“อยู่ได้อีกนานแค่ไหนครับ?”ผู้อำนวยการหลินช้อนตาขึ้นมองฟู่เจิง ชูนิ้วสามนิ้ว “ฉันประกันให้เขาอย่างสุดความสามารถได้แค่สามเดือน มากกว่านี้คือสุดแล้วแต่สวรรค์แล้ว”ฟู่เจิงสะท้านไปทั้งตัว ทรวงอกราวกับถูกค้อนเหล็กทุบ อวัยวะทั่วร่างเจ็บนิด ๆสามเดือนคุณปู่มีเวลาอีกแค่สามเดือนแล้วฟู่เจิงหวังว่านี่จะเป็นแค่เรื่องขบขัน หากเขารู้ว่ามันไม่ใช่ผู้อำนวยการหลินเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญสูงสุดในด้านนี้ แม้แต่เขาก็ยังหมดหนทาง...“อาเจิง ฉันรู้ว่านายรับไม่ได้ ความจริงคุณปู่ของนายรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี เขาเตรียมตัวแต่แรกแล้ว แค่ว่าเขาห่วงที่สุดก็คือนาย ช่วงนี้ฉันดูข่าว นายกับภรรยาของนายกำลังจะหย่ากันใช่ไหม?”ผู้อำนวยการหลินเดินไปข้างหน้าและตบบ่าของฟู่เจิง “ยังไงก็เป็นคนที่จะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ อาก็ไม่เกลี้ยกล่อมให้ไม่หย่าแล้ว แต่คุณปู่ของนายเหลือเวลาไม่มาก ให้เขาจากไปอย่างมีความสุขดีไหม?”ฟู่เจิงกรอบดวงตาแดง กลืนน้ำลายลงคอ “ผมรู้แล้วครับคุณอา ขอบคุณครับ”ฟู่เจิงหมุนตัวออกไปอย่างสลดหดหู่เขาหาที่ปลอดคนทรุดตัวลงนั่งนิ่งไม่ขยับ ราวกับหินแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น“คุณผู้หญิงครั
“อาเหลียง หัวเธอเป็นอะไรไป? ทำไมถึงบาดเจ็บได้? สาหัสไหม?” พอคุณปู่เห็นศีรษะของเวินเหลียงพันผ้าก๊อซอยู่ก็ถามด้วยเสียงแหบแห้งอ่อนแรงคุณปู่ป่วยหนักอย่างนี้ กลับเป็นห่วงแผลเล็กน้อยของเธอ เวินเหลียงปวดใจทันใด น้ำตาไหลพรากทันที“เป็นอะไรไป? เจ็บมากเหรอ?” คุณปู่เห็นดวงหน้าเล็ก ๆ น้อยใจจึงถามด้วยความเอ็นดูเวินเหลียงรีบส่ายหน้า “คุณปู่วางใจนะคะ แค่ไม่ทันระวังกระแทกถูกเฉย ๆ ไม่หนักหนาอะไร ไม่เจ็บสักนิดเลยค่ะ”“ต้องใส่ใจกับร่างกายของตัวเองสิ อย่าเป็นเหมือนฉัน ร่างกายฉันมันไม่เอาไหน อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” คุณปู่พูดอย่างปราศจากเรี่ยวแรง“ไม่ค่ะ คุณปู่อย่าพูดแบบนี้สิคะ คุณปู่ต้องหายดีแน่ คุณปู่ต้องอายุยืนร้อยปีแน่ ๆ” เวินเหลียงรื้นน้ำตา“ทำไมยังทำเหมือนเด็กนะ บทจะร้องไห้ก็ร้องไห้” คุณปู่ยกมือจะซับน้ำตาบนใบหน้าของเวินเหลียง“ขอแค่คุณปู่สบายดี หนูก็ไม่ร้องแล้ว” เวินเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งปนสะอื้น“อาเหลียง ฉันแก่แล้ว ทุกคนต้องมีวันนี้ ฉันเตรียมใจมานานแล้วละ ไม่กลัวหรอก ฉันหวังว่าเธอจะไม่กลัวเหมือนกัน ได้ไหม?”เวินเหลียงเกร็งริมฝีปาก มุมปากหนักพันชั่ง ฝืนไม่ให้มันคว่ำลง แต่สุดท้ายก็ยังฟุ
