสียแล้วละขอรับ”“ข้าเคยทำเช่นนั้นด้วยรึ ทำไมข้าถึงจำมิได้ล่ะ เจ้ามิได้โกหกหรอกนะเสี่ยวฝาน”“มิเป็นไร เอาเป็นว่าตอนที่หนิงเหอฝึกทำอาหาร ข้าจะคอยอยู่ดูแลด้วย”“ดีขอรับท่านอ๋อง” หากสี่หนิงเหอก็ดีใจแค่ไม่นานเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านอ๋องหรือจะมีเวลาว่างมาอยู่กับข้าทั้งวัน การเป็นแม่ทัพนายกอง แม้จะมิมีศึกสงคราม หากก็ยังจะต้องคอยตรวจตราเพื่อดูแลความสงบของราษฎรในปกครอง พร้อมกับฝึกฝนร่างกายตนเองและเหล่าลูกน้องอยู่ในค่าย เช่นนี้แล้วจะมีเวลาให้เขาหรือ“เอาไว้เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะได้รู้”ใช่! มันคงจะต้องถึงเวลานั้นก่อนจริง ๆ นั่นแหละ “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะผ่าน...” หากสี่หนิงเหอจำต้องกลืนคำที่จะไต่ถามลงไปในลำคอเมื่อเสี่ยวฝานจับมือข้าเอาไว้พร้อมกับเอ่ยบอกเสียงเบา...“ด้านนอกมีการเคลื่อนไหว”มิทันสิ้นเสียงของเสี่ยวฝานดี ด้าน
“เสี่ยวฝาน!”“เพื่อหนิงเกอ...ข้ายินดีทำขอรับ”เสี่ยวฝานยิ้ม...รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก ภักดีและซื่อสัตย์มันทำให้ข้าตื้นตันใจอย่างที่สุดจึงคว้ากายเล็กมากอดเอาไว้ “ขอบใจนะเสี่ยวฝาน ขอบใจมาก...น้องข้า”“แยกกันเดินทาง หากเมื่อถึงหมู่บ้านก็ค่อยมารวมตัวกัน...เจ้าแปดมีฝีมือทางด้านแปลงโฉม ครั้งนี้ก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์”“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”“ดึกแล้ว...ควรพักผ่อนเอาแรงไว้รับมือกับพวกนี้ในวันต่อไปดีกว่า”สี่หนิงเหอพยักหน้า เขาเหมือนจะได้ยินว่ามีการตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้ที่พักผ่อนก่อนและใครจะเป็นฝ่ายเฝ้ายามดูแลคุ้มครองทุกคนก่อน แม้ทุกคนจะมิได้ทำเพื่อเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกว่าโชคดีที่ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ได้พบกับบ่าวที่ทั้งรักทั้งภักดีและซื่อสัตย์อย่างเสี่ยวฝาน ครอบครัวที่เขามองข้ามไปและได้เจอกับคู่ชีวิตที่ถึงจะยังมิได้เอ่ยปากบอกว่ารัก หากการแสดงออกนั้นกลับบอกได้อย่างดีว่ารักเพียงใด “เราก็ไปนอนกันเถอะขอรับ พรุ่งนี้จะได้เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่เช้า”สี่หนิงเหอเดินไปยังจุดที่มิได้มีเพียงแค่ฟางรองนอนเท่านั้นหากยังจะมีผ้าคลุมของท่านอ๋องรองอยู่อีกชั้น เราสองคนทิ้งตัวลงนอนเคีย
“เดี๋ยวนะ พวกเจ้ามิเคยเห็นข้าทำอาหาร...มิเคยชิมอาหารที่ข้าทำเลย แล้วทำไมถึงคิดว่าข้าทำแล้วทานมิได้”“ดูเหมือนว่าหนิงเกอจะลืมไปนะขอรับ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้ข่าวว่าซานเกอจะไปหาท่านอ๋อง ท่านก็เลยเข้าครัวคิดจะทำขนมฝากไปให้ หากบ่าวไพร่มิไปพบเข้าเสียก่อน ท่านคงจะเผาห้องครัวตระกูลสี่ไปเสียแล้วละขอรับ”“ข้าเคยทำเช่นนั้นด้วยรึ ทำไมข้าถึงจำมิได้ล่ะ เจ้ามิได้โกหกหรอกนะเสี่ยวฝาน”“มิเป็นไร เอาเป็นว่าตอนที่หนิงเหอฝึกทำอาหาร ข้าจะคอยอยู่ดูแลด้วย”“ดีขอรับท่านอ๋อง” หากสี่หนิงเหอก็ดีใจแค่ไม่นานเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านอ๋องหรือจะมีเวลาว่างมาอยู่กับข้าทั้งวัน การเป็นแม่ทัพนายกอง แม้จะมิมีศึกสงคราม หากก็ยังจะต้องคอยตรวจตราเพื่อดูแลความสงบของราษฎรในปกครอง พร้อมกับฝึกฝนร่างกายตนเองและเหล่าลูกน้องอยู่ในค่าย เช่นนี้แล้วจะมีเวลาให้เขาหรือ“เอาไว้เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะได้รู้”ใช่! มันคงจะต้องถึงเวลานั้นก่อนจริง ๆ นั่นแหละ “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะผ่าน...” หากสี่หนิงเหอจำต้องกลืนคำที่จะไต่ถามลงไปในลำคอเมื่อเสี่ยวฝานจับมือข้าเอาไว้พร้อมกับเอ่ยบอกเสียงเบา...“ด้านนอกมีการเคลื่อนไหว”มิทันสิ้นเสียงของเสี่ยวฝานดี ด้าน
“เสี่ยวฝาน!”“เพื่อหนิงเกอ...ข้ายินดีทำขอรับ”เสี่ยวฝานยิ้ม...รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก ภักดีและซื่อสัตย์มันทำให้ข้าตื้นตันใจอย่างที่สุดจึงคว้ากายเล็กมากอดเอาไว้ “ขอบใจนะเสี่ยวฝาน ขอบใจมาก...น้องข้า”“แยกกันเดินทาง หากเมื่อถึงหมู่บ้านก็ค่อยมารวมตัวกัน...เจ้าแปดมีฝีมือทางด้านแปลงโฉม ครั้งนี้ก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์”“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”“ดึกแล้ว...ควรพักผ่อนเอาแรงไว้รับมือกับพวกนี้ในวันต่อไปดีกว่า”สี่หนิงเหอพยักหน้า เขาเหมือนจะได้ยินว่ามีการตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้ที่พักผ่อนก่อนและใครจะเป็นฝ่ายเฝ้ายามดูแลคุ้มครองทุกคนก่อน แม้ทุกคนจะมิได้ทำเพื่อเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกว่าโชคดีที่ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ได้พบกับบ่าวที่ทั้งรักทั้งภักดีและซื่อสัตย์อย่างเสี่ยวฝาน ครอบครัวที่เขามองข้ามไปและได้เจอกับคู่ชีวิตที่ถึงจะยังมิได้เอ่ยปากบอกว่ารัก หากการแสดงออกนั้นกลับบอกได้อย่างดีว่ารักเพียงใด “เราก็ไปนอนกันเถอะขอรับ พรุ่งนี้จะได้เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่เช้า”สี่หนิงเหอเดินไปยังจุดที่มิได้มีเพียงแค่ฟางรองนอนเท่านั้นหากยังจะมีผ้าคลุมของท่านอ๋องรองอยู่อีกชั้น เราสองคนทิ้งตัวลงนอนเคีย
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.