แล้วที่ครั้งนั้นทำไมท่านถึงได้ปล่อยปละละเลยไม่สนใจ มิยอมมาพบพานและมิฟังความจากปาก แล้วยังจะปล่อยให้เขา...ไม่! เขาจะต้องมิคิดเช่นนี้ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่ยังพอจำได้แม้มันจะเลือนรางอย่างมากก็เถอะ ในการเดินทางครั้งแรกของสี่หนิงเหอมีเสี่ยวฝานร่วมด้วย หากในวันที่เขากำลังจวนเจียนจะสิ้นใจ กลับไร้ร่างของบ่าวไพร่คนนี้ ถ้าที่ผ่านมาเขาเข้าใจอันใดผิดไปเล่าและสิ่งที่ท่านอ๋องกล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นเขาก็ต้องสืบหาสาเหตุ ในช่วงเวลาที่อยู่ที่เรือนท้ายจวน...มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!ถ้าหาเขาอยากรู้คำตอบในสิ่งที่มันรบกวนจิตใจอยู่เช่นนี้ คนแรกที่เขาควรเข้าหาก็จะต้องเป็น...ท่านอ๋องนี่แหละ แต่เขาจะเริ่มต้นอย่างไรโดยมิให้ท่านอ๋องและคนอื่น ๆ สงสัยได้เล่า“คิดอันใดอยู่”สี่หนิงเหอผงะไปด้านหลังเล็กน้อยเมื่อท่านอ๋องยื่นมือมาสัมผัสตรงระหว่างคิวและนวดคลึงให้อย่างแผ่วเบา“ข้ากำลังคิดว่า...ผู้ใดกันที่ไล่ล่าเล่นงานเราตลอดเส้นทางแบบนี้...ท่านห้ามบอกข้าว่าไม่นะขอรับ เพราะข้าคิดว่าการข่าวของท่านคงมิได้ด้อยแน่นอน” เหมือนเขาเคยได้ยินมาจากไหนสักแห่ง การข่าวหาได้ไม่ยาก หากการข่าวที่แม่นยำนั้นมาได้จากสามแหล่งด้วยกัน นั้
“เปล่า...เปล่า มิมีอันใดขอรับ ข้ากล่าวผิดไป ข้าคิดว่าถ้าท่านและข้ามิใช่มังกรและหงส์ที่ถูกกล่าวถึง ถ้าเช่นนั้นผู้ที่จะได้เป็นองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นั้นคงจะเป็น...เสี่ยวเป่า ท่านอย่างมองข้าเฉนนั้นนะขอรับ” สี่หนิงเหอรีบเอ่ยเมื่อเห็นประกายในแววตาของท่านอ๋องเต็มไปด้วยรัศมีแห่งการเข่นฆ่าอย่างรุนแรง อัดแน่นมาหาเสียจนเขาแทบจะหายใจมิออก“เมื่อข้ารู้ว่าจะต้องแต่งมาเป็นอนุภรรยาของท่าน ข้าได้ให้เสี่ยวฝานไปสืบเรื่องของท่านมา แม้จะมิได้ข่าวอันใดมากมาย หากเสี่ยวฝานก็หลุดชื่อเสี่ยวเป่าออกมาสองสามครั้ง” ที่มันทำให้สี่หนิงเหอหวนคิดขึ้นมาได้ว่าชื่อนามนี้คงจะเกี่ยวเนื่องกับการตายของตนเองในครั้งก่อนนั้น หากเมื่อใดที่เขาคิดทบทวนข้าก็จะปวดศีรษะและร่างกาย อย่างเช่นครั้งนี้ที่ความเจ็บปวดทิ่มแทงเสียจนถึงกับหลั่งน้ำตาและทรุดกายลงนอนบนฟางแห้งอย่างหมดไร้เรี่ยวแรง เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังถูกชอนไชกัดแทะ ในหัวเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมามิยั้ง“ท่านอ๋อง...ข้าเจ็บ...เจ็บเหลือเกินขอรับ”ท่านอ๋องรีบประคองสี่หนิงเหอมาใกล้ตัว โอบกอดไว้พลางถ่ายทอดบางอย่างเข้าไปในกายเล็กเพื่อช่วยขับไล่ความเจ็บปวดที่มีให้ออกไป มันเนิ่น
