ชายชรานั่งอยู่ที่เก้าอี้เอนหลัง รู้สึกตัวว่ามีคนเข้าก็ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน จ้องมองคนที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้า
“คุณเองรึ” เสียงแหบแห้งเอ่ยาถาม “ไม่ได้เจอนาน”
“ความจำดีจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อถึงข้อศอก เข้ากับรองเท้าหนังที่สวมอยู่ การเดินเข้ามาราวกับคนคุ้นเคยทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ไม่เจอกันกี่ปีแล้ว” บรรพตถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง
“ก่อนที่คุณยายจะเสีย” เขาตอบแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ ปรายตามองออกไปทางหน้าต่างซึ่งมองเห็นบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ กัน “บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้วเหรอ”
“อืม” คุณตาตอบเบาๆ “คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีครับ” เขาตอบไปตามตรง “รักษาตัวเองหลายปี อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไปหาหมอตามนัดสม่ำเสมอ”
“ก็ดีแล้ว” คุณตาพยักหน้าเศร้าๆ อดีตเคยรุ่งโรจน์ ทรัพยสินเงินทองมากมาย แต่ครอบครัวกลับแตกแยก ลูกหลานไม่เหลียวแลสนใจแต่เงินในบัญชี มันคือผลกรรมจากการได้มาโดยมิชอบทั้งสิ้น
“แล้วคุณ...ไปหาหมอหรือเปล่า”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ผมจัดการตัวเองได้”
“ช่างเถอะ ผมยุ่งเรื่องของคุณหนูมากเกินไป”
“ผมสามสิบแล้ว เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอารมณ์ดีขึ้น “ผมแค่มาหาคนเล่นหมากรุกด้วยเท่านั้น”
“เอาซิ ผมเองก็...จะอยู่เล่นหมากรุกได้กี่วันเชียว”
“จะรีบตายไปไหนกัน” ชายหนุ่มเบ้ปาก แปลกใจที่รู้สึกเหมือนในห้องมีกลิ่นหอมของดอกไม้ หรือเพราะตาแก่นี่ชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้จึงมีกลิ่นหอมของดอกมะลิอยู่ในนี่
“มาเถอะ เล่นหมากรุกกัน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วเดินไปหยิบชุดกระดานหมากรุกที่ฝุ่นเขรอะออกมาวางตรงหน้า
“ถ้าไม่มีเดิมพันก็ไม่สนุก” คุณตาหัวเราะเสียงแห้ง
“เอาอะไรดี”
“นั้นซิ จะเดิมพันด้วยอะไร”
“มีเรื่องอยากให้ช่วย”
“อะไรเหรอ”
“เอากระดานตานี้ให้ชนก่อนแล้วจะบอก”
“แบบนี้ก็ได้เหรอ” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าแต่กลับพูดจาราวกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ความสนใจเรื่องอื่นหายไปเมื่อบนกระดานมีหมากแต่ละตัววางในตำแหน่งสำคัญ
.....................
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเห็นภาพในห้องนอนอันแสนคุ้นตา ความเบื่อหน่ายคือสิ่งแรกที่ทักทายในยามเช้า เขายันร่างเปลือยท่อนบนขึ้นนั่ง เสยผมยุ่งๆ แล้วมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลตั้งอยู่ในห้องนอน
“เที่ยงแล้ว ตลกล่ะ”
หัสดินบ่นงึมงำ เขารู้ว่าถ้าช่วงที่เขาหลับลึกเพราะอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มหัวเสียที่ตัวเองตื่นเอาตอนเที่ยงอย่างนี้ นี่ไม่ใช่วันหยุด และเขามีการมีงานทำเหมือนคนปกติ หิวและอิ่มไม่ต่างกัน
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาโรคสองบุคลิก (DID)
อาการของเขาชัดเจนตอนอายุ 18 ปี ก่อนหน้านั้นเขาไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนั้นเป็นหัสวีร์ที่จับความผิดปกติในตัวเขาได้