“ค่ะ งั้นฉันจะไปก่อน”“ฉันจะส่งเธอขึ้นไป”เวินเหลียงถามฟู่เจิงขณะจะเข้าห้องพักผู้ป่วย “ต้องล็อกประตูไหมคะ?”“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันก็มา”“ค่ะ”เวินเหลียงนอนอยู่บนเตียงแต่นอนไม่หลับ จึงพลิกตัวไปมาพอคิดถึงอาการป่วยของคุณปู่ เธอก็ปวดใจมากกอปรกับเรื่องที่คุณปู่ให้ฟู่เจิงรับปากเมื่อกี้ เพื่อเธอแล้ว คุณปู่ใช้ความตายของตัวเองแลกโอกาสให้เธอได้อยู่ร่วมกับฟู่เจิงดี ๆ สักครั้งเธอมีความดีความชอบอะไรถึงได้การปฏิบัติแบบนี้จากคุณปู่กลับกัน ถ้าเธอแยกจากฟู่เจิงแล้วคุณปู่จะไม่ตาย อย่างนั้นเธอจะขีดเส้นแบ่งกับฟู่เจิงอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวแต่มันไม่มีคำว่าถ้าโลกนี้ไม่มีอะไรสมหวังไปหมดทุกอย่างตรงทางเดินมีเสียงฝีเท้าคนแว่วมาและหยุดอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยของเธอฟู่เจิงเปิดประตูอย่างเบาไม้เบามือ เดินมาถึงข้างเตียงถามเบาแผ่วเบาว่า “ยังไม่นอนเหรอ?”“ยังค่ะ ฉันนอนไม่ค่อยกลับ”ฟู่เจิงใช้ห้องน้ำในห้องพิเศษล้างตัวแบบง่าย ๆ ถอดชุดตัวนอกแล้วเลิกผ้าห่มขึ้นเตียง “นอนเถอะ”“ค่ะ”พวกเขาไม่ได้พูดถึงคุณปู่แบบรู้ใจเวินเหลียงหลับตาลงและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวในตอนที่ฟ้าสาง เวินเหลียงถูกเสียงโทรศัพท์ม
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จหนึ่งชั่วโมงเวินเหลียงว่าประมาณการคุณปู่น่าจะตื่นแล้ว จึงไปที่ห้องพักผู้ป่วยกับฟู่เจิงอีกครั้งเวลานี้ในห้องมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน คนหนึ่งคืออาสะใภ้รองของฟู่เจิง อีกคนคืออาลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่าง ๆมุมห้องมีของขวัญเป็นกล่องวางอยู่จำนวนหนึ่ง ชัดเจนว่ามีคนเคยมาเยี่ยม“อ้าว อาเจิง อาเหลียงมาแล้ว”“อาสะใภ้รอง คุณอา” เวินเหลียงกับฟู่เจิงทักทายพวกเขามองดูตรงหน้า คุณปู่ยังไม่ตื่น“ไปนั่งข้างคุณย่าเถอะ” ฟู่เจิงพูดกับเวินเหลียงตรงกลางมีโต๊ะน้ำชาและเก้าอี้สองตัว เขากลัวว่าเวินเหลียงตาเห็นไม่ชัด จึงเจาะจงประคองเวินเหลียงเดินไปนั่งอยู่บนโซฟาข้างคุณย่า“ข้าวใหม่ปลามันคู่นี้รักกันจริงเลยนะ” อาสะใภ้รองเห็นภาพนี้จึงยิ้มพลางแกล้งพูดอาสะใภ้รองก็เห็นข่าวของฟู่เจิงกับฉู่ซืออี๋เหมือนกันแต่เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ผู้ชายก็เป็นกันแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะเล่นสนุกอยู่ข้างนอกอย่างไร แต่ก็ยังกลับบ้าน“ก็นั่นนะสิ อาเจิงกับอาเหลียงเป็นคู่ที่ฉันเห็นว่าเหมาะสมที่สุดคู่หนึ่งเลย” อายิ้มหน้าบาน ประจบเล็กน้อย เธอเป็นญาติที่ห่างกับตระกูลฟู่ประมาณหนึ่ง ทั้งครอบครัวหวัง
