บทที่ 6
ชาวินเปิดเอกสารใบสมัครงานของเธออ่านที่ละแผ่น อย่างตั้งใจ ใบสมัครนี้ลงวันที่ได้ตั้งแต่ปี 2563 “นางสาวพัชชาภา วิไลลักษ์ อายุ 26 ปี สถานะโสด…” ชาวินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “แค่ลงประวัติสมัครงานเธอยังต้องโกหกอีกหรือ ลูกก็มีอยู่ทั้งคน” เขาบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “บิดา มารดาเสียชีวิต คู่สมรส…..” ชาวินมองไปที่ช่องคู่สมรสที่ขีดออก “หรือว่าเธอจะเลิกกันไปแล้ว” “เธอจบมหาลัยเดียวกับฉัน ปีเดียวกัน หรืออายจนไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงว่าเป็นเธอเมื่อสี่ปีที่แล้ว” ชาวินไล่อ่านประวัติเธอลงมาเรื่อย ๆ และเปิดเอกสารหน้าถัด ๆ ไป “หนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อสกุล นางสาวพริมา วงษ์วิไล” อ่านถึงตรงนี้ชาวินกำมือแน่น “ดูสิเธอจะแก้ตัวได้อีกไหม” กระทั่งเวลาล่วงเลยจนเกือบบ่ายสามโมงตรง พัชชาภาเร่งจัดของจนเสร็จเรียบร้อย และยังดีที่ได้กินข้าวโดยที่ศุภกฤตเอามาให้อีกด้วย เธอกะว่าเสร็จจากงานที่นี่ จะไปรับน้องดนตรีไปฝากไว้กับป้าพิณ ป้าข้างห้องก่อนและจะกลับมาทำงานในรีสอร์ตต่อ ซึ่งพัชชาภาจะทำแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว ห้องที่เธออาศัยอยู่ก็เป็นห้องแถวของรีสอร์ที่เป็นสวัสดิการให้พนักงานทุกคน ร่วมถึงคนงานในไร่และรีสอร์ตได้อาศัยอยู่ และป้าพิณกับสามีแก่ทำงานอยู่ในไร่นี้ด้วยซึ่งป้าแก่ก็ช่วยพัชชาภาเลี้ยงดนตรีมาตั้งแต่ยังแบเบาะแล้ว เธอให้ค่าตอบแทนป้าแกเป็นประจำอยู่แล้ว ขณะที่เตรียมตัวจะออกจากบ้านพัก ชาวินก็เข้าขวางหน้าเธอไว้ก่อน “น้ำทำงานตามที่คุณวินสั่งหมดแล้วค่ะ เดี๋ยวน้ำขออนุญาตไปรับน้องดนตรีก่อนนะคะแล้วน้ำมาทำงานที่ออฟฟิศต่อ ไม่เกินสิบนาทีค่ะ” เธอเอ่ยขออนุญาตเขา เพราะศูนย์เด็กเล็กอยู่ใกล้แค่นี้ เขาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเขาจะซีเรียจเรื่องเวลาทำงาน เธอก็ยินดีที่จะทำล่วงเวลาทดแทนให้ได้เสมอ “ลูกของชู้เธอคนนั้นนะหรือน้ำ” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธเคือง “คุณวิน พูดอะไรคะ” “อย่ามาทำเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่อง นี้!!” ชายหนุ่มยื่นเอกสารประวัติส่วนตัวของเธอให้ เธอรับมันมาด้วยดวงใจที่เต้นรัว ทั้งที่พยายามจะหลีกหนีแล้ว แต่ก็ไม่พ้นอยู่ดี ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสินะ พัชชาภาสูดลมหายใจเข้าจนลึก คิดอยู่ในใจ ยังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง เธอจะต้องเผชิญหน้าและยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ได้ “ใช่ค่ะ น้ำเอง ถ้าวิน…เอ่อถ้าคุณวินอยากให้น้ำชดใช้เรื่องตอนนั้นน้ำยินดีชดใช้ให้ค่ะ” เธอนึกไปถึงเงินจำนวนนั้นที่พี่ชายของเธอเอามา “เธอต้องชดใช้อยู่แล้วแหละ” ชาวินกล่าวพร้อมกับสาวเท้าเข้าหาร่างบาง เธอทำได้แค่ถอยหนี จนแผ่นหลังแนบชิดกับข้างฝา ชาวินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นทำให้ได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่เธอคุ่นเคย เขาโน้มตัวลงใกล้ซอกคอขาว แต่พัชชาภารีบดันอกเขาไว้ “หลีกไปค่ะ น้ำจะไปรับลูก” เธอเอ่ยเสียงสั่น “อยากชดใช้ไม่ใช่เหรอ อย่าพึงรีบไปสิ” เสียงแหบพร่าจงใจกระซิบที่ข้างหูเธอ “ปล่อยค่ะ น้ำหมายถึงชดใช้เงินค่ะ ที่พี่ต้าเอาของคุณมา” “คงจะรักชู้ของเธอมาสินะ ถึงได้ยอมหนีตามมันมาและยังจะยอมคืนเงินแทนมันอีก” ชาวินจับข้อมือเล็กกระชากร่างบางให้เข้าหากายแกร่งของเขา “โอ๊ย คุณวินน้ำเจ็บ พี่ต้าไม่ได้เป็น..