‘ฉันไม่ได้รังเกียจนาย แต่นายต้องรักษาตัวเอง’
‘แต่’
‘ฉันต้องไปเมืองนอก ไม่มีฉันอยู่ใครจะดูแลนายได้’
‘ก็ได้ ผมเชื่อฟังพี่ แต่เรื่องนี้ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้’
‘อืม แค่ปู่รู้คนเดียวก็พอ เราไปหวังพึ่งพ่อเจ้าชู้ของเราคงไม่ได้หรอก’
หัสดินไม่ได้รักษาตัวเองจริงจังนัก ลึกๆ แล้วเขากลับพอใจที่เป็นอย่างนี้
ห้องชุดสุดหรูชั้นที่30 ของคอนโดกลางกรุงเป็นที่ซุกหัวนอนของเขา แม้พ่อมีคฤหาสน์หลังงามใหญ่โตเนื้อที่กว่าสิบไร่ เขาไม่ได้น้อยใจที่เกิดมาเป็นลูกนอกสมรส ที่ผ่านมาก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากคุณปู่คุณย่าและยังช่วยสนับสนุนการรักษาโรคซึมเศร้าหลังคลอดของแม่ด้วย
หลายปีมานี้ เขาตอบแทนบุญคุณตระกูลศาตนันท์ ที่ให้การเลี้ยงดูเขากับแม่เป็นอย่างดี แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นเมียออกหน้าออกตาของพ่อ แต่ก็เป็นคนที่สองที่พ่อรับแม่มาอยู่ในคฤหาสน์อย่างเป็นทางการหลังจากแม่ของหัสวีร์หย่าขาดและกลับไปใช้ชีวิตต่างประเทศ ธุรกิจสีเทาที่ไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น เขาดูแลทำกำไรหลายสิบล้าน อาจไม่มากหากเทียบกับหัสวีร์ แต่ก็...ทำให้หลายชีวิตหลายปากร้องมีเงินใช้ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่
เบื้องหน้าที่ใครๆ รู้จัก เขาคือเชฟหัสดิน หรือเชฟดิน เรื่องการทำอาหารอาจเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวตนของเขามากที่สุด สิ่งที่ได้มาจากสองมือของเขา แม้จะยากลำบากสักหน่อยแต่ยั่งยืนกว่า และไม่มีใครมาพรากสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาไปจากเขาได้
ช่วงอายุยี่สิบต้นๆ เขาสนุกรื่นเริงกับ ผู้หญิง ปาร์ตี้ เซ็กส์ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ร่างกายกระหายเซ็กส์เติมอย่างไรก็ไม่เต็ม บุคลิกที่สองของเขา ‘ดิน’ ยิ่งอิ่มเอมเพราะมันเสพกามตัณหาราวกับเป็นอาหาร ทว่าไม่กี่ปี เขาก็เริ่มเบื่อหน่าย ถอยห่างไม่รู้ตัว
หัสดินกระหายน้ำ เมื่อวาน ‘ดิน’ คงไปท่องราตรี แต่เขาไม่รู้สึกแฮงค์แค่คอแห้งอย่างหนัก บางครั้งเขาก็จำจำได้ว่า ‘ดิน’ ใช้ร่างของเขาไปทำอะไรบ้าง และบ้างครั้งเขาตื่นมาพร้อมกับจำอะไรไม่ได้เบน ร่างเปลือยท่อนบนเดินลากเท้าอย่างอ่อนแรงออกมาที่ครัวทันสมัยที่แทบไม่เคยใช้ เขาใช้ที่นี่เป็นที่หลับนอน ไม่เคยพาใครเข้ามา ปกติจะพบเขาต้องโทรนัดเวลาก่อน ไม่มีการจู่โจมมาพบถึงตัว
เขาเปิดตู้เย็นหยิบขาวน้ำดื่มมายกดื่มอย่างกระหาย น้ำเย็นไหลออกมาจากมุมปาก ผ่านลำคอไปสู่แผงอก แล้วสายตาของเขาก็ปะทะกับปิ่นโตบนโต๊ะ เขาวางขวดน้ำลงแล้วเดินไปปิ่นโตสามชั้นออกดู ชั้นแรกเป็นข้าวกล้องเรียงเม็ดดูน่ากิน อีกชั้นเป็นไข่พะโล้ ส่วนชั้นสุดท้ายเป็นกุนเชียงทอด จู่ๆรู้สึกน้ำลายเต็มปาก ยื่นมือไปหยิบกุนเชียงที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำเข้าปาก มันก็แค่กุนเชียง สายตามองไปที่ข้าวสวยมีช้อนสั้นวางอยู่ด้านบน เขาหยิบมันตักข้าวใส่ปาก ข้าวไม่แข็งจนเกินไป เขาตักหมูสามชั้นกับน้ำพะโล้ราดข้าวก่อนตักเข้าปาก
กับข้าวง่ายๆ ทำไมอร่อย หรือเพราะเขาหิว ‘ดิน’ เอาร่างเขาไปทำอะไรถึงได้ทั้งหิวและกระหายน้ำขนาดนี้
ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อเห็นหญิงสาวตัวเล็กในชุดเสื้อเครื่องแบบสีฟ้าเข้ม ยืนจ้องมองด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย
“เธอเป็นใคร” เขาเอ่ยถามแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่ม ไม่ได้รินใส่แก้ว
“แม่บ้านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ แต่สายจ้องไปที่ปิ่นโต หัสดินมองตามสายตาเธอ แล้วก็เขาก็ทำหน้าประดักประเดิก“นี่ของเธอเหรอ”“ใช่ค่ะ อาหารกลางวันของดิฉัน” หญิงสาวตอบทำตาปริบๆ เขากินไปไม่กี่คำหรอก แต่ว่า นั้นข้าวกลางวันของเธอเชียวนะ“เอ่อ... ผมไม่รู้” เขาทำหน้านิ่งกลบความเก้อเขิน “เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”“ก็เข้าทางประตูยังไงคะ” แม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะพูดจากวนประสาท แต่หงุดหงิดที่ถูกขโมยของกิน ถ้าเขาถามสักคำจะไม่ว่าอะไรเลย“ไม่มีใครบอกเหรอว่าผมอยู่ในห้อง” เขาจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละสองครั้ง แต่แม่บ้านจะมาตอนที่เขาไม่อยู่ เขาเองก็ไม่เคยเจอแม่บ้านที่จ้างผ่านบริษัททำความสะอาด ออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กอยู่ในห้องของเขาแบบนี้“ไม่ค่ะ” เธอตอบรวดเร็วไม่ลังเล “ฉันก็มาทำงานตามตารางที่ทางบริษัทให้มา”“ฮืม”เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาเป็นคนกำหนดตารางทำความสะอาดให้แม่บ้านมาที่นี่ แต่ละสัปดาห์จะมาไม่ตรงกัน เขาสลับสับเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ‘ดิน’ เองก็มีศัตรูทางการค้ามากอยู่ไม่น้อย “ทำไม?” “คะ?” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย
บทนำ “แพรดาว” หญิงสาวในวัยยี่สิบสอง เธออยู่กับ “ศรีฟ้า”แม่ของเพียงสองคน แพรดาวเรียกแม่ว่า “แม่จ๋า” จนติดปาก ตั้งแต่จำความได้เธอก็มีเพียงแม่จ๋าคนเดียว ไม่ปรากฏญาติพี่น้องที่ไหน ชีวิตสองแม่ลูกหาเช้ากินค่ำล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน จนมาตอนนี้เช่าบ้านหลังน้อยอยู่ เธอเองก็ทำงานพิเศษมาตั้งแต่ยังเด็ก อะไรที่พอช่วยเหลือแม่จ๋าได้ ก็ทำทุกอย่าง ขอเพียงงานสุจริต เธอก็ไม่อายที่จะทำมัน หกเดือนก่อนแม่จ๋าของแพรดาวประสบอุบัติเหตุ โดยรถมอเตอร์ไซค์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ห้องไอซียูนานครึ่งเดือนก่อนจะออกมาพักรักษาตัว แพรดาวเพิ่งเรียนจบคณะบริหารมาหมาดๆ ยังหางานทำไม่ได้ ด้วยความที่ต้องการใช้เงิน เธอจึงทำงานในตำแหน่งของแม่ไปก่อน ระหว่างนี้เธอก็ยื่นใบสมัครงานไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวดีมาเสียที ตอนนี้เลือกงานไม่ได้ มีอะไรก็ทำไปก่อน แพรดาวบอกกับตัวเอง เธอไม่ได้รังเกียจงานที่ตัวเองทำอยู่ เพียงแค่อยากทำงานให้ตรงสายงานที่เรียนมาก็เท่านั้น “หนูแพร” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก พนักงานในชุดสีฟ้าสดใสโบกมือเรียกก่อนที่ร่างอวบอ้วนจะวิ่งมาถึง