วาจาของหนิงเหอ...มันจริงหรือไม่ เขามิอาจล่วงรู้ได้ หากในน้ำเสียงยามที่เอ่ยออกมานั้น มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแฝงไว้ด้วยความน้อยอกน้อยใจ กระทั่งตัวเฟยเทียนเองยามเมื่อฟังวาจาของสี่หนิงเหอก็เหมือนกับถูกความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าหาราวกับว่าใจของเขาถูกกระชากจนหลุดออกจากร่างไปในบัดเดี๋ยวนั้นเขากล่าวกันไว้ว่า...เมื่อเรื่องมันจะเกิด หลีกเลี่ยงเช่นไรก็มิพ้น เพราะตัวเรามิอาจควบคุมสิ่งใดได้เลย แต่เฟยเทียนรู้อย่างหนึ่ง หากแม้นเกิดสิ่งนั้นจริง เขาจะมิให้หนิงเหอเดินทางไปเพียงลำพัง แม้ว่ามันจะเป็นการเดินทางลงสู่ปรโลกก็ตาม หากจะมีเขาตามติดไปด้วยไม่ห่าง แต่เขาจะพยายามมิให้เหตุร้ายนั้นเกิดขึ้น จะป้องกันเท่าที่จะทำได้ จะปกป้องหนิงเหอด้วยชีวิตของเขา!“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเฝ้ามองดูเจ้ามานานเท่าใดแล้ว” เฟยเทียนมองและวางหลังนิ้วลงบนใบหน้าของคนที่นอนหลับอยู่ตอนที่ได้ฟังเรื่องราวของเด็กน้อยนาม...สี่หนิงเหอจากหลวนซาน นอกจากความสนใจแล้วก็ยังจะมีความอิจฉาปะปนอยู่ ถึงตัวเขาจะมีพี่น้องหลายคน หากพวกเราก็มิได้สนิทสนมกันอย่างที่ควรจะเป็น แล้วเมื่อได้เห็นหน้าของหนิงเหอ...ใจเขากระตุกในทันที รู้สึกอยากเดินเข้าไปใกล้...อยากก
“ที่เจ้าถามว่าข้าสงสัยผู้ใด...หลายปีมานี้ข้าสามารถตีกรอบพวกเขาให้ลดน้อยลงไปจนเหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว หากพวกเขาก็ใหญ่เกินกว่าที่ข้าจะแตะต้องได้ อีกทั้งตัวข้าเองก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในแผนการที่นางผู้นั้นวางไว้ ข้ามิรู้ว่าเมื่อเสร็จศึกแล้วนางจะฆ่าขุนพลอย่างข้าหรือเปล่า แต่เมื่อก้าวเดินในเส้นทางนี้แล้ว ข้าก็หันหลังกลับมิได้ ต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อแผ่นดิน เพื่อเสี่ยวเป่าและเจ้า...หนิงเหอ”“อือ”เฟยเทียนคลี่ยิ้มขณะปัดเส้นผมออกจากใบหน้าของหนิงเหอ ด้วยวัยของเขายังมิควรต้องมาพบเจอกับเรื่องหนักหนาเช่นนี้ แต่โชคชะตา...มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง เขาได้แต่หวัง...“เจ้าจะรับมือกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นได้ใช่ไหมหนิงเหอ”มือของเฟยเทียนถูกบีบเบา ๆ มันเหมือนกับหนิงเหอจะบอกกับเขาว่า...‘เราจะสู้ไปด้วยกัน’“ขอบใจนะหนิงเหอ” เฟยเทียนแนบปากลงหน้าผากของหนิงเหอก่อนจะลุกขึ้นไปจัดการสวมใส่อาภรณ์ที่มันเริ่มจะแห้งแล้วจนเสร็จ จากนั้นก็จัดการใส่ให้หนิงเหอ เพราะ...ยิ่งเงียบสงบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น ทุกอย่างยังคงไว้วางใจมิได้...“ข้ารู้ว่าท่านแข็งแกร่ง แต่ถ้ายังให้ข้าขี่หลังอยู่เช่นนี้ การเดินทางของเราคงจะล่าช้