อุ๊บ” น้ำเสียงหายขาดช่วงไปเพราะถูกริมฝีปากใหญ่ จู่โจมจูบบดขยี้ริมฝีปากเล็กอย่างรุนแรง พัชชาภาพยายามดิ้นขัดขืน แต่ด้วยกำลังอันน้อยนิดมันแทบไม่เป็นผล เมื่อเขาจูบเธอจนพอใจแล้ว กำลังจะถอนริมฝีปากออก พัชชาภาใช้จังหวะนี้ดันอกชายหนุ่มจนหลุดพ้น เธอถอยหนีออกห่างจากเขา มองเขาด้วยสายตาที่ตัดพ้อ วินคิดว่าน้ำกับพี่ต้าเป็นชู้กันหรือเนี้ย จะบอกวินดีไหม แต่ตอนนี้วินมีคู่หมั้นแล้ว และดูเหมาะสมคู่ควรกันดี เธอได้แต่คิดในใจ และตัดสินใจจะไม่พูดเรื่องที่พี่ต้าเป็นพี่ชายไม่ใช่ชู้ของเธอ เพราะยังไงวินก็มีคู่หมั้นเดี๋ยวก็คงต้องแต่งงานกันแล้ว เธอควรจะอยู่ห่างเขาไว้ดีกว่า “น้ำสัญญาว่า จะหาเงินมาคืนคุณวินให้ครบค่ะ ส่วนเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนนั้นน้ำขอโทษวินจากใจจริง และมันผ่านมาแล้วน้ำกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้มันจบลงและนั้นเถอะนะ น้ำขอร้อง” เธอเอ่ยจบน้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มสวย “แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ ที่เราอยู่ด้วยกันมันไม่มีความหมายอะไรเลยหรือน้ำ น้ำเคยรักวินบ้างไหม” น้ำเสียงชายหนุ่มฟังดูเศร้าแฝงไปด้วยถามรู้สึกมากมาย “.........” รักสิทำไมน้ำจะไม่รักวิน น้ำรักวินมาตลอด แต่ตอนนี้มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว พัชชาภาได้แต่พูดคำเหล่านี้อยู่ในใจ เธอไม่อาจจะเอื้อมเขามาอยู่ข้างกายได้อีกแล้ว “ขอตัวค่ะ เดี๋ยวน้องดนตรีจะรอนาน” เธอรีบเช็ดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะรีบออกมาจากบ้านหลังนี้ทันที โดยไม่ตอบอะไรเขา “เธอไม่เคยรักฉันจริง ๆ ด้วย ได้สิ ถ้าเธออยากจะชดใช้ ฉันจะให้เธอได้ชดใช้อย่างสาสม” ดวงตาแดงก่ำที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ เพ่งมองตามหลังขณะที่เธอหันหลังเดินจากเขาไป ภาพวันนั้นก็ผุดขึ้นมาฉายกวนใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น เขายกมือขึ้นมาบีบที่อกข้างซ้ายที่มันรู้สึกเจ็บเจียนจะเป็นบ้า ก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมา พร้อมกับหยิบแจกันที่อยู่ใกล้มือเขวี้ยงมันออกไปอย่างแรงจนแตกกระจาย… “แม่น้ำ… แม่น้ำมารับแล้ว ” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยสามขวบเอ่ยเรียกอย่างดีใจที่เห็นแม่มารับ “ครับมาแล้วครับคนเก่ง วันนี้ดื้อไหมครับ” พัชชาภาย่อตัวนั่งลงหอมแก้มกลมของลูกชายฟอดใหญ่ “ไม่ดื้อ ไม่ดื้อเลย จริง ๆ” เด็กชายเอ่ยตาแป้วจ้องมองเธอ “จริงเหรอ” “จริงครับ ทำไมแม่น้ำตาแดง ๆ ” เด็กชายกล่าวพร้อมกับเอานิ้วจิ้มไปที่ตาของหญิงสาว “โอ๊ย !! ดนตรีจิ้มตาแม่ทำไมครับ แม่น้ำเจ็บนะ” เธอเล่นใหญ่เพื่อแกล้งลูกชาย “งือ ดนตรีขอโทษ มา ๆ เป่าให้ครับ ฟู่ ฟู่ หายเจ็บ ๆ นะ” “ว๊าว หายแล้วจริง ๆ ด้วย ดนตรีเก่งจังเลยลูก” พัชชาภารับลูกชายก็พามาฝากไว้กับป้าพิณเหมือนอย่างเช่นเคย “อย่าดื้อนะครับ บาย” “ครับไม่ดื้อ แม่น้ำต้องทำงานหาเงินส่งดนตรีเรียนหนังสือ แม่น้ำจะกลับมา ตอนเข็มสั้นชี้เลขหก เข็มยาวชี้เลขสามนะครับยายพิณ” เด็กชายแก้มป่องท่องเสียงเจื้อยแจ้วตามที่แม่เคยสอนไว้ไม่มีผิด ยายพิณเมื่อฟังเด็กชายพูดแบบนี้ทุกวันก็มิรู้จักเบื่อ เพราะเด็กชายน่ารักเลี้ยงง่ายแบบนี้ พัชชาภารีบกลับมาทำงานในส่วนของออฟฟิศ และก็ไม่เจอกับชาวินแล้ว ได้ยินมาว่าเขาออกไปดูงานที่ไร่ ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย “วันนี้ไม่เจอ พรุ่งนี้ก็ต้องเจออยู่ดี” คิดได้ดังนั้นเธอก็สูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วจัดการงานตรงหน้าต่อ ชาวินกับศุภกฤต พร้อมด้วยปกรณ์ ทั้งสามคนได้มาดูในส่วนของไร่ข้าวโพดที่ปลูกไว้สำหรับเลี้ยงวัวนม ปกรณ์ได้รายงานถึงผลประกอบการต่างที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าดีมาก เพราะไม่เพียงลูกค้าที่มาพักในรีสอร์ตอย่างเดียว ลูกค้าส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจแก่ผลิตภัณฑ์จากนมวัวแท้ของฟาร์มด้วย ชาวินยืนมองฝูงวัวนมที่ปล่อยให้แทะเล็มหญ้า ที่ทุ่งกว้างตีนเขาล้อมรั้วกว้างไปจนสุดลูกตา ซึ่งในขณะนี้อยู่ก็ยังมีลูกค้าที่มาพักภายในรีสอร์ต เดินเล่นและถ่ายรูปกันโดยมีฉากเป็นภูเขาและฝูงวัวนมอยู่ด้านหลัง ทำให้ได้อารมณ์อีกแบบ ขณะที่ชาวินยืนเหม่อมองอยู่นั้น เขารู้สึกว่าขากางเกงกระตุ้น เหมือนบางอย่างดึงอยู่ เขาจึงก้มลงมอง และจำได้ดีว่าเด็กชายตัวน้อยนี้เป็นลูกของพัชชาภานั้นเอง “คุณอา ๆ ครับ”......