รอยน้ำเจิ่งนองบริเวณหน้าบ้านทำให้ต้องชะงักเท้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหาสาเหตุ แพรดาวกวาดสายตาไปทั่วหน้าบ้านสองชั้นหลังเล็กที่อยู่เข้ามาในซอยประมาณห้าร้อยเมตร ร่างชายชราวัยหกสิบเจ็ดปีก้มๆเงยๆอยู่บริเวณแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน ปลายสายยางอยู่ในอ่างบัวน้ำล้นจนมีปลาหางนกยูงออกมานอนดิ้นเล่นน้ำอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะ “น้ำท่วมแล้วคุณตา” แพรดาวรีบสาวเท้าเดินเข้าไปปิดก๊อกน้ำ ชายชราหันมามองทำหน้าเหรอหราแต่ยิ้มให้จนเห็นฟันหลอซี่หน้า หญิงสาวรวบกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำก่อนทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างๆ ชายชราที่กำลังสาละวนกำการย้ายต้นไม้ในกระถางลงดิน จนเผลอลืมดูน้ำที่เปิดใส่อ่างบัว มือหยาบและเหี่ยวย่นค่อยๆช้อนปลาหางนกยูงตัวน้อยนอนดิ้นรนบนพื้นดินกลับสู่พื้นน้ำดังเดิม คุณตาทำเหมือนไม่มีเธออยู่ใกล้ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของตาต่อไป “คุณตาบรรพต คะ” บรรพตคือชื่อคุณตาเจ้าของบ้านเช่าที่แสนใจดี เรียกไม่ดังนัก แต่เหมือนคุณตาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้แต่ยิ้มเหงาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเช่าของตัวเอง บ้านสองหลังปลูกใกล้กันในเนื้อที่บริเวณเดียวกัน หลายปีก่อนที
“แม่บ้านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ แต่สายจ้องไปที่ปิ่นโต หัสดินมองตามสายตาเธอ แล้วก็เขาก็ทำหน้าประดักประเดิก“นี่ของเธอเหรอ”“ใช่ค่ะ อาหารกลางวันของดิฉัน” หญิงสาวตอบทำตาปริบๆ เขากินไปไม่กี่คำหรอก แต่ว่า นั้นข้าวกลางวันของเธอเชียวนะ“เอ่อ... ผมไม่รู้” เขาทำหน้านิ่งกลบความเก้อเขิน “เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”“ก็เข้าทางประตูยังไงคะ” แม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะพูดจากวนประสาท แต่หงุดหงิดที่ถูกขโมยของกิน ถ้าเขาถามสักคำจะไม่ว่าอะไรเลย“ไม่มีใครบอกเหรอว่าผมอยู่ในห้อง” เขาจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละสองครั้ง แต่แม่บ้านจะมาตอนที่เขาไม่อยู่ เขาเองก็ไม่เคยเจอแม่บ้านที่จ้างผ่านบริษัททำความสะอาด ออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กอยู่ในห้องของเขาแบบนี้“ไม่ค่ะ” เธอตอบรวดเร็วไม่ลังเล “ฉันก็มาทำงานตามตารางที่ทางบริษัทให้มา”“ฮืม”เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาเป็นคนกำหนดตารางทำความสะอาดให้แม่บ้านมาที่นี่ แต่ละสัปดาห์จะมาไม่ตรงกัน เขาสลับสับเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ‘ดิน’ เองก็มีศัตรูทางการค้ามากอยู่ไม่น้อย “ทำไม?” “คะ?” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย
ชายชรานั่งอยู่ที่เก้าอี้เอนหลัง รู้สึกตัวว่ามีคนเข้าก็ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน จ้องมองคนที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้า“คุณเองรึ” เสียงแหบแห้งเอ่ยาถาม “ไม่ได้เจอนาน”“ความจำดีจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อถึงข้อศอก เข้ากับรองเท้าหนังที่สวมอยู่ การเดินเข้ามาราวกับคนคุ้นเคยทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไม่เจอกันกี่ปีแล้ว” บรรพตถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง“ก่อนที่คุณยายจะเสีย” เขาตอบแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ ปรายตามองออกไปทางหน้าต่างซึ่งมองเห็นบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ กัน “บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้วเหรอ”“อืม” คุณตาตอบเบาๆ “คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง”“สบายดีครับ” เขาตอบไปตามตรง “รักษาตัวเองหลายปี อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไปหาหมอตามนัดสม่ำเสมอ”“ก็ดีแล้ว” คุณตาพยักหน้าเศร้าๆ อดีตเคยรุ่งโรจน์ ทรัพยสินเงินทองมากมาย แต่ครอบครัวกลับแตกแยก ลูกหลานไม่เหลียวแลสนใจแต่เงินในบัญชี มันคือผลกรรมจากการได้มาโดยมิชอบทั้งสิ้น“แล้วคุณ...