“ข้าจะรีบบอกท่านโดยเร็วเลยขอรับ...มีอันใดหรือขอรับต้าเกอ” สี่หนิงเหนอรีบยกมือปิดปากและรีบก้าวตามท่านอ๋องไปหลบซ่อนกายอยู่หลังพุ่มไม้ เพียงไม่นานพวกเราจะได้ยินเสียงดังมา“โชคไม่ดีเลย สมุนไพรยังมิทันได้หา สัตว์ก็ยังมิได้จับเลย...ตัวข้ายังทำให้ท่านพี่ต้องบาดเจ็บอีก”สี่หนินงเหอแหงนหน้ามองท่านอ๋องที่คงจะคิดเช่นเดียวกัน พวกเราได้เจอกับชาวบ้านที่ออกตามหาของป่า...หากท่านอ๋องยังคงยืนนิ่งและรอฟังคำสนทนาของทั้งสองคนอีกครู่หนึ่ง เพราะยังมิไว้วางใจ...ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ เราต้องคอยระมัดระวังตัวเอง ตัวเขานั้นตัวเล็กและบางกว่าท่านอ๋องมาก เมื่อถูกอีกฝ่ายยืนบังไว้ก็ทำให้มองมิเห็นสิ่งใด ก่อนที่ท่านอ๋องจะกระซิบบอกกับเขา...“ท่านพี่ ข้าขอโทษขอรับ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ท่านอย่าโกรธเคืองข้าเลยนะขอรับ” สี่หนิงเหอรีบกล่าวตามที่ท่านอ๋องนำทางให้ ขณะที่พวกเราเดินตามสองหญิงชายวัยกลางคนไปอย่างไม่รีบเร่งมากเท่าไหร่ เพราะไม่อยากให้สองคนนั้นสงสัย อีกทั้งหากว่าเคลื่อนไหวเร็วมากเกินไป ถ้าหากพวกเขาเป็นคนไม่ดี...พวกเราจะได้หนีกันอย่างทันท่วงที “ท่านพี่...ข้าเจ็บ” สี่หนิงเหอทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับร้องโอดโอยเร
“พวกเราย้ายมาจากที่อื่น มาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน อาศัยหาของป่าและสมุนไพรไปขายในเมือง...พวกข้ามิได้อยากจะไล่ หากแต่หมู่บ้านของพวกข้าประสบปัญหาพวกโจรอาละวาดมาหลายครั้งแล้ว คนในหมู่บ้านมิไว้ใจคนแปลกหน้าและต่างถิ่น พวกเจ้าสองคนควรจะรีบไปจากที่นี่...ก่อนดวงอาทิตย์จะตกดิน การเดินทางยามค่ำคืนมันอันตรายสำหรับคนที่มิรู้เส้นทางจะเป็นการดีกว่า...ส่วนนี้เป็นข้าวกับเนื้อตากแห้ง พวกเจ้าคงจะพอใช้รองท้องก่อนไปถึงตัวเมือง” สี่หนิงเหอมองสบตากับท่านอ๋องแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้ท่านลุงท่านป้าพร้อมกับยื่นมือไปรับห่อข้าวที่ท่านป้าชางส่งมาให้“ขอบคุณท่านลุงท่านป้ามากขอรับ ข้ากับพี่ชายก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน พวกเราอยากกลับถึงเรือนให้เร็วที่สุด ป่านนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ก็คงจะเป็นห่วงและรอพวกเราอยู่”“นี่ม้าของพวกเจ้า มันแก่ไปสักหน่อย แต่ก็น่าจะให้พวกเจ้าขี่มันไปถึงในตัวเมืองเพื่อหาม้าตัวใหม่เปลี่ยน...พวกเจ้านำมันไปฝากไว้ที่ร้านยาฉงหวาก็ได้ แล้วเราจะไปรับมันเอง”จากที่ตอนแรกเฟยเทียนคิดจะให้เงินท่านลุงท่านป้าชาง ความคิดนี้ถึงพับเก็บไปเพราะจะกลายเป็นว่าเขาดูถูกน้ำใจของสองผัวเมียและอีกทั้งพวกเขาแค่ให้เรายืมม้าเพื
