เวินเหลียงกับฟู่ซือฝานเดินเข้าไปในห้องรับแขก สิ่งที่รับหน้ามาคือการเผชิญหน้ากับฟู่ชิงเยว่สีหน้าฟู่ชิงเยว่เคร่งขรึม ขณะกวาดสายตาไปบนตัวเวินเหลียง ไม่สามารถปกปิดความไม่พอใจของเธอได้เลยเวินเหลียงทักทายอย่างราบเรียบ “คุณอา คุณย่า”“แกรนมา!” ฟู่ซือฝานวิ่งเหยามาตรงหน้าฟู่ชิงเยว่ ใบหน้าน้อย ๆ ยิ้มแป้นจนแทบจะเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่ง “คุณย่ามาแล้ว!”ฟู่ชิงเยว่โน้มตัวลงไปจูบหน้าของฟู่ซือฝาน “ฝานฝาน ย่ามารับเธอแล้ว ดีใจไหม?”ฟู่ซือฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ค่ะ” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง มือทั้งสองเกี่ยวที่นิ้วก้อย “เราจะกลับกันตอนนี้เลยเหรอคะ?”เธอยังไม่อยากกลับไป ทำยังไงดี?เมื่อฟู่ชิงเยว่ไม่เห็นสีหน้าดีอกดีใจบนหน้าของฟู่ซือฝาน สีหน้าของเธอก็พลันเคร่งขรึมลงพรึ่บ “ทำไม? เธอไม่อยากกลับไปกับย่าแล้วเหรอ!?”ใบหน้าน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานซีดเผือด ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ก็...ก็ไม่ใช่หรอกค่ะ...หนูแค่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน...”ที่ฟู่ชิงเยว่กลับมาในวันที่สามสิบก่อนปีใหม่วันนี้ แน่นอนว่าคิดจะอยู่ในประเทศสักสองสามวัน เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่เพียงแต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฟู่ซือฝานนี่แล้ว
พูดจบเธอก็เดินกระทืบเท้า ‘ตึง ๆ ๆ’ ขึ้นไปชั้นบนกระทั่งเงาเบื้องหลังของเธอหายลับไปตรงปากบันได คุณหญิงถึงปลอบเวินเหลียง “อาเหลียง ไม่ต้องไปฟังที่อาเธอพูดจาไร้สาระนะ เขาถูกฉันตามใจจนเสียนิสัย ไม่พอใจอะไรนิดไม่พอใจอะไรหน่อยก็โวยวายใหญ่โต เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว เฮ้อ...”“คุณย่า หนูทราบแล้วค่ะ”คุณปู่และคุณย่ามีพระคุณต่อเวินเหลียง เธอยอมอดทนปล่อยให้ฟู่ชิงเยว่เปล่งเสียงด่าที่ไม่เจ็บไม่ปวดใส่สองสามประโยคได้อยู่แล้ว ถึงยังไงในหนึ่งปีก็เจอแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น“งั้นหลังจากนี้หนูไปเที่ยวเล่นกับคุณป้าอีกไม่ได้แล้วจริง ๆ เหรอคะ?” แขนน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานเกาะอยู่ที่คอของฟู่เจิง ดวงตากลมโตแดงก่ำมองเวินเหลียงด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างกลุ้มใจ“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว” ฟู่เจิงรีบตอบ “เธออยากไปเที่ยวเล่นกับคุณป้าก็ไป ไม่ว่าใครก็ยุ่งเธอไม่ได้”“แล้วถ้าคุณย่าโกรธจะทำยังไงล่ะคะ?”“คุณย่าก็แค่โกรธประเดี๋ยวประด๋าว อีกอย่างยังมีลุงอยู่ทั้งคนนะ”“อืม...” ฟู่ซือฝานพาดศีรษะไปบนไหล่ของฟู่เจิง ทำท่าทางหวังพึ่งเขาสุด ๆบวกกับความละม้ายคล้ายกันของใบหน้า ยิ่งเหมือนพ่อลูกแท้ ๆ เป็นพิเศษคุณหญิง