ไปหาหมอหรือเปล่า”ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ผมจัดการตัวเองได้”“ช่างเถอะ ผมยุ่งเรื่องของคุณหนูมากเกินไป”“ผมสามสิบแล้ว เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว” ชายหนุ่ม
รอยน้ำเจิ่งนองบริเวณหน้าบ้านทำให้ต้องชะงักเท้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหาสาเหตุ แพรดาวกวาดสายตาไปทั่วหน้าบ้านสองชั้นหลังเล็กที่อยู่เข้ามาในซอยประมาณห้าร้อยเมตร ร่างชายชราวัยหกสิบเจ็ดปีก้มๆเงยๆอยู่บริเวณแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน ปลายสายยางอยู่ในอ่างบัวน้ำล้นจนมีปลาหางนกยูงออกมานอนดิ้นเล่นน้ำอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะ “น้ำท่วมแล้วคุณตา” แพรดาวรีบสาวเท้าเดินเข้าไปปิดก๊อกน้ำ ชายชราหันมามองทำหน้าเหรอหราแต่ยิ้มให้จนเห็นฟันหลอซี่หน้า หญิงสาวรวบกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำก่อนทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างๆ ชายชราที่กำลังสาละวนกำการย้ายต้นไม้ในกระถางลงดิน จนเผลอลืมดูน้ำที่เปิดใส่อ่างบัว มือหยาบและเหี่ยวย่นค่อยๆช้อนปลาหางนกยูงตัวน้อยนอนดิ้นรนบนพื้นดินกลับสู่พื้นน้ำดังเดิม คุณตาทำเหมือนไม่มีเธออยู่ใกล้ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของตาต่อไป “คุณตาบรรพต คะ” บรรพตคือชื่อคุณตาเจ้าของบ้านเช่าที่แสนใจดี เรียกไม่ดังนัก แต่เหมือนคุณตาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้แต่ยิ้มเหงาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเช่าของตัวเอง บ้านสองหลังปลูกใกล้กันในเนื้อที่บริเวณเดียวกัน หลายปีก่อนที
บทนำ “แพรดาว” หญิงสาวในวัยยี่สิบสอง เธออยู่กับ “ศรีฟ้า”แม่ของเพียงสองคน แพรดาวเรียกแม่ว่า “แม่จ๋า” จนติดปาก ตั้งแต่จำความได้เธอก็มีเพียงแม่จ๋าคนเดียว ไม่ปรากฏญาติพี่น้องที่ไหน ชีวิตสองแม่ลูกหาเช้ากินค่ำล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน จนมาตอนนี้เช่าบ้านหลังน้อยอยู่ เธอเองก็ทำงานพิเศษมาตั้งแต่ยังเด็ก อะไรที่พอช่วยเหลือแม่จ๋าได้ ก็ทำทุกอย่าง ขอเพียงงานสุจริต เธอก็ไม่อายที่จะทำมัน หกเดือนก่อนแม่จ๋าของแพรดาวประสบอุบัติเหตุ โดยรถมอเตอร์ไซค์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ห้องไอซียูนานครึ่งเดือนก่อนจะออกมาพักรักษาตัว แพรดาวเพิ่งเรียนจบคณะบริหารมาหมาดๆ ยังหางานทำไม่ได้ ด้วยความที่ต้องการใช้เงิน เธอจึงทำงานในตำแหน่งของแม่ไปก่อน ระหว่างนี้เธอก็ยื่นใบสมัครงานไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวดีมาเสียที ตอนนี้เลือกงานไม่ได้ มีอะไรก็ทำไปก่อน แพรดาวบอกกับตัวเอง เธอไม่ได้รังเกียจงานที่ตัวเองทำอยู่ เพียงแค่อยากทำงานให้ตรงสายงานที่เรียนมาก็เท่านั้น “หนูแพร” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก พนักงานในชุดสีฟ้าสดใสโบกมือเรียกก่อนที่ร่างอวบอ้วนจะวิ่งมาถึง