“ขอโทษด้วยที่ทำให้บรรยากาศเสีย”
“ไม่ใช่ความผิดเจ้าสักหน่อย ทำไมต้องขอโทษล่ะ”เห็นนางไม่ถือสาเขาก็ยิ้มออก ฉินหลิวซีไม่ได้เก็บคำพูดของสตรีผู้นั้นมาใส่ใจอยู่แล้ว ตอนที่อยู่บ้านเดิมของบิดา นางเจอมายิ่งกว่านี้ยังทนได้ แค่เด็กน้อยเอาแต่ใจไม่ทำให้นางโกรธได้หรอกพอไม่มีอะไรมาขวางทางแล้วพวกเขาก็ไปร้านขายอาวุธ เมื่อตอนเข้ามาจะเป็นเพียงตรอกถนนเส้นเล็ก ๆ แต่ตัวร้านขนาดใหญ่มากกว่าที่คิด นางรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับร้านนี้มากกว่าร้านขายสมุนไพรเสียอีกฉินหลิวซีเดินเลือกซื้อของอย่างสนุกสนานจนเกือบลืมไปเลยว่า มีสหายคนหนึ่งมากับตนด้วย เห็นนางซื้อของอย่างเพลิดเพลินเขาก็ไม่คิดขัด คอยตามหลังอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้สร้างความรบกวนแม้แต่การพูดสักประโยคเดียว หลี่เจิ้นหัวปล่อยให้นางเลือกของได้เต็มที่ฉินหลิวซีเลือกซื้อของไว้หลายอย่าง และของสำหรับป้องกันตัวที่นางจะใช้เองด้วย อันไหนน่าสนใจและดูเข้าท่านางก็หยิบมาหมดมาถึงที่นี่แล้วนางก็ไม่คิดจะกลับบ้านไปมือเปล่า ของฝากนอกจากเสื้อผ้าและของใช้ทั่วไปเป็นอาวุธพวกนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนางกลับมาที่โรงเตี๊ยม“ข้าพบนางตอนที่ติดตามท่านพ่อไปเมื่อครั้งก่อน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก พอรู้ว่านางอยู่ที่นี่ข้าก็ดีใจมากและนางก็อยู่ไม่นาน ข้าจึงอาสาพาชมรอบเมืองหลวง”ฮูหยินใหญ่หรี่ตามองเขาอย่างจับผิด “ถ้าจะเป็นสหายข้าก็ไม่ว่า แต่หากจะคิดเอามาเป็นภรรยา อย่าได้หวัง หรือถ้าต้องการนางจริง ๆ ก็เป็นได้เพียงอนุของเจ้า และต้องแต่งเข้าหลังจากแต่งคุณหนูสกุลใหญ่ด้วย”หลี่เจิ้นหัวไม่ได้รับปาก หรือปฏิเสธความคิดของฮูหยินใหญ่ เพียงนั่งฟังนางอบรมต่อไปเรื่อย ๆ จนจบโจวเมิ่งอิ๋งแม้ไม่ใช่มารดาแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายก็เลี้ยงดูเขามาอย่างดีด้วยเช่นกัน หลี่เจิ้นหัวนับถือฮูหยินใหญ่เป็นเหมือนแม่อีกคนหนึ่ง หลังจากมีลูกคนที่สองเป็นชายก็ไม่ได้ห่างเหินเขาไปแต่อย่างใด ยังดูแลเขากับมารดาไม่ได้ขาดตกบกพร่องเช่นเดิมแม้ว่าที่จริงเขาจะเกิดจากอนุ แต่เขาก็ถูกยกให้เป็นบุตรของนางนับตั้งแต่วันที่เกิดแล้ว เพราะเป็นบุตรชายคนแรก และเพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายในภายภาคหน้าจึงใช้วิธีการเช่นนี้เรียกว่าเป็นโชคดีของหลี่เจิ้นหัวก็ได้ เพราะโดยทั่วไปหากสามีมีอนุหลายคน หลังบ้านก็ไม่มีทางสงบสุ
เพราะความไม่เอาไหนของนาง ทำให้สตรีคนหนึ่งต้องตะเกียกตะกายเอาอนาคตของตัวเองทั้งหมดมาช่วยไว้หลังจากที่มีสัมพันธ์กับสาวใช้เขาก็แต่งตั้งนางให้เป็นอนุ อำนาจของแม่สามีในตอนนั้นหรือแม้แต่ตัวนางเองสามารถสั่งปลดได้ แต่ถังหยี่หรูติดตามมาในฐานะสินเดิมของนาง คนที่จะตัดสินชีวิตสาวใช้ผู้นั้นก็คือนาง ถังหยี่หรูยืนยันจะอยู่รับใช้ข้างกายนายหญิงของตน จึงไม่มีใครทำอะไรนางได้เพราะโจวเมิ่งอิ๋งไม่ยอมหลังจากนั้นถังหยี่หรูก็ตั้งครรภ์บุตรชายและยกลูกให้นาง สถานะในจวนของโจวเมิ่งอิ๋งจึงมั่นคงขึ้นมา“นายหญิง”คนกำลังตกอยู่ในภวังค์เงยหน้าขึ้น พึ่งรู้ตัวว่าตนเองเดินเหม่อลอยมาจนถึงสวนดอกไม้ด้านหลังจวน ถังหยี่หรูพอเห็นหน้าหญิงมาก็ลงไปนั่งกับพื้น โจวเมิ่งอิ๋งมองความภักดีของนางจนแทบถวายตัวแล้วก็เศร้าใจ หย่อนกายลงไปนั่งที่ระเบียงใกล้ ๆ“เมื่อครู่ทำไมเจ้าไม่ไปที่ห้องโถงล่ะ”“ทุกอย่างอยู่ที่นายหญิงอบรมสั่งสอนบุตร ข้าไม่ปรารถนาจะก้าวก่ายเจ้าค่ะ หากอนุคนอื่นเห็นข้าอยู่ที่นั่นพวกเขาต้องไม่พอใจแน่ และคัดค้านคำตัดสินของนายหญิงแน่”อน
