หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จหนึ่งชั่วโมงเวินเหลียงว่าประมาณการคุณปู่น่าจะตื่นแล้ว จึงไปที่ห้องพักผู้ป่วยกับฟู่เจิงอีกครั้งเวลานี้ในห้องมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน คนหนึ่งคืออาสะใภ้รองของฟู่เจิง อีกคนคืออาลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่าง ๆมุมห้องมีของขวัญเป็นกล่องวางอยู่จำนวนหนึ่ง ชัดเจนว่ามีคนเคยมาเยี่ยม“อ้าว อาเจิง อาเหลียงมาแล้ว”“อาสะใภ้รอง คุณอา” เวินเหลียงกับฟู่เจิงทักทายพวกเขามองดูตรงหน้า คุณปู่ยังไม่ตื่น“ไปนั่งข้างคุณย่าเถอะ” ฟู่เจิงพูดกับเวินเหลียงตรงกลางมีโต๊ะน้ำชาและเก้าอี้สองตัว เขากลัวว่าเวินเหลียงตาเห็นไม่ชัด จึงเจาะจงประคองเวินเหลียงเดินไปนั่งอยู่บนโซฟาข้างคุณย่า“ข้าวใหม่ปลามันคู่นี้รักกันจริงเลยนะ” อาสะใภ้รองเห็นภาพนี้จึงยิ้มพลางแกล้งพูดอาสะใภ้รองก็เห็นข่าวของฟู่เจิงกับฉู่ซืออี๋เหมือนกันแต่เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ผู้ชายก็เป็นกันแบบนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะเล่นสนุกอยู่ข้างนอกอย่างไร แต่ก็ยังกลับบ้าน“ก็นั่นนะสิ อาเจิงกับอาเหลียงเป็นคู่ที่ฉันเห็นว่าเหมาะสมที่สุดคู่หนึ่งเลย” อายิ้มหน้าบาน ประจบเล็กน้อย เธอเป็นญาติที่ห่างกับตระกูลฟู่ประมาณหนึ่ง ทั้งครอบครัวหวัง
ฟู่เจิงเห็นรอยยิ้มที่คลี่บานอยู่บนใบหน้าของเวินเหลียง มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขานั่งลงอยู่ข้างตัวเธอและพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ค่อย ๆ กิน”เวินเหลียงเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง “คุณจะชิมหน่อยไหมคะ?”พอถามแล้วเวินเหลียงก็นึกขึ้นมาได้ฉับพลัน ฟู่เจิงไม่ชอบของหวานนี่“อืม” ฟู่เจิงมองดวงตาของเธอพร้อมพยักหน้านิด ๆเวินเหลียงอึ้งไปเล็กน้อย เอาซ่อมจิ้มชิ้นหนึ่งแล้วส่งไปถึงข้างริมฝีปากของฟู่เจิงฟู่เจิงกินมันลงไปคุณย่าเห็นการโต้ตอบระหว่างพวกเขาสองคน ใบหน้าฉายรอยยิ้มพลางพูดหยอก “อาเจิง แกไม่ได้เอาอะไรมาฝากฉันกับปู่เลยเหรอ? ลืมพวกเราไปแล้วสินะ?”“แค่ไม่ได้เอาอะไรมาฝากเราที่ไหน ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนอาเจิงไม่ชอบกันเค้กนี่ ให้กินยังไม่กินเลย แต่ตอนนี้น่ะ...” คุณปู่มองทั้งสองและยิ้มอย่างลึกซึ้งคุณย่ายิ้มไม่หุบ “อาเจิงห่วงใยเมีย ไม่แน่นะว่าเดียวเราจะได้อุ้มเหลนกันแล้ว”พอได้ยินคำพูดของทั้งสอง เวินเหลียงก็หน้าแดงเล็กน้อยตั้งแต่คุณปู่ป่วยหนัก หลายวันนี้ฟู่เจิงพักกับเธอที่ห้องพักผู้ป่วยตลอด อยู่ด้วยกันทั้งวัน ร่วมเรียงเคียงหมอน ราวกับย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีฉู่ซืออี๋ ไม่มีหนังสือสัญญาหย