บทที่ 7ถึงเวลาเลิกงาน พัชชาพาเดินออกจากออฟฟิศ ปั่นจักรยานเพื่อจะกลับไปยังห้องพักซึ่งก็ไกลพอสมควร ระวังทางก็เจอเข้ากับป้าพิณที่ยืนอยู่ “ป้าพิณ น้ำมาแล้วค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทัก เหมือนอย่างเช่นเคย เพราะรู้อยู่แล้วว่าป้าพิณจะพาเจ้าดนตรีมาเดินเล่นดูวัวบริเวณนี้ประจำอยู่แล้ว “แล้วดนตรีอยู่ไหนคะ” “อยู่นู่นนะ ติดคุณชาวินเจ้าของของคนใหม่แจเลย” ป้าพิณชี้ไปที่ริมรั้ว พัชชภาถึงกับตาโต ที่เห็นชายหนุ่มอุ้มเจ้าลูกชายตัวน้อยของเธออยู่ “ไปรู้จักกันตอนไหนคะป้า” “พักเดียวเอง คุณชาวินเขามาดูวัวที่ทุ่งนี้” ก่อนหน้านี้“คุณอา ๆ ครับ” เด็กชายตัวเล็กที่เดินเล่นอยู่ริมรั้วกัน อยากที่จะมองเห็นฝูงวัวในทุ่งให้ชัด จึงได้เดินมาหยุดข้าง ๆ ชาวิน ก่อนจะกระตุ้นขากางเกงส่งเสียงเรียกชายหนุ่ม ชาวินก้มมองเด็กชายตัวน้อย ก็จำได้ทันทีว่าเป็นลูกของพัชชาภากับชู้ ชาวินดึงขาถอยหนี แต่ดนตรีก็ก้าวตามมาเกาะขาเขาไว้อีก “นี้มาเกาะขาฉันทำไม” เขาเอ่ยถามเด็กชายตัวน้อย “คุณอา คุณอาตัวสูงจัง อุ้มดนตรีหน่อยได้ไหมครับ ดนตรีอยากเห็นสูง ๆ ไกล ๆ” เด็กชายบอกเขาแล้วชี้ไปทาง ทุ่งหญ้าที่มีวัวอยู่ ชาวินมองตามที่เด็กชี้แล้วมองรั้วกั้น “ทำไมฉั
บทที่ 8พรุ่งนี้คุณเก็บเสื้อผ้าย้ายมาอยู่ที่บ้านพักได้เลยนะครับ“อะไรนะคะ ทำไมน้ำต้องย้ายมาด้วยค่ะ”“ผมอยากให้คุณมาเป็นแม่บ้าน คุณก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านผมไงครับ หรือคุณจะผิดสัญญา ในสัญญาก็ระบุไว้แล้วว่าคุณต้องทำตามที่ผมสั่งทุกอย่าง” “แต่…น้ำต้องดูแลดนตรี”“คุณก็แค่พาดนตรีมาอยู่ด้วย”“แต่น้ำเกรงว่ามันจะรบกวนคุณเปล่า ๆ”“ทำตามที่ผมสั่งก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องคิด”“ค่ะ” เธอรับปากไปแต่ก็มีสีหน้ากังวลอยู่มาก เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงได้ขอตัวกลับออกมา เธอยังคงนอนคิดหนัก ถ้าเธอย้ายเข้าไปคนอื่นจะคิดว่ายังไงนะ ได้แต่คิดแล้วก็ถอนหายใจยาวจนเผลอหลับไปเช้าวันต่อมาพัชชาภาไปส่งดนตรีที่ศูนย์เด็กเล็ก แล้วจึงกลับมาทำงานตามปกติ จนผ่านไปเที่ยงวันก็เจอเข้ากับชาวินอีกครั้ง “ผมบอกให้คุณย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านพักผมวันนี้ไง”“ค่ะ แต่ช่วงเช้าน้ำยุ่ง ๆ กะว่าจะไปเก็บของเย็นนี้ค่ะ”“ไม่ต้องเก็บแล้ว ผมให้คนไปขนของคุณกับดนตรีมาเรียบร้อยแล้ว” เขาพูดหน้าตาเฉย แต่คนฟังถึงกับตกใจ“อะ..อะไรนะคะ คุณชาวิน ทำแบบนี้คนอื่นจะมองไม่ดีนะคะ”“ไม่ดียังไง แค่ทำงานให้ผมหรือคุณคิดว่าจะได้ทำอย่างอื่นเลยกลัวคนเข้าใจผิด”“ไม่ใ
บทที่ 9“อาวิน แม่น้ำ” เสียงเด็กชายตะโกนออกมาอย่างดีใจ และวิ่งเข้ามากอดขาชาวินไว้แน่น“อาวินครับ ทำไมอาวินกับแม่น้ำ ถึงมารับดนตรีพร้อมกันล่ะครับ” เด็กชายแหงนหน้าถามชายหนุ่ม“ดนตรี ปล่อยก่อนลูก” พัชชาภารีบจับลูกชายที่กอดขาชาวินไว้แน่น ซึ่งเด็กชายก็เชื่อฟังยอมปล่อยแต่โดยดี “มะ ให้อาวินอุ้มไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามเด็กน้อย “เย้ ครับอุ้มหน่อยดนตรีอยากเห็นสูง ๆ” เด็กชายกระโดดดีใจ เพราะชอบเห็นมุมสูง ๆ“คุณชาวินคะ ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวน้ำอุ้มเอง” เธอกล่าวอย่างเกรงใจ “ไม่เป็นไรหรอกหน้า” พูดจบเขาก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา แล้วพากันเดินกลับมาที่รถ“แล้วทำไมอาวินถึงมากับแม่น้ำครับ” เด็กชายยังไม่หยุดถาม“คุณชาวินเขาเป็นเจ้านายของแม่น้ำครับ พวกเราออกมาทำงานด้วยกัน”“คุณชาวินหรือครับ” “เจ้านายหรือครับ” เขาเอ่ยทวนด้วยความสงสัย“คุณชาวินที่ดนตรีเรียกว่าอาวินไงครับ”“เจ้านายก็คือคนที่แม่ทำงานให้ และก็เป็นคนจ่ายเงินเดือน ให้แม่น้ำเอามาไว้ให้ดนตรีเรียนหนังสือไงครับ” ชายหนุ่มนั่งฟังสองแม่ลูกคุยกันเพลิน จนขับรถมาจอดยังหน้าออฟฟิศ หญิงสาวมองออกไปนอกรถก็ไม่กล้าที่จะลงไปตรงนี้ เพราะมีพนักงานอยู่ที่นี้หลายคน ถ้าเธอลงไป