“เฮอะ พูดไปเถอะ ข้าเชื่อว่าถ้าเป็นเจ้าคงทำรุนแรงยิ่งกว่านี้”“ชมกันเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”“เด็กคนนี้ ไม่น่ารักเลยจริง ๆ” หมอเทวดาถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอาคนที่ใช้คำว่าน่ารักด้วยได้คงมีแต่น้องชายของนางเท่านั้น ซุนเป่ยฉีปลงตกเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว“แล้วนี่อาจารย์คิดจะไปที่ไหนต่ออย่างนั้นหรือเจ้าคะ” กับวังหลวงเขายังหนีออกมาได้ นางคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็นึกได้พอดี ข้ามีสหายผู้หนึ่งที่อยากพาเจ้ากับน้องไปเจอ”เด็กหญิงเลิกคิ้ว นึกแปลกใจว่า ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ตั้งแต่ไปร่ำเรียนกับเขามาตลอดหลายปีหมอเทวดาไม่เคยเอ่ยถึงสหายผู้อื่นให้ฟัง เรื่องนี้นางเดาใจเขาไม่ถูกเลยคงมีแต่ต้องไปถึงจะรู้สินะ“เมื่อไหร่ดีเจ้าคะ”“อีกสามเดือนให้หลังเป็นอย่างไร”“ตามที่อาจารย์ต้องการเจ้าค่ะ”“เรื่องวันเวลาข้าจะส่งข่าวบอกอีกทีก็แล้วกัน สถานที่ก็ด้วย”“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะรอข่าวจากท่านนะ”หลังจากกินข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ เขาและนางก็แยกย้ายกันไป ฉินหลิวซียังมีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่างหลังกลับไปที่หมู่บ้านเพราะกำหนดการใหม่นี้ ส่วนซุนเป่ยฉีออกจากเมืองไปตั้งแต่กินอาหารเสร็จไม่ได้
“ของพวกนี้ท่านรับซื้อไหม” เพราะหลังจากไปพบอาจารย์ครั้งหน้านี้ไม่รู้จะได้กลับบ้านอีกทีเมื่อไหร่ นางต้องเอาเงินไว้ให้ทางบ้านใช้จ่าย และให้เงินสำรองฉุกเฉินไว้ด้วย“ข้ารับทั้งหมด” หญิงสูงวัยเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ครั้งนี้เด็กหญิงคนนั้นก็ยังของคุณภาพดีมาที่ร้านนาง ไม่รู้เป็นเทพเซียนน้อยจากที่ใด บรรยากาศรอบตัวจึงแผ่แต่ความลึกลับออกมาฉินหลิวซีขายของได้หลายร้อยตำลึงแล้วก็กลับ นางคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คงราบรื่นไม่มีปัญหาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่นึกไม่ถึงว่าหลังกลับมาที่โรงเตี๊ยมจะพบกับความน่าประหลาดใจ“นี่อะไร” นางชี้กองร่างมนุษย์ที่ถูกซัดจนหมดสภาพอยู่ในห้องตัวเอง“พวกมันบุกเข้ามารื้อค้นของในห้อง ข้าจึงจัดการไปขอรับ”ฉินหลิวซีกอดอก มองผลงานก่อนไล่สายตาดูคนแสดงฝีมือตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกนางจะตั้งชื่อให้คนผู้นี้ว่าอาเซียว เป็นแฝดพี่ ฝาแฝดคู่นี้หน้าไม่คล้ายกันมากจึงทำให้แยกออกได้ง่าย“น้องเจ้าล่ะ”“ออกไปตามเก็บพวกที่เหลือขอรับ”“มาเป็นกลุ่มใหญ่สินะ รู้จุดประสงค์หรือเปล่า”“พวกมันไม่ได้เอาของมีค่าอย่างอื่นไป และมาหลังจากที่นายหญิงน้อยไปที่ร้านสมุนไพรครั้งที่สองทันที คิดว่าเป้าหมายอาจเป็นวั