“ต่อหน้าหลักฐาน คนแซ่เซียวกับคนแซ่หลี่จำต้องยอมรับว่าร่วมกันวางแผนมาก่อน ทางตำรวจตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีทางอาญากับพวกเขา แต่ระดับการก่อเหตุของพวกเขาน่าจะมีบทลงโทษไม่หนักเท่าไร”เวินเหลียงแปลกใจมาก “ทำไมพวกเขาถึงรู้เลขทะเบียนรถกับการเดินทางของฉันล่ะคะ?”ตำรวจตอบ “คนแซ่เซียวเป็นพนักงานซ่อมแซมอยู่ที่ร้านสี่เอส จากคำสารภาพของเขา คุณเคยซ่อมรถที่นั่น คนแซ่หลี่ก็เลยหาคนสะกดรอยตามคุณโดยเฉพาะ เพื่อนอีกคนของเขาเป็นคนบอกการเดินทางของคุณค่ะ”“ค่ะ ฉันทราบแล้ว”“ครอบครัวของสองคนนั้นอยากพบคุณหน่อย อยากขอให้ผู้เคราะห์ร้ายให้อภัย ไม่ทราบว่า...?”“ไม่พบค่ะ ฉันไม่ต้องการค่าชดเชยทางแพ่งอะไรจากพวกเขาทั้งนั้น พยายามให้โทษหนักที่สุดค่ะ”“รับทราบค่ะ”“ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ มีข่าวอะไรก็แจ้งฉันได้เลยนะคะ”หลังจากวางสายโทรศัพท์ ฟู่เจิงมองเวินเหลียงแวบหนึ่ง “เรื่องนี้ฉันจะให้จี้เจ๋อติดตาม ต้องให้พวกเขาชดใช้แน่”จี้เจ๋อคือทนายฝ่ายกฎหมายของฟู่ซื่อจ้างมาโดยเฉพาะ เป็นทนายอันดับหนึ่งของเจียงเฉิง ชื่อเสียงโด่งดัง คดีที่ผ่านมือเขาแทบไม่แพ้มาก่อน“ขอบคุณค่ะ”“เกรงใจกับฉันทำไม?”ร้านอาหารตะวันตกตกแต่งสวยงามหรูหรา
ฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงมองที่ฟลอร์เต้นรำจึงยิ้มน้อย ๆ ถามว่า “อยากเต้นเหรอ?”เวินเหลียงเม้มริมฝีปาก “ฉันเต้นไม่ค่อยเป็นค่ะ”“ฉันสอนเธอก็ได้”เวินเหลียงดวงตาเปล่งประกายฟู่เจิงโค้งตัวยื่นมืออยู่ตรงหน้าเวินเหลียง เวินเหลียงมอบมือให้อีกฝ่ายเบา ๆฟู่เจิงจูงมือเวินเหลียงเดินเข้าฟลอร์เต้นรำช้า ๆ ใบหน้าพกพารอยยิ้มทรงเสน่ห์ “วางมือไว้ที่ไหล่ของฉัน แล้วเดินตามฉันช้า ๆ”ตามเพลงดนตรีที่ผ่อนคลาย พวกเราเริ่มเต้นเชื่องช้า จงใจให้ย่างเท้าตีวงแคบฟู่เจิงโน้มตัวมาเล็กน้อย นับจังหวะอยู่ข้างหูของเวินเหลียงลมหายใจรดข้างหูของเธอ เธอจึงหดคอแบบควบคุมตัวเองไม่อยู่เวินเหลียงเต้นเงอะ ๆ งะ ๆ ฝืนตามฝีเท้าของฟู่เจิง พอไม่ระวังก็เหยียบรองเท้าหนังของเขา ประทับรอยรองเท้าปื้นใหญ่“ขอโทษค่ะ” เวินเหลียงแหงนหน้าขึ้นมองเขา ความอึดอัดใจแวบเข้ามาในดวงตาเสี้ยวหนึ่งฟู่เจิงยิ้มและพูดข้างใบหูของเธอว่า “ไม่เป็นไร”เวินเหลียงตกตะลึงไปชั่วขณะแสงไฟบนฟลอร์เต้นรำแวบไปแวบมา สะท้อนดวงหน้าหล่อเหลาของเขา ขับเน้นองคาพยพให้คมสันสมาร์ตเป็นพิเศษ ขอบมุมแบ่งชัด ดังประติมากรรมกรีกโบราณ เขายกยิ้มตรงมุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายเหมือน
ริมฝีปากอ่อนนุ่มแนบมา เวินเหลียงใจสั่นเล็กน้อยฟู่เจิงดูดแทะกลีบปากทั้งสองกลีบของเธอ บดขยี้พวกมันจนแดงก่ำปลายลิ้นงัดฟัน ช่วงชิงความหอมหวานในปากของเธอเวินเหลียงวางสองมือไว้บนไหล่ของเขา นิ้วมือลูบไล้ผ่านท้ายทอยสะอาดสืบเสาะตีนผม ตอบสนองอย่างอารมณ์คล้อยตามลมหายใจของทั้งสองประสานกันห้องโดยสารรถยนต์ปิดสนิท เสียงหอบหายใจหนาหนักมากขึ้นทุกทีลมหายใจของฟู่เจิงร้อนผ่าว มือใหญ่ลูบไล้ลงตามเส้นโค้งของเธออย่างห้ามใจไม่อยู่เวินเหลียงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ยกมือห้ามเขาไว้ พูดไม่เป็นภาษา “อย่าค่ะ ตอนนี้อยู่ข้างนอก”ฟู่เจิงจำต้องหยุด ดูดกลีบปากของเวินเหลียงแรง ๆ แล้วค่อย ๆ ผละตัวออกเส้นไหมสีเงินใสสายหนึ่งยืดยาวตามการผละตัวของฟู่เจิง ขาดออกจากกันตรงกลางซึ่งบางที่สุด ตกอยู่บนคอเสื้อของทั้งสอง ห้องโดยสารรถแคบเล็กมีกลิ่นอายคลุมเครือเพิ่มขึ้นบางส่วนฟู่เจิงสูดลมหายใจเข้าลึก สตาร์ตรถทันที นิ้วมือเรียวยาวและขาวกำพวงมาลัยแน่นรถขับไปถึงกลางทาง เวินเหลียงเห็นวิวนอกกระจกจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่เส้นทางกลับโรงพยาบาล“ไม่กลับโรงพยาบาลเหรอคะ?”ฟู่เจิงหันไปมองเวินเหลียงพลางยิ้มบาง “คืนนี้กลับบ้านก่อน พรุ่งนี้เช้
ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรฟู่เจิงหน้าขรึมมากขึ้นทุกที “ได้ ผมรู้แล้ว ผมจะไปเดี๋ยวนี้”เขาแต่งตัวให้เรียบร้อยทันที ใส่เสื้อตัวนอกและพูดกับเวินเหลียงที่อยู่บนเตียงว่า “ฉันมีธุระจะออกไปหน่อย”“มีอะไรเหรอคะ” เวินเหลียงใช้ผ้าห่มคลุมตัวเอง ยันตัวขึ้น “ดึกอย่างนี้แล้วต้องไปให้ได้เหรอคะ?”มือที่กำลังจัดระเบียบเสื้อของฟู่เจิงหยุดชะงัก“คุณหวัง คงเป็นหวังเหยียนละสิ? ฉู่ซืออี๋เกิดเรื่องอะไรเหรอคะ?”เห็นเขานิ่งไป อารมณ์ในดวงตาเวินเหลียงสงบลง เย็นเฉียบไปทั้งตัว“ซืออี๋หายตัวไป”“หายตัวไป? งั้นก็ควรแจ้งความก่อน คุณไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะคะ?”หรือว่าฉู่ซืออี๋กำลังรอให้เขาไปหา?“อาการซืออี๋ไม่ค่อยนิ่ง เขาออกไปคนเดียวอันตรายมาก อีกอย่างเขาเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้าแจ้งความเป็นส่งผลกับเขา ฉันจะหาเขาให้เจอให้เร็วที่สุด ฉันรับปากนะ หาเขาเจอแล้วฉันจะกลับมา”เห็นสีหน้าแน่วแน่ของฟู่เจิง เวินเหลียงเจ็บจี๊ดในใจเรียกว่าห่วงใยจึงว้าวุ่นคงเป็นข้ออ้างที่ฉู่ซืออี๋ใช้เรียกฟู่เจิงไปหา เธอดูออก แต่น่าเสียดายที่ฟู่เจิงดูไม่ออกในสายตาของเขา จะให้ฉู่ซืออี๋เป็นอะไรไปแม้แต่น้อยไม่ได้เขาจะไม่กลับมาหรอกเธอ