บทที่ 10เมื่อเธอกลับมาถึงที่บ้านพัก ก็พบลูกชายที่วิ่งเล่นอยู่แถว ๆ นั้นพอดี เธอจึงเดินไปคุยกับป้าพิณ จึงได้รู้ว่าชาวินก็จ้างให้ป้าแก มาช่วยดูแลดนตรีช่วงที่เธอต้องทำงานให้เขา หญิงสาวเดินเข้ามาภายในบ้าน ตรงไปยังห้องด้านล่างข้างหลังที่ติดกับครัว ก็พบว่าข้างของเครื่องใช้ของเธอและดนตรีถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย ซึ่งห้องก็กว้างพอสมควร พอให้เธอกับลูกได้อยู่อย่างสบาย เมื่อป้าพิณกลับไปแล้วเธอจึงได้เตรียมอาหารให้ดนตรี แล้วพาไปอยู่ในห้อง และยังกลับมาเตรียมอาหารให้ชาวินต่อ เธอจัดการทุกอย่างจนเสร็จสรรพ ชาวินก็กลับมาพอดี เขาจึงได้กินอาหารที่เธอเตรียมไว้ให้ จากนั้นเธอจึงขอตัวไปดูแลดนตรีและพาเข้านอน..พัชชาภาทำเช่นนี้ แบบนี้ทุกวันบางทีเธอก็รู้สึกเหนื่อยแต่ก็ต้องอนทนไว้ เพื่อจะได้ใช้หนี้เขาให้หมด..วันนี้เป็นวันที่ทีมงานทำโฆษณา จะเริ่มเข้ามาทำโปรโมต พนักงานสาวต่างพากันแต่งตัวกันแบบจัดเต็ม ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม พยายามทำตัวให้ดูโดดเด่นที่สุด ต่างจากพัชชาภา เธอทำตัวปกติเหมือนทุก ๆ วัน แต่งหน้าอ่อน ๆ เผยให้เห็นผิวใส ๆ ดูสุขภาพดี เพราะเธอไม่อยากที่จะเป็นตัวแทนอะไรนั้น แต่ถ้าให้ช่วยอย่างอื่นเธอไม่มีปัญหาอยู่แล
บทที่ 11ณ ห้องอาหารของรีสอร์ต ทางทีมทำโปรโมตได้เข้าพักที่รีสอร์ต และมารวมตัวกันที่ห้องอาหาร พนักงานที่ได้ร่วมงานกันวันนี้ต่างมาร่วมทานอาหารเย็นกันที่นี่ด้วยพัชชาภาเมื่อเสร็จจากดูแลดนตรีเรียบร้อย จึงได้ฝากฝังลูกชายไว้กับป้าพิณ จากนั้นจึงได้มาทานอาหารห้องอาหารรีสอร์ตพร้อมกับชาวินเมื่อมาถึงเธอจึงขอแยกตัวไปนั่งโต๊ะเดียวกับพนักงานหญิงด้วยกัน รวมถึงปกรณ์ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันกับเธอด้วย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ พนักงานเสริฟก็นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาบริการต่อ ทุกคนต่างรวมดื่มชนแก้วกันอย่างสนุกสนาน พัชชาภาเองก็ดื่มบ้างนิดหน่อยพอเป็นพิธีจากนั้นเธอจึงได้ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เมื่อปกรณ์เห็นดังนั้น จึงได้รีบเดินตามหญิงสาวไปเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของชาวินตลอด เขานิ่งเงียบค่อยมองทั้งสองตั้งแต่แรกแล้วอ่อยผู้ชายไปทั่วเขาสบถออกมาเบา ๆ พร้อมยกแก้วของเหลวสีอำพันล้วนเดียวหมด ก่อนจะลุกตามทั้งสองไป โดยที่ไม่มีใครสังเกตเพราะทุกคนกำลังสนุกสนานกันอยู่ปกรณ์ยืนรอพัชราภาอยู่ตรงทางเดินเชื่อมไปห้องน้ำด้านหลัง จนกระทั่งหญิงสาวเดินออกมา“อ่าวพี่กร”“น้ำพี่มีอะไรจะคุยด้วย ไปตรงสวนด้านข้างกับพี่หน่อย” ปกรณ์
บทที่ 12“เธอจะรับรักใครก็เรื่องของเธอ แต่อย่างลืมสัญญานั้น เธอต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่างจนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญา”พัชชาพรมองตามแผ่นหลังของชาวินที่เดินจากไป และคำพูดของเขานั้นที่พูดเมื่อครู่ ทำเอาเธอเจ็บจี๊ดที่หัวใจ แล้วเรื่องเมื่อกี้นั้นล่ะที่เขาทำกับเธอมันคืออะไร แค่เห็นเธอเป็นที่ระบายอย่างนั้นหรือ “ต้องทำตามที่สั่งทุกอย่างเลยหรือ รวมถึงเรื่องเมื่อกี้ด้วยใส่ไหม” เธอพึมพำกลับตนเองเบา ๆแค่คำพูดไม่กี่คำจากเขาก่อนจะเดินจากไป เธอก็รู้สึกจุกในอกจนพูดไม่ออกแล้ว ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำใส่เสื้อผ้าแล้วเดินกลับห้องตนไป “หึ ปฏิเสธหรือใครจะเชื่อ เรื่องสี่ปีที่แล้วฉันได้จำไม่ลืม ….” คนตัวใหญ่เมื่อกลับมาถึงห้องยังคงนอนครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาเห็นปกรณ์กับพัชชาภาเมื่อหัวค่ำ ที่ดูสนิทสนมกัน กับคำพูดจากปากเธอ เขาจะไม่มีทางเชื่อและใจอ่อนกับเธออีกแน่นอน…เช้าวันรุ่งขึ้นและวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พัชชาภาตื่นแต่เช้าตรู่ ทำงานบ้านต่าง ๆ จนเสร็จสรรพ และจัดเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะให้ชาวินด้วย เธอจึงรีบออกมาจากบ้านก่อนที่ชาวินจะตื่นเสียอีก โดยที่ก่อนเข้าทำงานหญิงสาวได้พาลูกชายไปฝากไว้กับป้าพิณอย่างเช่นเคย ชาวินต