“ข้าเจอเสี่ยวเป่าเมื่อเขาอายุได้หนึ่งขวบ เขาถูกส่งมาให้ข้าดูแลพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งที่ก็มิได้กล่าวอันใดนัก เพียงแค่ฝากดูแลปกป้องเพราะเขาคือสายเลือด”มันคงมีบางอย่างทำให้ท่านอ๋องพอจะคาดเดาความเป็นมาเป็นไปของเสี่ยวเป่าได้“แล้วตอนนี้เสี่ยวเป่าอายุเท่าใดแล้วขอรับ”“ห้าขวบแล้ว”สี่หนิงเหอมิแน่ใจว่าหลุดวาจามิงามออกไปหรือไม่ เพราะที่เขารู้ก็คือตนเองกับท่านอ๋องจะต้องเร่งเดินทางกลับจวนให้เร็วที่สุด หากล่าช้าไปกว่านี้ คิดว่าคงจะแก้ไขบางเหตุการณ์มิทันท่วงทีเป็นแน่“ข้ารู้ว่าร่างกายตัวเองมิพร้อมที่จะเดินทางไกลอย่างเร็วสักเท่าใด” อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับกำลังส่งผลกับร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก เริ่มรู้สึกคอแห้ง อ่อนล้า ปวดศีรษะและเมื่อยไปหมดทั้งตัว ความจริงมันก็เป็นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่สี่หนิงเหอมิอยากบอกกล่าวให้ท่านอ๋องรู้ มิอยากให้ท่านอ๋องเกิดกังวลใจและกล่าวโทษตัวเองที่ดูแลเขามิดี“ข้ามิเป็นอันใดขอรับ เพียงแค่...รู้สึกไม่สบายใจอย่างไรก็บอกมิถูก” สี่หนิงเหอจะกล่าวออกไปเช่นไรถึงจะทำให้ท่านอ๋องมิสงสัยในตัวเขากันเล่า“ท่านกล่าวว่า มีคนติดตามเพื่อจะทำร้ายหรือลักพาตัวข้าและตลอดการเดินทาง เราก็เจอ
“จะอย่างไรตอนนี้ท่านควรปล่อยข้าให้ลงเดินเองดีกว่าไหมขอรับ” ดูเหมือนว่าความต้องการของสี่หนิงเหอในคราวนี้ได้รับการสนองตอบที่ดี เพราะมันถึงห้องแล้วนั่นเอง ท่านอ๋องยอมปล่อยให้เขาลงบนเก้าอี้ที่ตรงหน้าก็มีอ่างน้ำหน้าและผ้าสำหรับเช็ดหน้ามาวางให้อยู่แล้ว...ช่างทำงานกันรวดเร็วเสียจริง“เจ้าล้างหน้าล้างตาเสียก่อน”สี่หนิงเหอก็มิรอให้ท่านอ๋องกล่าวซ้ำ รีบจัดการล้างหน้าล้างตาตัวเองเพื่อจะได้สดชื่นขึ้น เสร็จแล้วก็รีบยื่นมือไปหมายจะคว้าผ้ามาซับน้ำบนใบหน้า หากก็มิทัน ท่านอ๋องนำผ้ามาซับน้ำบนใบหน้าให้เขาเสียก่อน อย่างอ่อนโยนมากด้วย...หัวใจเขามันสั่นไหวไปหมดแล้ว!“ข้า...ข้าทำเองได้ขอรับ” สี่หนิงเหอรีบแย่งผ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นคือท่านอ๋องจับมือของเขาออกและยังคงกดซับผ้าบนใบหน้าให้ต่อไปจนเสร็จจากนั้นจึงหันไปจัดการกับตนเอง“ในเมื่อเรายังต้องเดินทางกันต่อไปโดยมิได้หยุดพักนาน ข้าว่าท่านควรจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายดีกว่าไหมขอรับ ท่านดูอ่อนเพลียอยู่นะ”“ก็ดีอยู่นะ แต่จะให้ดีมากยิ่งไปกว่านี้ ถ้าเจ้าจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายร่วมกับข้า”ฮึ! ท่านกล่าวเช่นนี้มาสองครั้งแล้วนะท่านอ๋อง นึกว่าสี่หนิงเหอผู้นี้จะอายหรือขอรับ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.