พอนางกลับมาท่านลุงท่านน้าก็อยากจะเลี้ยงฉลองให้ เพราะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันมานานแล้ว เย็นวันนั้นจึงได้กินอาหารมื้อใหญ่กัน ฐานะของพวกเขาไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป การจะซื้อเนื้อมากหน่อยไม่ใช่ปัญหาเลย“ไปเมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” ชิวย่าหนานถามบุตรสาวด้วยความใคร่รู้พวกเขาไม่เคยไปไหนไกลเกินเมืองหนึ่ง และไปก็ไม่เคยได้เที่ยวสบายใจ ไปทำงานแล้วก็กลับ ไม่ได้มีความรู้สึกสุนทรีต่อโลกใบนี้สถานะไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้น เมื่อบุตรสาวไปห่างไกลจึงอยากรู้ว่า นางพบเจอสิ่งใดมาบ้าง“เจอของจากต่างถิ่นมากมายเลยละเจ้าค่ะ เพราะเป็นเมืองศูนย์กลางก่อนกระจายสินค้าไปยังเมืองอื่น รอบ ๆ วังก็สวยมากด้วย”ถ้าไม่นับรวมกับที่ทำเรื่องแบบนั้นใส่อาจารย์ของข้า วังหลวงก็เป็นสถานที่ที่ชมได้เต็มปากกว่านี้อยู่หรอกนางใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ปากไปพลางเล่าเรื่องที่พบเจอสลับกัน แต่ไม่ได้เล่าว่าเจอสหายอย่างหลี่เจิ้นหัวด้วย“สามเดือนจากนี้ข้ากับซือหยวนจะเดินทางนะเจ้าคะ” ไหน ๆ อยู่กันพร้อมหน้าแล้วนางก็จะบอกตอนนี้ให้จบกันไป“เดินทางไปไหนอย่างนั้นหรือ” ผู้เป็นบิดารู้สึกเป็นห่วงบุตรสาว ตั้งแต่ออกเดินทางไปกับหมอเทวดาเมื่อคราวก
ได้ยินคำถามน้องชายของนางก็เลิกคิ้ว “ท่านพี่จะมาไม้ไหนอีก”“ทำอย่างกับข้าไม่เคยซื้อของให้เจ้าไปได้” นางหยิกแก้มน้องชายด้วยความเอ็นดูไปที“ปกติท่านพี่ตระหนี่จะตาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเรามีเงินจำกัดถึงได้ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะซื้ออะไร แล้วมันก็เป็นเงินของท่านด้วย”“ตอนนี้ข้ามีเงินเยอะแล้ว ถ้าอยากได้อะไรก็บอกข้าได้ตลอดนะ” นางผ่านช่วงเวลาทั้งหมดมาได้เพราะมีเขาอยู่ข้าง ๆ เพราะมีเขาจึงได้ไม่เหงา ถ้าไม่มีฉินซือหยวนนางคงผ่านวันเวลาอันยากลำบากด้วยความทรมานกว่านี้แน่“ตอนนี้ข้ายังไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษ แต่ถ้ามีข้าจะบอกท่านแน่นอน”กว่าจะถึงกำหนดเดินทางพวกเขาก็ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกมาก ฉินหลิวซีนับจำนวนสมุนไพรทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร้าน หากของใกล้จะหมดคลังแล้วนางก็จะเติมเอาไว้ให้และเผื่อสำรองล่วงหน้า เผื่อว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนาน อะไรที่หาไม่ได้ง่าย ๆ นางก็จะเอาไว้ให้มากหน่อย อะไรที่พอซื้อหาแลกเปลี่ยนกันได้นางก็จะบอกเกณฑ์ราคาที่รับและจ่ายออกไปโอสถที่ปรุงไว้ก่อนไปเมืองหลวงยังเหลืออยู่เยอะเลยนะ แต่เดินทางไปกับอาจารย์ครั้งนี้ไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อไหร่ ทำเพิ่มอีกหน่อยดีกว่าฉินหลิวซีปรุงโอสถ