มิน่าล่ะตำรวจถึงสืบไม่เจอเมิ่งจินถัง ความสัมพันธ์ชั้นนี้ลึกมาก ๆ เขาเคยถูกล่อลวงไปขาย แถมเป็นเมื่อนานมาแล้ว แม้แต่เมิ่งเซ่อก็ยังไม่รู้พนักงานมาเสิร์ฟกาแฟ เวินเหลียงคนเบา ๆ พลางครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากพูดกับเมิ่งเซ่อยังไงดีเธอได้ข่าวสำคัญสองข่าวมาจากเมิ่งเซ่อแล้ว หนึ่งคือตำแหน่งของจางกั๋วอัน อีกหนึ่งข่าวคือความสัมพันธ์ระหว่างจางกั๋วอันกับเมิ่งจินถังให้มากกว่านี้เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว หากถามมากไปเมิ่งจินถังจะสงสัยเอาต่อไปคือส่งต่อให้ตำรวจก็สิ้นเรื่องแล้วฉะนั้นก็หมายความว่า เมิ่งเซ่อไม่มีประโยชน์กับเธออีกต่อไปเมิ่งเซ่อเห็นเวินเหลียงเอาแต่เงียบตลอด ในใจก็เริ่มกระวนกระวาย จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “พี่ครับ พี่คิดตกหรือยัง? จะเลิกกับผมไหม?”เวินเหลียงก้มหน้า เตรียมหาถ้อยคำบางทีการอ้างเรื่องของเซี่ยมู่มาขอบอกเลิกเมิ่งเซ่ออาจดีที่สุดแล้วความจริงที่เธอจงใจเข้าหาเมิ่งเซ่อจะไม่ถูกเปิดโปงแน่ ๆ และอาจสลัดเมิ่งเซ่อออกได้อย่างถูกจังหวะและดูเป็นขั้นตอนเพียงแต่การที่เธอทำแบบนี้มันทั้งไร้น้ำใจและเห็นแก่ตัวจริง ๆเธอตัดสินใจไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะขอโทษเมิ่งเซ่อแต่ว่าเจ็บแต่จบย่อมดีก
“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ?”เวินเหลียงเกิดปวดหัวขึ้นมาฟู่เจิงกำลังบีบให้เธอเลิกกับเมิ่งเซ่อไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าหลังพวกเขาเลิกกันแล้ว ฟู่เจิงจะตามตอแยเธอยังไงฟู่เจิงมองเวินเหลียงอยู่สองสามวินาที ทันใดนั้นก็ยั่วให้ตนโกรธจนขำออกมา “เธอชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงเขาจะนอกกายนอกใจเธอก็รับได้ แต่ดันรับที่ฉันทำไม่ได้? ที่เขาให้เธอได้ ฉันก็ให้ได้ทั้งนั้น สิ่งที่เขาให้ไม่ได้ฉันก็ให้ได้!”ตรงกันข้าม เป็นเพราะเธอไม่ชอบเมิ่งเซ่อ จึงคิดว่าไม่สำคัญ ถึงได้เล่นละครอย่างมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนได้และเป็นเพราะเธอรักรักฟู่เจิงลึกซึ้งเกินไป ถึงได้ถูกเขาทำร้ายได้ง่าย ๆ จนไม่สามารถปล่อยวางได้เวินเหลียงตอบ “นอกใจก็คือมีชู้ อย่าลืมสิ ก่อนหน้านี้คุณเพิ่งจะยอมรับว่าคนที่คุณชอบคือฉู่ซืออี๋”ฟู่เจิงมองเธอด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สีหน้าเขามืดคล้ำดำหมองผ่านไปนานสองนาน เขาถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อาเหลียง นั่นเป็นเพราะฉันไม่มีทางเลือก เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าฉันชอบเธอ...”“ฉันไม่รู้”เวินเหลียงเอ่ยขึ้นชืด ๆ ว่า “คุณก็แค่ตำหนิที่ฉันสองมาตรฐานไม่ใช่เหรอ? โอเค ฉันเลิกกับเขาก็ได้ และจะ