บทที่ 13หลังจากที่กินยาแล้วหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ พัชชาภารู้สึกตัวเธอตื่นขึ้นมา รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เหมือนกำลังถูกกอดอยู่ และก็จริงดังนั้น ร่างกายของเธอกำลังถูกกอดอยู่ในอ้อมอกที่เธอรู้สึกคุ้นเคยแสงไฟสลัวสาดส่องเข้ามาภายในห้อง เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคนร่างใหญ่ที่กำลังกอดเธออยู่“คุณ…” เธอเอ่ยเรียกเขาอย่างตกใจ และพยายามดิ้นขลุกขลัก“คุณ….ชาวิน คุณเข้ามาได้ยังไง” แต่ชายหนุ่มยังนอนหลับตานิ่งอยู่ หญิงสาวเห็นดังนั้น และนึกขึ้นได้น้องดนตรีก็นอนอยู่กับเธอนี้ ร่างเล็กจึงพยายามหันมองดูลูกชาย“อืม….นอนเถอะ” ชายหนุ่มโอบกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น จนเธอแทบขยับไม่ได้ ใบหน้าสวยนั้นก็แนบอยู่ที่อกเขา“คุณชาวิน ปล่อยน้ำก่อนค่ะ” เธอเอ่ยบอกเขา และพยายามจะหันไปดูลูกชายอีกครั้ง“ดนตรีเขาหลับอยู่” ชาวินบอกเธอ“แต่ ….” เธอพยายามดิ้นอีกครั้ง แต่เขากับกอดเธอแน่ขึ้นจนเธอรู้สึกอึดอัด“ผมสั่งให้นอนไง” เขาเอ่ยเสียงเงียบ แต่มันก็ได้ผล พัชชาภาจึงนอนนิ่ง ๆ ตามที่เขาสั่งสั่งอีกแล้วซินะ เขาสั่งอะไรเธอก็ต้องทำตาม เธอได้แต่คิดในใจอย่างสับสน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่รู้ อ้อมกอดนี้ที่มันห่างหายไปนาน แต่ความอบอุ่นนี้มัน
บทที่ 14สองสามวันมานี้พัชชาภารู้สึกกินอะไรไม่ค่อยลง เธอรู้ตัวเองว่าคงจะคิดมาก เรื่องที่ชาวินบอกว่าจะแต่งงาน แต่หญิงสาวก็ยังฝืนพยายามที่จะทำตัวให้ปกติที่สุด“คุณน้ำครับ คุณชาวินเรียกให้ไปพบในห้อง” ศุภกฤตเอ่ยบอกเธอแล้วเดินจากไป พัชชาภาจึงได้เดินเข้าไปหาชายหนุ่มในห้องทำงานก๊อก ๆ เธอเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเปิดมันเข้าไป“คุณชาวินมีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอเอ่ยออกไปตามหน้าที่“เดี๋ยวจะมีคนมาหา ผมจะให้คุณไปรับคนที่หน้ารีสอร์ทน่ะ” เสียงทุ่มเอ่ยขึ้นดวงตาจ้องมองไปที่ใบหน้าสวย“ได้ค่ะ” เธอก้มหน้ารับคำแล้วเตรียมจะหันออกไป“คุณจะไม่ถามเหรอว่าผมให้ไปรับใคร”“คะ..” ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับเขาพอดี“คู่หมั้นผมน่ะ ที่เคยบอก เธอชื่อ อรอิน”คู่หมั้น คำนี้ก้องอยู่ในหู แววตาหญิงสาวไหววูบเล็กน้อย มือเรียวบีบเข้าหากันจนแน่น เธอพยายามเก็บอาการถึงที่สุด ถึงแม้ว่าตอนนี้หัวใจมันจะสั่นไหวแค่ไหนก็ตาม“ได้ค่ะ น้ำจะรีบไปนะคะ เดี๋ยวคุณอรอินเธอจะรอนาน” กล่าวจบพัชชาภารีบออกมาจากห้องทำงานชายหนุ่มทันที ทิ้งให้คนด้านในโมโหกับท่าทีที่เย็นชานิ่งเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ จนต้องกำมือทุบโต๊ะทำงานเพื่อระบายโทสะหญิงสาวเดินออก
ในที่สุดวันแต่งงานก็มาถึง งานแต่งงานของชาวินและพัชชา จัดขึ้นที่รีสอร์ตแสนรักของเขา ชาวินสั่งให้ตกแต่งสถานที่เต็มไปด้วยมวลดอกไม้นานาชนิด แขกที่มาร่วมงานต่างชื่นชมกันไม่ขาดปาก ว่าที่นี่บรรยากาศดีและสวยมากจริง ๆ รูปพรีเวดดิ้งถูกตั้งประดับทั่วทุกมุม ผู้คนที่มาร่วมงานแค่ดูรูปก็แสนจะอิจฉาเพราะดูก็รู้ว่าเจ้าบ่าวคงจะคลั่งรักเจ้าสาวมากแน่ ๆ“พี่น้ำสวยมากเลยค่ะ” อรอินเข้ามาในห้องแต่งตัว มองเธออย่างชื่นชม“ขอบใจจ้ะหนูอิน” พัชชายิ้มแย้ม“ทำไมพี่น้ำชอบเรียกอินว่าหนูอินเหมือนคุณพาทิศ…” หญิงสาวน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อพูดถึงพาทิศ หลังจากที่กลับมาจากเกาะดอกไม้เธอมักจะนึกถึงเขาตลอด“ขอโทษที่จ๊ะ มันติดปาก”สองสาวพูดคุยกัน แต่พัชราภาสังเกตได้ว่าอรอินคอยชะเง้อมองประตูตลอด แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วแค่รอให้อรอินเอ่ยมาเอง“ทำไมดนตรียังมาไม่ถึงอีกคะเนี้ย” พูดไปก็ชะเง้อไป“รอดนตรีหรือพ่อของดนตรีอยู่คะ” พัชชาภาแซวอย่างรู้ทัน“ไม่..