ฟู่เจิงพาฉู่ซืออี๋มาเยี่ยมคุณปู่แล้ว เขาพาคนรักของเขามากราบคุณปู่ถึงที่แล้วเวินเหลียงคับอกคับใจ ราวกับสายฝนที่เย็นเฉียบเทกระหน่ำลงมาท่ามกลางวายุคลั่ง โถมใส่เธอจนหัวใจหนาวเหน็บทำไมเขาต้องทำกับเธออย่างนี้?ตอนที่พวกเขาหวานแหววกัน ฟู่เจิงถูกฉู่ซืออี๋เรียกไปด้วยโทรศัพท์กริ๊งเดียว หนึ่งข้อความก็ไม่มี กลับพาฉู่ซืออี๋มาพบคุณปู่ที่โรงพยาบาลโดยตรงเขาเอาเธอที่เป็นภรรยาไปไว้ที่ไหน!เวินเหลียงยืนอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วย ฟังพวกเขาสนทนากันเงียบ ๆน้ำเสียงของฉู่ซืออี๋เชิงประจบประแจงเล็กน้อย ท่าทีของคุณปู่คุณย่าไม่ได้ยินดียินร้าย “ขอบคุณคุณฉู่ที่อวยพร”ระหว่างการสนทนา คุณย่าเบี่ยงประเด็นไปที่ฟู่เจิง ทั้งยังตำหนิอีกเล็กน้อย “อาเจิง เมื่อวานแกกลับไปกับอาเหลียงไม่ใช่เหรอ? ทำไมวันนี้แกถึงมาคนเดียวล่ะ แล้วยังพาคุณฉู่มาด้วยกันอีก? คุณฉู่น่าจะมีงานยุ่ง ทำไมแกต้องพาเขามาให้ลำบากด้วย? ถ้าถูกสื่อกับนักข่าวถ่ายแล้วเอาไปเขียนไร้สาระอีก จะไม่ส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของคุณฉู่เหรอ?”ฉู่ซืออี๋จึงพูดขึ้นทันที “คุณย่าฟู่ หนูอยากจะมาเองค่ะ ได้ยินว่าคุณปู่อยู่โรงพยาบาล เป็นห่วงมากก็เลยให้อาเจิงพามา”คุณย่า
ฉู่ซืออี๋เดินกรีดกรายมาสองก้าว ใบหน้าพกพารอยยิ้มสง่างาม “ฉันได้ยินมาว่าหลายวันก่อนเธอรถชนเหรอ คนที่ชนเธอเป็นแฟนคลับฉัน รู้ไหมว่าทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนี้?”เวินเหลียงมองฉู่ซืออี๋อย่างสงบฉู่ซืออี๋พูดต่อ “เพราะเธอคือมือที่สามระหว่างฉันกับฟู่เจิงยังไงล่ะ!”เวินเหลียงหัวเราะ “คุณก็ช่างกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าฉันนะคะ ใครกันแน่ที่เป็นมือที่สาม คุณรู้ดีอยู่แก่ใจ คุณมาโอ้อวดต่อหน้าฉัน ไม่กลัวว่าฉันจะไปชี้แจงต่อหน้าสื่อ แปะป้ายชื่อมือที่สามให้คุณเหรอ?”ฉู่ซืออี๋หัวเราะฮ่า ๆ“คุณหัวเราะอะไร?” เวินเหลียงไม่เข้าใจ“ฉันหัวเราะ หัวเราะที่เธอโง่สุด ๆ ไปเลย ตอนนี้ตรงหน้าสื่อกับชาวเน็ต เธอต่างหากที่เป็นมือที่สาม!”เห็นเวินเหลียงเงียบ ฉู่ซืออี๋จึงพูดต่อ “นานขนาดนี้แล้วยังเป็นกบอยู่ในกะลา ถ้าเธอดูเฟซบุ๊กของตัวเองสักหน่อยก็จะไม่พูดอย่างนี้แล้ว”เวินเหลียงหัวใจหล่นตุบ หลายวันนี้เธอเห็นอะไรไม่ชัด โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างโทรศัพท์มือถือ เธอเปิดดูน้อยมาก ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กหลายวันแล้วช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น?ทำไมไม่มีใครบอกเธอเลยล่ะ?ฟู่เจิงปิดบังเธอใช่ไหม?“ทำไม เธอไม่กล้าดูเหรอ?”สองมือที่ทิ้งตั