ฟู่เจิงเห็นรอยยิ้มที่คลี่บานอยู่บนใบหน้าของเวินเหลียง มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขานั่งลงอยู่ข้างตัวเธอและพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ค่อย ๆ กิน”เวินเหลียงเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง “คุณจะชิมหน่อยไหมคะ?”พอถามแล้วเวินเหลียงก็นึกขึ้นมาได้ฉับพลัน ฟู่เจิงไม่ชอบของหวานนี่“อืม” ฟู่เจิงมองดวงตาของเธอพร้อมพยักหน้านิด ๆเวินเหลียงอึ้งไปเล็กน้อย เอาซ่อมจิ้มชิ้นหนึ่งแล้วส่งไปถึงข้างริมฝีปากของฟู่เจิงฟู่เจิงกินมันลงไปคุณย่าเห็นการโต้ตอบระหว่างพวกเขาสองคน ใบหน้าฉายรอยยิ้มพลางพูดหยอก “อาเจิง แกไม่ได้เอาอะไรมาฝากฉันกับปู่เลยเหรอ? ลืมพวกเราไปแล้วสินะ?”“แค่ไม่ได้เอาอะไรมาฝากเราที่ไหน ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนอาเจิงไม่ชอบกันเค้กนี่ ให้กินยังไม่กินเลย แต่ตอนนี้น่ะ...” คุณปู่มองทั้งสองและยิ้มอย่างลึกซึ้งคุณย่ายิ้มไม่หุบ “อาเจิงห่วงใยเมีย ไม่แน่นะว่าเดียวเราจะได้อุ้มเหลนกันแล้ว”พอได้ยินคำพูดของทั้งสอง เวินเหลียงก็หน้าแดงเล็กน้อยตั้งแต่คุณปู่ป่วยหนัก หลายวันนี้ฟู่เจิงพักกับเธอที่ห้องพักผู้ป่วยตลอด อยู่ด้วยกันทั้งวัน ร่วมเรียงเคียงหมอน ราวกับย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีฉู่ซืออี๋ ไม่มีหนังสือสัญญาหย
“ต่อหน้าหลักฐาน คนแซ่เซียวกับคนแซ่หลี่จำต้องยอมรับว่าร่วมกันวางแผนมาก่อน ทางตำรวจตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีทางอาญากับพวกเขา แต่ระดับการก่อเหตุของพวกเขาน่าจะมีบทลงโทษไม่หนักเท่าไร”เวินเหลียงแปลกใจมาก “ทำไมพวกเขาถึงรู้เลขทะเบียนรถกับการเดินทางของฉันล่ะคะ?”ตำรวจตอบ “คนแซ่เซียวเป็นพนักงานซ่อมแซมอยู่ที่ร้านสี่เอส จากคำสารภาพของเขา คุณเคยซ่อมรถที่นั่น คนแซ่หลี่ก็เลยหาคนสะกดรอยตามคุณโดยเฉพาะ เพื่อนอีกคนของเขาเป็นคนบอกการเดินทางของคุณค่ะ”“ค่ะ ฉันทราบแล้ว”“ครอบครัวของสองคนนั้นอยากพบคุณหน่อย อยากขอให้ผู้เคราะห์ร้ายให้อภัย ไม่ทราบว่า...?”“ไม่พบค่ะ ฉันไม่ต้องการค่าชดเชยทางแพ่งอะไรจากพวกเขาทั้งนั้น พยายามให้โทษหนักที่สุดค่ะ”“รับทราบค่ะ”“ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ มีข่าวอะไรก็แจ้งฉันได้เลยนะคะ”หลังจากวางสายโทรศัพท์ ฟู่เจิงมองเวินเหลียงแวบหนึ่ง “เรื่องนี้ฉันจะให้จี้เจ๋อติดตาม ต้องให้พวกเขาชดใช้แน่”จี้เจ๋อคือทนายฝ่ายกฎหมายของฟู่ซื่อจ้างมาโดยเฉพาะ เป็นทนายอันดับหนึ่งของเจียงเฉิง ชื่อเสียงโด่งดัง คดีที่ผ่านมือเขาแทบไม่แพ้มาก่อน“ขอบคุณค่ะ”“เกรงใจกับฉันทำไม?”ร้านอาหารตะวันตกตกแต่งสวยงามหรูหรา
ฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงมองที่ฟลอร์เต้นรำจึงยิ้มน้อย ๆ ถามว่า “อยากเต้นเหรอ?”เวินเหลียงเม้มริมฝีปาก “ฉันเต้นไม่ค่อยเป็นค่ะ”“ฉันสอนเธอก็ได้”เวินเหลียงดวงตาเปล่งประกายฟู่เจิงโค้งตัวยื่นมืออยู่ตรงหน้าเวินเหลียง เวินเหลียงมอบมือให้อีกฝ่ายเบา ๆฟู่เจิงจูงมือเวินเหลียงเดินเข้าฟลอร์เต้นรำช้า ๆ ใบหน้าพกพารอยยิ้มทรงเสน่ห์ “วางมือไว้ที่ไหล่ของฉัน แล้วเดินตามฉันช้า ๆ”ตามเพลงดนตรีที่ผ่อนคลาย พวกเราเริ่มเต้นเชื่องช้า จงใจให้ย่างเท้าตีวงแคบฟู่เจิงโน้มตัวมาเล็กน้อย นับจังหวะอยู่ข้างหูของเวินเหลียงลมหายใจรดข้างหูของเธอ เธอจึงหดคอแบบควบคุมตัวเองไม่อยู่เวินเหลียงเต้นเงอะ ๆ งะ ๆ ฝืนตามฝีเท้าของฟู่เจิง พอไม่ระวังก็เหยียบรองเท้าหนังของเขา ประทับรอยรองเท้าปื้นใหญ่“ขอโทษค่ะ” เวินเหลียงแหงนหน้าขึ้นมองเขา ความอึดอัดใจแวบเข้ามาในดวงตาเสี้ยวหนึ่งฟู่เจิงยิ้มและพูดข้างใบหูของเธอว่า “ไม่เป็นไร”เวินเหลียงตกตะลึงไปชั่วขณะแสงไฟบนฟลอร์เต้นรำแวบไปแวบมา สะท้อนดวงหน้าหล่อเหลาของเขา ขับเน้นองคาพยพให้คมสันสมาร์ตเป็นพิเศษ ขอบมุมแบ่งชัด ดังประติมากรรมกรีกโบราณ เขายกยิ้มตรงมุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายเหมือน
ริมฝีปากอ่อนนุ่มแนบมา เวินเหลียงใจสั่นเล็กน้อยฟู่เจิงดูดแทะกลีบปากทั้งสองกลีบของเธอ บดขยี้พวกมันจนแดงก่ำปลายลิ้นงัดฟัน ช่วงชิงความหอมหวานในปากของเธอเวินเหลียงวางสองมือไว้บนไหล่ของเขา นิ้วมือลูบไล้ผ่านท้ายทอยสะอาดสืบเสาะตีนผม ตอบสนองอย่างอารมณ์คล้อยตามลมหายใจของทั้งสองประสานกันห้องโดยสารรถยนต์ปิดสนิท เสียงหอบหายใจหนาหนักมากขึ้นทุกทีลมหายใจของฟู่เจิงร้อนผ่าว มือใหญ่ลูบไล้ลงตามเส้นโค้งของเธออย่างห้ามใจไม่อยู่เวินเหลียงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ยกมือห้ามเขาไว้ พูดไม่เป็นภาษา “อย่าค่ะ ตอนนี้อยู่ข้างนอก”ฟู่เจิงจำต้องหยุด ดูดกลีบปากของเวินเหลียงแรง ๆ แล้วค่อย ๆ ผละตัวออกเส้นไหมสีเงินใสสายหนึ่งยืดยาวตามการผละตัวของฟู่เจิง ขาดออกจากกันตรงกลางซึ่งบางที่สุด ตกอยู่บนคอเสื้อของทั้งสอง ห้องโดยสารรถแคบเล็กมีกลิ่นอายคลุมเครือเพิ่มขึ้นบางส่วนฟู่เจิงสูดลมหายใจเข้าลึก สตาร์ตรถทันที นิ้วมือเรียวยาวและขาวกำพวงมาลัยแน่นรถขับไปถึงกลางทาง เวินเหลียงเห็นวิวนอกกระจกจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่เส้นทางกลับโรงพยาบาล“ไม่กลับโรงพยาบาลเหรอคะ?”ฟู่เจิงหันไปมองเวินเหลียงพลางยิ้มบาง “คืนนี้กลับบ้านก่อน พรุ่งนี้เช้