ไม่ใช่สักหน่อยพี่น้ำ อินถามถึงดนตรีค่ะ” อรอินเขินจนมือไม้อยู่ไม่สุข หยิบกระโปรงมาบิดไปมาแก้เขิน“ใกล้ถึงเวลาแล้วค่ะ อรอินรีบเปลี่ยนเรื่องคุย”อรอินช่วยพัชชาภาให้ยืนขึ้น
พาทิศพาอรอินเดินออกมา บริเวณริมชายหาด ทั้งสองเดินเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ด้านนอกเกาะพอมองออกไปสุดขอบฟ้าเวลานี้มันช่างดูมืดมนไปหมด อรอินทรุดกายลงนั่งกับพื้นทรายมองเหม่อออกไปไกล“เป็นอะไร” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“อินเหนื่อย” เธอตอบเขาออกไป แต่พาทิศรู้ดีว่าเธอกำลังเศร้าอยู่ ถึงจะยินดีกับคู่ของชาวิน ลึก ๆ เธอก็คงเสียใจไม่น้อยที่ชาวินนั้นหมั้นกับเธอแต่ไม่เคยรักเธอเลย แต่ยังถือว่าเธอเป็นคนดีมีน้ำใจคนหนึ่ง ที่ยังรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่น ยอมถอยตัวออกมา“มานี้” พาทิศก้มลงไปดึงแขนเธอ“โอ๊ย..ไม่เดินแล้วอินจะนั่งตรงนี้”เมื่อเห็นเธอดื้อดึงไม่ยอมลุก พาทิศจึงโน้มตัวไปช้อนร่างของเธอขึ้นมาอุ้มไว้ แล้วเดินลงน้ำทะเล“ว๊าย คุณ ๆ ๆ จะทำอะไรปล่อยฉันนะ หยุด ๆ ๆ อินไม่อยากโดนน้ำ”ตุ๊ม!! เสียงร่างเล็กตกน้ำ เพราะพาทิศโยนเธอลงไป อรอินรีบลุกขึ้นยืน สภาพเปี้ยกไปทั้งตัวผมเผ้ายุ่งเหยิง“นี้..เล่นอะไรเนี้ย” อรอินตั้งหลักได้ก็พลักพาทิศอย่างแรง แต่กลับเป็นเธอที่หงายหลังลงน้ำทะเลไปอีก“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ” พาทิศหัวเราะลั่นอรอินยืนตั้งหลักในน้ำได้อีกครั้ง จ้องมองชายหนุ่มหาวิธีเอาคืนหญิงสาวแกล้งเดินหนีสวนเขา ได้จังหวะก็กระโดดขี่หลังพา
เธอแหวกม่านผ้า แทรกตัวจนมายืนอยู่ไม่ไกลด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาจ้องมองมัดกล้ามนั่นอย่างลืมตัว“จะมองอีกนานไหมครับ”พรึ่บ! เสียงสะบัดผ้า พร้อมกับละอองน้ำที่กระเด็นไปโดนตัวหญิงสาว ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ ดวงตาโตหวัดมองใบหน้าชายเจ้าของหุ่นล่ำนั้น“คุณพาทิศ…” เมื่อรู้ว่าเผลอมองชายหนุ่ม หญิงสาวก็เขินอาย เธอรีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่นทันที“ผมถามว่าจะมองอีกนานไหม จะได้ไปยืนใกล้ ๆ ให้มอง” พาทิศก้าวขาเข้ามาประชิดตัวหญิงสาว เธอตกใจสะดุ้งจึงรีบหันกลับมา มือเล็กยกขึ้นดันหน้าท้องที่เป็นรอนกล้ามนั้นไว้“ปะ..เปล่าอินไม่ได้มอง” เธอตอบน้ำเสียงสั่น มือยังคงดันหน้าท้องของพาทิศไว้ หัวใจดวงเล็ก ๆ เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาพาทิศยิ้มขำเบา ๆ กับท่าทางเขินอายของเธอ“ขำอะไร ถอยออกไปก่อนสิคะ”“ก็นึกว่าอยากมองใกล้ ๆ” ชายหนุ่มเย้าแหย่“ไม่ใช้สักหน่อยอินแค่จะมาถาม..”“เรื่องอะไรครับ”“พี่น้ำค่ะ พี่น้ำอยู่ที่นี่ใช่ไหม”พาทิศกล่าวถอยหลังหนึ่งก้าว“ถามหาน้องสาวผมทำไม คุณหนูอินกับนายชาวินเป็นคู่หมั้นก็กำลังจะแต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือครับ”“ไม่ใช่ค่ะ อิน…อินกับพี่วินเราถอนหมั้นกันแล้ว พี่วินเสียใจมากและรู้สึกผิด