เวลาสามเดือนที่รอคอยมาถึงอย่างรวดเร็ว นางมัวแต่ทำนั่นทำนี่รู้ตัวอีกทีก็ถึงกำหนดการเดินทางแล้ว ฉินหลิวซีเรียกผู้ติดตามทั้งสองของนางเข้ามาพบ“นายหญิงน้อยมีเรื่องจะสั่งหรือขอรับ”“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่มีเรื่องจะไหว้วานพวกเจ้า เพราะข้าเชื่อใจจึงได้ฝากฝัง หลังจากที่ข้าออกเดินทาง ความปลอดภัยของคนในครอบครัวต้องฝากพวกเจ้าดูแล”อาเซียวอาซานรู้อยู่ว่านายหญิงต้องเดินทางตั้งแต่วันที่บังเอิญเจอกับผู้อาวุโสครั้งนั้นแล้ว ตนก็นึกสงสัยอยู่ว่านายหญิงน้อยจะให้ติดตามไปด้วยหรือไม่“นายหญิงน้อยโปรดวางใจ พวกข้าจะทำให้ดีที่สุด”“ถึงมาพูดเอาป่านนี้จะไม่มีประโยชน์เพราะข้าวางใจพวกเจ้าไปแล้ว แต่ก็ฝากเตือนทุกคนเอาไว้ด้วยว่า หากทรยศข้าขึ้นมา ไม่จบแค่ความตายแน่”“พวกข้าน้อยทราบดี และซาบซึ้งในบุญคุณของนายหญิงน้อยยิ่งนัก จะสอดส่องดูแลให้ทั่วถึงขอรับ”พวกเขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะถึงขนาดนี้นางก็วางใจไปได้พอสมควร คำเตือนก็ส่งให้แล้วจะปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาอาเซียวอาซานเปลี่ยนเจ้านายมาหลายคน พอหมดประโยชน์ด้านใช้แรงงานก็ขายต่อ บางครั้งตลาดค้าทาสก็เป็นที่ซื้อขายแรงงานชั่วคราว แต่ก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่าบางกรณีอาจต้องเป
“เราไม่ต้องรีบร้อน อย่างไรก็ถึงตามกำหนดการ” นางเผื่อเวลาเอาไว้แล้วเรื่องนี้จึงไม่ต้องห่วง หรือต่อให้มีเหตุทำให้คลาดเคลื่อนไปจริง อาจารย์ของนางก็ต้องรอแน่“หรืออย่างไรดี วันนี้อยากลองค้างในป่าดูหรือไม่”ฉินซือหยวนใช้เวลาทบทวนไม่นานเขาก็พยักหน้าทันที สายตาของเด็กชายบ่งบอกว่าเขาตื่นเต้นมากตอนอยู่กับอาจารย์ก็นับว่ามีผู้ใหญ่คอยดูแล ตอนอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ก็มีพวกเขาคอยหุงหาอาหารให้ ที่ผ่านมาอาศัยพักนอนโรงเตี๊ยมตลอด ตอนนี้สองพี่น้องเดินทางกันลำพัง อะไรต่อมิอะไรต้องทำด้วยตัวเองหมด“เอาสิ ๆ ต้องสนุกมากแน่เลย”“เจ้าเด็กคนนี้ เราไม่ได้มาเที่ยวเล่นกันนะ” ฉินหลิวซีอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มน้องชายด้วยความมันเขี้ยวในเมื่อน้องของนางไม่ได้ว่าอะไร และเต็มใจมากด้วยซ้ำ วันนี้ทั้งสองคนจึงตัดสินใจค้างกลางป่าพวกเขาเดินไปจนพบแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งมองเห็นกำแพงเมืองข้างหน้าจากตรงนี้ พรุ่งนี้เดินทางต่อไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็คงถึงเมืองแล้ว เลือกสถานที่แห่งนี้พักแรมชั่วคราวครั้งแรกกันสองคนก็ไม่เลว ถ้ามีเหตุฉุกเฉินหรือเรื่องสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้นก็ยังหนีเข้าเมืองทันแม่น้ำที่พวกเขาเลือกอยู่ใกล้กับต้นน้ำมากจึงไม่ต้องห่วงเรื
มิติทับซ้อนของสำนักอุดมสมบูรณ์มากเพราะเปิดใช้งานเพียงสิบปีครั้ง อีกทั้งยังไม่เปิดให้ใครเข้ามาระหว่างนั้น สมุนไพรและพืชผลเติบโตได้อย่างเต็มที่ สิบปีที่ไม่มีใครบุกรุกนี้คงมีแต่แมลงที่จะรบกวนพวกมันได้"ข้าขอไปดูทางนั้นสักครู่เผื่อว่ามีสมุนไพรอื่นอีก" ฉินหลิวซีขอแยกตัวออกมาหลังจากพักร่างกายเสร็จแล้ว เพราะนางไม่ได้ออกมาไกลมาก ยังอยู่ในระยะที่พวกเขาเห็นได้หลี่เจิ้นหัวจึงไม่ได้ว่าอะไรฉินหลิวซีเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเพื่อนำสมุนไพรบางส่วนเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง สมุนไพรที่หามาได้ต้องแบ่งให้กับคนอื่นเท่า ๆ กัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการนับคะแนนแบบกลุ่ม สมุนไพรหายากเหล่านี้นางก็อยากเก็บไว้เอง เพราะมิตินี้สิบปีจะเข้ามาได้สักครั้งข้าก็ไม่ใช่คนดีเป็นพระโพธิสัตว์อะไรอยู่แล้ว ขอเก็บไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็แล้วกันฉินหลิวซีแบ่งสมุนไพรทีละเล็กละน้อยเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง ในโลกของผู้ฝึกตนจะมีเครื่องมือชนิดหนึ่งใช้หาสมุนไพรที่ต้องการ ผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ล้วนมีมันอยู่ในมือ เป็นอุปกรณ์คล้าย ๆ กับที่คนเป็นครูในโรงเรียนมักจะมีปากกาเหน็บไว้กับเสื้ออุปกรณ์ธรรมดาระดับนั้นนางไม่ใส่ใจมันเลย จนกระทั่งพึ่งมาส
พิกัดเริ่มต้นแต่ละกลุ่มถูกส่งไปแบบสุ่ม หลังจากที่จัดการกับกอสมุนไพรที่บังเอิญพบแห่งแรกนั้นเสร็จพวกเขาก็เดินต่อไปทางทิศตะวันออกระหว่างทางนั้นฉินหลิวซีก็ยังเก็บสมุนไพรมาได้อีกหลายต้น เดินต่อมาได้อีกระยะหนึ่งก็พบเข้ากับกอสมุนไพรใหม่ อีกทั้งกอนี้ยังเป็นสมุนไพรที่มีอายุสิบปีขึ้นไปทั้งนั้นอีกด้วย เมื่อเห็นของหายากพวกเขาก็ตั้งท่าระแวดระวังทันที และยกหน้าที่เก็บสมุนไพรเหล่านี้ให้ฉินหลิวซีดูแลระหว่างที่กำลังเดินหาและเฝ้ายามไปด้วย หัวหน้ากลุ่มอย่างหลี่เจิ้นหัวก็ส่งสัญญาณมือให้พวกเขาหยุด ยังไม่ทันได้ถามคำตอบก็ดังลั่นมาจากข้างหน้า"ส่งสมุนไพรในมือเจ้ามา!"ผู้ใช้โอสถที่กำลังเก็บสมุนไพรอย่างขะมักเขม้นลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น มือหนึ่งจับด้ามกระบี่อ่อนของตนเอาไว้ ในมืออีกข้างยังเหลือต้นสมุนไพรที่พึ่งเก็บขึ้นมา"พวกดาราจักรนี่เอง" หนึ่งในศิษย์ของสำนักเซียนกระบี่เอ่ยขึ้นฉินหลิวซีประเมินด้วยสายตาแล้วก็คิดว่านางคงไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่มย่ามให้ศึกครั้งนี้ นางปล่อยมือจากด้ามกระบี่ของตนแล้วยกหน้าที่คุ้มกันให้หลี่เจิ้นหัว เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีเมินเฉยต่อตัวตนของพวกเขา ลูกศิษย์กลุ่มนั้นก็เข้ามาจู่โจมทันทีดาราจ
ศิษย์ในสำนักต่างเห็นด้วยกับคำพูดของคนเหล่านี้ เว้นก็แต่หลี่เจิ้นหัวและน้องชายสุดรักของนาง ฉินซือหยวนจากที่หลบหลังหมอเทวดาอยู่ก็ออกมายืนข้าง ๆ ให้เห็นหน้าได้ชัด ตอนนี้เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อใครไปทั่วเสียงประท้วงดังได้อยู่ไม่นานท่านเจ้าสำนักก็ยกมือขึ้นให้พวกเขาหยุด“เรื่องที่สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนใน ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะนางเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งก็เคยร่ำเรียนที่สำนักของเรา ส่วนเรื่องฝีมือของนาง แม้ข้าจะกล่าวไปก็ไม่อาจทำให้พวกเจ้าเชื่อได้นอกจากเห็นด้วยตา ผู้ที่รู้แจ้งคงมีไม่กี่หยิบมือ เช่นนั้นก็ให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เถิด”คำแถลงไขของท่านเจ้าสำนักเว่ย