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป พัชชาพาและดนตรีมาอยู่ที่กระบี่กับพาทิศ และเธอก็พึงจะรู้ว่าพี่ชายของเธอนั้นเป็นเจ้าของเกาะแห่งนี้ มีทั้งรีสอร์ตและฟาร์มหอยมุก เป็นเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำเงินได้มหาศาลพาทิศจึงได้เล่าให้เธอฟังว่า เจ้าของเกาะคนก่อนเป็นผู้มีพระคุณของเขา เมื่อหลายปีก่อน หลังจากแยกทางกับแม่ของดนตรี พาทิศเอาดนตรีมาฝากไว้ที่หญิงพาทิศระหกระเหิน หนีกลุ่มคนที่มีปัญหากันในครั้งนั้น จนมาถึงกระบี่และได้เจอกับเจ้าของเกาะที่ชรามากแล้ว เขาได้ช่วยเหลือพาทิศไว้และดูแลเหมือนเป็นลูกชายพาทิศยังเล่าว่าชายชราคนนี้เสียลูกชายเพียงคนเดียวด้วยโรคประจำตัว เขาเลยใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอด และเมื่อพาทิศได้มาอยู่กับชายเจ้าของเกาะ ชายชราคนนั้นได้สั่งสอนทุกเรื่องให้พาทิศพาทิศจึงได้เริ่มช่วยเขาดูแลกิจการของเกาะ และได้ริเริ่มพัฒนาส่วนต่าง ๆ ของเกาะนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ต่อมาชายชราคนนี้ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัวของเขา ก่อนจากไปชายชรา ยังได้ยกเกาะและกิจการทั้งหมดให้พาทิศ…“คนเราไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลง น้ำดีใจนะที่พี่เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น”“พี่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าชีวิตนี้จะได้รับอะไรดี ๆ แบบนี้ แล
“น้องดนตรีก็กลับไปแล้วค่ะ คุณพ่อน้องขอพาน้องกลับเลย คุณหมอดูอาการแล้วจึงให้กลับได้ค่ะ พึ่งจะออกไปเมื่อครู่นี้เองนะคะ”ชาวินได้ฟังดังนั้นจึงได้รีบวิ่งออกมาหน้าโรงพยาบาล สวนกับแม่ของเขาและอรอินพาดีชาวินวิ่งแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นจนถึงลานจอดรถ ชายหนุ่มหยุดวิ่งพักหายใจหอบเขาหมุนไปรอบ ๆ เพื่อมองหา ในที่สุดเห็นร่างบางที่คุ้นเคยเธอกำลังขึ้นรถโดยมีพาทิศปิดประตูให้ พอเห็นดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งตามไปทันที อีกไม่ถึงสิบเมตรก็จะถึงแล้ว แต่พาทิศก็ขับรถออกไปก่อนเสียก่อนชาวินทรุดเข่าลงนั่งหายใจหอบอีกแค่เอื้อมมือเท่านั้น…. เท่านั้นเอง …คิดได้ดังนั้นพาทิศจึงรีบกลับมาที่รถ เจอแม่ของเขากับอรอินอยู่พอดี จึงได้พากันกลับไปที่รีสอร์ท เพื่อหวังว่าจะเจอพัชชาภาอยู่ที่นั่นก่อนหน้านั้น หลังจากชาวินไปคุยกับคุณหญิงนิภา พาทิศจึงขอเข้าไปดูลูกชายตนพยาบาลได้นำทางเขาเข้าไป จึงพบกับพัชชาภาเธออยู่ที่นี่ก่อนแล้วเมื่อเห็นสภาพน้องสาว หน้าตาดูอิดโรยที่ยังมี หน้าผากมีผ้าแปะแผล คราบเลือดแห้งกรังยังติดอยู่ที่เสื้ออยู่เลย พาทิศใจไหววูบไหนจะลูกไหนจะน้องสาว ชายหนุ่มเดินไปลูบหัวลูกชาย เด็กน้อยก็ส่งยิ้มให้อย่างร่าเริงตามประสา“ดนตรี
“คุณน้ำค่ะ เธอไม่มาด้วยเหรอคะ”“น้ำเธอมาด้วยครับ แต่ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินเหมือนกัน” ปกรณ์หันมาตอบแทนชาวิน“ใช่ค่ะ เคสที่เข็นเข้าไปเมื่อครู่ คุณน้ำเธอเป็นลมแล้วหัวไปกระแทกกับก่อนหิน” พยาบาลที่ขอข้อมูลกับปกรณ์ หันไปบอกพี่พยาบาลอีกคน“ฝากดูน้ำหน่อยนะครับ พักนี้เธอเป็นลมบ่อย ๆ” ชาวินเอ่ยบอกพยาบาลไป“ได้ค่ะ รบกวนทุกคนรออยู่ด้านนอกนะคะตอนนี้ถึงมือหมอแล้วคนไข้ต้องปลอดภัยแน่นอนค่ะ”ทั้งสามคนจึงมานั่งรออยู่ด้านนอก เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วประตูห้องฉุกเฉินก็ยังไม่ถูกเปิดออกมาเสียที่ชาวินใจจดจ่ออยู่ที่ประตูไม่วางตา อรอินก็เดินไปเดินมาด้วยความเป็นห่วง ต่อมาปกรณ์จำต้องกลับไปก่อนเพราะมีงานที่ต้องทำต่อผ่านมาพักใหญ่ ๆ เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิด และมีพยาบาลเดินออกมา ชาวินกับอรอิน จึงรีบเดินไปหาทันที ทั้งสองตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำตอบ“เคสแพ้อาหารของน้องดนตรี ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะคะ เดี๋ยวให้ยาหมดขวดแล้ว พักฟื้นดูอาการสักหน่อยถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็กลับบ้านได้ค่ะ”“ครับ” “ค่ะ” ชาวินกับอรอินถึงกับโล่งอก“คุณหมอเคยกำชับกับคุณอาของน้องไปแล้วนะคะ ว่ามีอาหารอะไรบ้างที่น้องห้ามทาน” พยาบาลเอ่ยทวงติ่ง“ผมขอโทษคร
หลายวันมานี้พัชชาภาทำงานอยู่ที่ท้ายไร่ จะมีแค่ปกรณ์กับมีนที่ค่อยแวะมาหาเธอบ้าง และอาการเวียนหัวคลื่นไส้อาเจียนพักนี้เธอก็เป็นบ่อยมาก ๆ อย่างเช่นตอนนี้หญิงสาวกำลังใช้สายยางฉีดน้ำล้างขี้วัวในคอก กับคนงานผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง อาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียนก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เธอปล่อยสายยางแล้ววิ่งไปอ้วกที่ห้องน้ำ เธอโก่งคออาเจียนจนแทบไม่มีอะไรจะออกมาแล้ว หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยและหมดแรง ยังดีที่มีพี่คนงานคนหนึ่งตามมาดูอาการเธอ แล้วยังหยิบยาดม ติดมือมาด้วย“ขอบคุณนะพี่ใจ” พัชชาภารับยาดมมาดม มันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น“แรก ๆ ก็ยังนี้แหละ ขี้วัวมันเหม็นเดี๋ยวก็ชิน ใครไม่รู้ก็คิดว่าแพ้ท้องนะเนี่ย” สมใจบอกกับเธอ“แพ้ท้องเหรอพี่” น้ำเสียงเหนื่อยหอบเอ่ยถามกลับ“ใช่อาการแบบนี้แหละ เวียนหัวอาเจียนเหมือนเลย” สมใจพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่คนที่คิดหนักคือพัชชาภา เธอกลัวว่าเธอจะท้องจริง ๆ ถ้าถามถึงเรื่องประจำเดือนขาดไหม ก็ขาดแต่ปกติแล้วประจำเดือนเธอมาไม่สม่ำเสมออยู่และ บ้างที่มาเดือนหยุดเดือน หรือหายไปเลยสองเดือนก็มีหญิงสาวมานั่งพักใต้ร่มไม้ ยังคงคิดวนเวียนถึงเรื่องที่สมใจพูดอยู่แต่เมื่อก่อนที่ประจำเดือนขาดเธอไม่
“อินไม่สะดวกใจที่จะให้พี่น้ำพักอยู่ที่นี้ค่ะ อินไม่ได้รังเกียจอะไรนะคะ แต่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม คนอื่นจะเอาไปนินทาเอาได้” เธอกล่าวกับพัชชาภาอย่างตรงไปตรงมา ชาวินเลือกที่จะยืนนิ่ง เขาอยากรู้ว่าหญิงสาวจะรู้สึกเจ็บปวดบ้างไหม เหมือนกับที่เขาเจ็บปวด“ค่ะ น้ำจะย้ายออกไปเดี๋ยวนี้” พัชชาภาไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น เธอหน้าชากลืนก้อนสะอึ้กลงคอ ปวดหัวใจราวกับถูกใครบีบไว้ นึกไว้แล้วว่าวันนี้มันต้องมาถึง เธอหันหลังเธอกลับไปพยายามฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้อรอินมองตามแผ่นหลังพัชชาภาไปอย่างนึกสงสาร ที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากจะร้ายกาจแบบนี้ แต่เพราะอยากจะลองใจชาวินเท่านั้นถ้าพี่วินชอบกับพี่น้ำทำไมต้องปิดบังเธอด้วย อาจจะเป็นเพราะเรายังหมั้นกันอยู่ ถ้าไม่มีใจฝืนแต่งไปมันจะเสียเวลาและเจ็บทั้งสองฝ่าย เอาตามจริงตัวอรอินเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วเธอชอบชาวินไหมเพราะแม่ของเธอกับแม่ของชาวินเป็นคนจัดแจงงานหมั้นนี้ให้ทั้งหมด และทุกครั้งที่เจอชาวินเขาก็ดีกับเธอ…อรอินแสร้งทำเป็นโมโหอีกครั้งหันกลับมามองชาวิน สายตาชายหนุ่มยังมองตามทางที่พัชชาภาเดินไปอยู่เลยพัชชาภากลับเขามาในห้อง เธอพยายามเข้มแข็งจนถึงที่สุด หญิงสาวเก็บแค่
“นายจะเดินลงเขาไปแล้วขึ้นมาใหม่อีกรอบหรือ” เธอเอ่ยถามแค่คิดก็เหนื่อยแทนแล้ว“เปล่า….รถผมจอดอยู่ทางนู้นเดินไปนิดเดียว” หญิงสาวหันตามไปที่ชายหนุ่มพูด“ค่ะ” นิดเดียวแต่ฉันเดินขึ้นมาแทบตาย ทำไมมีทางขับรถขึ้นมาก็ไปบอกนะเธอได้แต่คิดในใจ ก่อนไปพาทิศยังช่วยพยุงเธอขึ้นมานั่งยังม้านั่งใกล้อีกด้วย อรอินมองตามแผ่นหลังชายหนุ่มที่เดินไป และคิดในใจ“เขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ” เธอได้แต่คิด และกดโทรศัพท์มือถือหาชาวินไปหลายสายเขาก็ไม่รับสักที จดพาทิศเดินกลับมาพร้อมกับยาทาหลอดหนึ่งและรองเท้าแตะคู่ใหญ่ชายหนุ่มคลุกเขาลง จับข้อเท้าหญิงสาวมาทายาและค่อย ๆ นวดให้เธอเบา ระหว่างนั่นอรอินได้ลอบสังเกตุรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่ม เขารูปร่างกำยำหน้าตาจัดว่าหล่อเหล่า แต่ดูหน้าเกรงขามแปลก ๆ จนเวลาผ่านไปสักพัก“ดีขึ้นไหม” พาทิศเงยหน้าขึ้นมามอง สบตาเข้ากับดวงตาโต ๆ ของอรอินพอดี เธอตกใจจนเล้กลั่กดวงตาเฉไฉไปมา“เอาแต่จ้องหน้าหล่อ แบบนี้จะหายไหม”“ใคร ๆ ไหนใครจ้องหน้า ไม่มี๊” อรอินปฏิเสธลั่น พาทิศรู้สึกขำกลับท่าทีไร้เดียงสาของเธอ“ผมถามว่าดีขึ้นไหม”อรอินค่อย ๆ ขยับข้อเท้าเบา ๆ มันก็ไม่ค่อยเจ็บเท่าไรแล้ว“ก็ดีขึ้นแล้วนะ” เธอบอ