แม้ไม่ได้เปลี่ยนการตัดสินใจ แต่ก็ทำให้พวกเขายอมรับได้มากขึ้น พวกเขาจึงได้สงบปากสงบคำลงดังเดิม แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สงบลงเสียทีเดียว“เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักโปรดช่วยแถลงไขความข้องใจให้ข้าที แท้จริงแล้วนางผู้นั้นเป็นใครกันแน่”นางจำได้ว่า คนผู้นั้นคือหว่านเล่อ ยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักเซียนกระบี่ที่กำลังเอ่ยถึงกัน ดูเหมือนเขาเองก็รู้สึกแคลงใจในเรื่องนี้จากที่หลี่เจิ้นหัวเล่าเรื่องของที่
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้ใช้โอสถแซ่ฉินตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้นางตั้งใจจะไปให้ทันส่งหลี่เจิ้นหัวก่อนเริ่มการแข่งให้ได้ฉินหลิวซีดูตัวเองอยู่หน้ากระจกจนพอใจจึงค่อยออกจากเรือนพัก นางเผื่อเวลาเอาไว้มาก ทำให้มาทันช่วงผู้เข้าแข่งขันกำลังเตรียมตัวในตอนที่ยังไม่มาเด็กชายก็มองหาสหายอยู่ก่อนแล้ว พอนางปรากฏตัวเขาจึงมองเห็นได้โดยง่าย และดูเหมือนทั้งคู่จะมีเรื่องอยากพูดคุยกันก่อนเข้าสู่สนามประลองวันที่สอง เพียงมองตาก็รับรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้ใจตรงกัน หลี่เจิ้นหัวลังเลที่จะเดินออกไป แล้วนี่ก็ใกล้ได้เวลาเปิดประตูแล้วฉินหลิวซีรู้ว่าเขามาไม่ได้จึงยัดของบางอย่างใส่มือน้องชาย“ซือหยวนน้อย เอาสิ่งนี้ไปให้พี่ชายหลี่ของเจ้าที”ฉินซือหยวนพยักหน้าก่อนจะเดินฝ่าฝูงชน หลี่เจิ้นหัวไม่อยากให้น้องชายเข้ามาถึงกลางสนามให้เป็นเป้าสายตาจึงเดินออกมาพบด้วยตัวเองครึ่งทาง“พี่สาวข้าฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”เขารับมาก็พบว่าเป็นเครื่องราง ฉินหลิวซีใส่ยันต์ที่นำพาความโชคดีเอาไว้ในถุงปักลายบุปผา หลี่เจิ้นหัวฝากคำขอบคุณกลับมาส่วนตัวเองก็ไปรวมตัวกับกลุ่มศิษย์สำนักเดียวกัน เขาเก็บสิ่งนั้นลงอกเสื้ออย่างทะนุถนอมพื้นที่ทับซ้อนนี้ถูก
และอีกสารพัดข้อห้ามเพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์จากแต่ละสำนัก ฉินหลิวซีปิดปากหาว กว่าจะร่ายกฎทุกข้อจบก็ทำเอานางง่วงแล้ว กติกาพื้นฐานในการแข่งขันก็เหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ถึงจะออกกฎมาแบบนี้ก็ยังมีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในการแข่งขันอยู่เลย การแข่งขันล่าสัตว์อสูรเมื่อหลายปีก่อนที่นางเข้าร่วม มันต่างกับเรื่องนี้ตรงไหนจากมุมมองของผู้ใช้โอสถตัวน้อย คนกลุ่มนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต โตก็โตแค่ตัว ไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาเสียเลยหากยังยึดติดกับความคิดแบบนั้นไม่น่าอายุยืนได้หรอกผู้ชนะในการแข่งขันจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป เมื่อให้ผู้เข้าแข่งขันลงจากสนามไปเตรียมตัวแล้วบรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไปฉินหลิวซีเฝ้ารอสิ่งนี้มาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นการต่อสู้ของสำนักอื่นเสียทีผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันคู่แรกมาประจำที่ ตัวแทนจากดาราจักรและศาสตราพิทักษ์ก้าวลงสู่สนามประลองโดยมีเสียงจากพยัคฆ์ทองและเซียนกระบี่คอยส่งกำลังใจ แต่เสียงที่มาจากสำนักเดียวกันย่อมดังก้องกว่าใครความถนัดของพวกเขาเป็นดังชื่อเรียก แม้แต่ละสำนักจะมีแตกแยกย่อยไปหลายแขนง แต่เรื่องโดดเด่นของพวกเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับนามเรียกขานก
หลังจากความแตกวันนั้น ฉินหลิวซีก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อหลบหน้าคนกลุ่มนั้นไปจนถึงวันประลอง ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดไปบ้างที่นางต้องมาซ่อนตัวแค่เพราะคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนั่น แต่เพื่อชีวิตสงบสุขของตัวเอง นางจะยอมกลืนศักดิ์ศรีลงไปก็ได้ด้วยความที่นางเป็นศิษย์เอกของหมอเทวดาพวกเขาจึงยังเกรงใจ และไว้หน้านางอยู่บ้าง ไม่มีใครบอกคนนอกว่านางพักอยู่ที่ไหน และที่พักของนางก็อยู่ใกล้กับท่านอาจารย์ หากใครคิดจะมาหาเรื่องฉินหลิวซีก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับหมอเทวดาด้วยแต่จนแล้วจนรอดวันชุมนุมนางก็ต้องมา เพราะรับปากกับท่านเจ้าสำนักเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมลงสนามแต่นางก็มาดูในฐานะผู้ชมได้ ตามจริงแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาต แต่อาจารย์ของนางได้รับเชิญ นางจึงได้สิทธิ์เข้ามานี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันตั้งแต่มาที่นี่ที่ฉินหลิวซีได้พบหน้าน้องชาย“ท่านพี่!”“ซือหยวน” ฉินหลิวซีอ้าแขนรับเจ้าตัวดีที่พุ่งเข้ามาหานางโดยไม่คิดจะยั้งแรง เด็กหญิงถึงกับเซไปข้างหลังหลายก้าว“ข้าคิดถึงท่านจังเลย”“ข้าก็คิดถึงเจ้า” สองพี่น้องกอดกันกลม สนิทสนมจนเป็นที่น่าอิจฉา มีไม่มากที่พี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียวกันปานนี้ฉินซือหยวนเพิ่งเข้าสำนั
เด็กหญิงแซ่ฉินนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหิน มองดูเหล่าศิษย์สำนักวัยเดียวกันออกเพลงหมัดมวยตามในตำรา บางช่วงก็ผลัดกันถือกระบี่ประลองฝีมือฉินหลิวซีรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก สำนักเซียนกระบี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมตัวของผู้มากพรสวรรค์โดยแท้เมื่อวานมีแต่เรื่องรีบร้อนให้นางทำจนไม่มีเวลาสนใจทักษะของแต่ละคนหลายคนหน่วยก้านไม่เลวเลย ถ้าน้องข้าได้ฝึกแบบเดียวกันฝีมือคงพัฒนาไปไกลฉินหลิวซีกวาดสายตามองทิวทัศน์รอบกาย สายลมอุ่นพัดผ่านก่อนจากไป ตอกย้ำว่าเข้าใกล้ฤดูหนาเข้าไปทุกทีไม่รู้ตอนนี้ที่บ้านนางเป็นอย่างไร จะอยู่สุขสบายดีหรือไม่ มีใครมารังแกหรือเปล่า พอได้คิดถึงพวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็คิดซ้ำไปซ้ำมา ฉินหลิวซีคิดว่าคืนนี้คงต้องเขียนจดหมายหาท่านพ่อท่านแม่เสียหน่อยระหว่างที่เด็กหญิงกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของผู้ใช้โอสถก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ชวนให้หวั่นใจเข้าเด็กน้อยผู้นั่งอยู่บนโขดหินถึงกับลมหายใจสะดุด ความรู้สึกกังวลจนใจหายเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง แต่ความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังไปได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยฉินหลิวซีร
เด็กชายทำหน้าลังเลทันที เรื่องคัมภีร์ฝึกวิชาเป็นความลับของสำนัก ไม่ว่าที่ใดก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่วันนี้เขาก็พานางไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปเรียนรู้ แต่เขาไม่อยากห่างจากนาง และตั้งใจจะพามากินข้าวต่ออยู่แล้วจึงไม่ได้ให้นางกลับเห็นสีหน้าลำบากใจของเขานางก็เข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร“ข้าจะลองถามท่านเจ้าสำนักดูเอง เจ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนหรอก”หลี่เจิ้นหัวไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักเท่าไร แต่การไปขออนุญาตท่านเจ้านักเป็นเรื่องถูกต้องแล้วพวกเขาไม่ได้พูดกันเรื่องนี้อีก ทั้งสองกินอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จฉินหลิวซีก็ตั้งใจจะไปขออนุญาตกับท่านเจ้าสำนักด้วยตัวเองทันทีนางมาที่เรือนด้านหลังที่เคยมาเมื่อวาน นอกจากท่านเจ้าสำนักแล้วนางยังพบว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็อยู่ด้วยฉินหลิวซีค้อมกายประสานมือคารวะอาวุโสกว่า หลี่เจิ้นหัวที่ตามหลังมาติด ๆ พอเห็นว่าอาจารย์อยู่กันเกือบทุกคนก็รีบทำความเคารพทันที“มีธุระอะไรล่ะ” เจ้าสำนักเว่ยหันมาถามนางเด็กหญิงไม่รอช้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง “ข้าจะมาขออนุญาตติดตามสหายผู้นี้ไปดูเขาฝึกศิษย์คนอื่นเจ้าค่ะ”“สามหาวยิ่งนัก! เป็นใครมาจากไหนไม่รู้หัวนอนปลาย
เขาพานางเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนพ้นออกมาจากบรรยากาศเงียบสงบ แทนที่ด้วยเสียงจอแจของผู้คน นางเปรียบเทียบอยู่แล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งใดคนนอกเข้าออกได้สะดวก และที่แห่งใดอย่าได้นึกย่างกรายเข้าไป“เขตหวงห้ามของสำนักเซียนถ้าไม่มีคนในพาเข้าไป คนนอกย่อมเข้าไปไม่ได้ ยามที่มีการชุมนุมกับสำนักอื่นก็จะมีการเฝ้ายามบริเวณนี้เป็นพิเศษ”“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปจะระวังนะ”“เจ้าออกมาเพราะเบื่ออยู่ในห้องสินะ ตามที่ข้ารับปากไว้เมื่อวาน วันนี้ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมรอบ ๆ ก็แล้วกัน”“ต้องรบกวนแล้วเจ้าค่ะ”นางประสานมือโค้งคำนับให้เขาคล้ายจะล้อเลียน หลี่เจิ้นหัวทั้งยิ้มทั้งหัวเราะคล้ายว่าจะชอบใจอย่างมากกับสิ่งที่นางทำ หลังจากนั้นเด็กชายก็นำทางนางไปยังสถานที่ต่าง ๆสำนักเซียนกระบี่มีขนาดใหญ่โต นางยังเดินดูได้ไม่หมดหลี่เจิ้นหัวก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งแล้ว“ศิษย์น้องหลี่ ที่ลานฝึกมีคนเรียกหาเจ้าน่ะ”ศิษย์พี่คนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเอ่ยเรียกทั้งสองไว้ ดูเหมือนว่าเขาก็เพิ่งกลับมาจากลานฝึกเช่นกัน“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่”หลังจากศิษย์คนนั้นเดินจากไป ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้น“ดูเหมือนว่าต้องล