“เธอโทรไปบอกเลิกเขาเดี๋ยวนี้ซะ” ฟู่เจิงมองเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เวินเหลียงเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะขยับนิ้วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีหน้าสงสัยส่วนเรื่องคบกับเมิ่งเซ่อ เธอทำผิดศีลธรรมจริง ๆ เดิมทีเธออยากบอกเลิกเมิ่งเซ่อต่อหน้า จะได้ดูเอาจริงเอาจังหน่อย และจะได้ปลอบใจเมิ่งเซ่อด้วยทว่าบอกเลิกทางโทรศัพท์ แถมยังอยู่ต่อหน้าฟู่เจิงอีก นี่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของแผนที่เวินเหลียงวางเอาไว้เลยเห็นเวินเหลียงเงียบไป ฟู่เจิงก็ชำเลืองมองเธอทีหนึ่ง ในน้ำเสียงแฝงความรู้สึกกดดันที่ไม่สามารถละเลยได้เอาไว้ “ไม่ยอมทำ? ถ้าไม่ยอมทำงั้นเดี๋ยวฉันทำเอง”เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ ทำท่าทางจะต่อสายโทรออกหาเมิ่งเซ่อเขาหาเบอร์โทรศัพท์ของเมิ่งเซ่อมาได้สบาย ๆ อยู่แล้วเมื่อเวินเหลียงเห็นดังนั้น ก็รีบคว้าแขนของเขาไว้ทันที พลางขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่พอใจ สีหน้าบึ้งตึง เม้มริมฝีปากแน่น “ฟู่เจิง คุณทำเกินไปแล้วนะ!”ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้น ทั้งสองคนสบตากัน เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาแน่วแน่ ไร้ท่าทีว่าจะอ่อนข้อให้ “ทำเกินไป? ฉันก็เป็นแบบนี้มาตลอด เธอรู้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”เวินเหลียง “...”ไอ้ผู้
“ฉันทำตามที่คุณบอกแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะทำตามที่คุณสัญญาเอาไว้ เคารพความคิดเห็นของฉัน”สายตาของฟู่เจิงมองไปเบื้องหน้า ขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจเคารพความคิดเห็นของเธอ?นั่นก็ต้องดูว่าเป็นความคิดเห็นแบบไหนทั้งสองคนกลับมาถึงยังบ้านใหญ่ครอบครัวของฟู่เยว่ ครอบครัวของอารอง ต่างมากันครบหมดแล้วตามธรรมเนียม คืนนี้คนในครอบครัวทุกคนจะร่วมกินมื้อส่งท้ายปีเก่าด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเพียงแต่คนไม่ครบเหมือนอย่างแต่ก่อน มื้อส่งท้ายปีเก่าในครั้งนี้ขาดไปหนึ่งคนเมื่อนึกถึงขึ้นมา เวินเหลียงก็ใจแป้วเล็กน้อยในห้องรับแขก ซูชิงอวิ๋นและอาสะใภ้รองนั่งอยู่ข้างคุณหญิง ทุกคนร่วมพูดคุยกัน ฟู่เยว่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฝั่ง กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับฟู่เซิงฟู่ซือฝานกับฟู่รุ่ยอยู่บนโต๊ะทางห้องทานอาหาร พูดคุยกันตามประสาเด็กเวินเหลียงทักทายพวกเขา ก่อนจะนั่งลงข้างซูชิงอวิ๋น “พี่สะใภ้ใหญ่”ซูชิงอวิ๋นพยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อยรอยยิ้มของเธอดูฝืนอยู่หน่อย ๆ ราวกับพยายามฉีกมันออกมาพอมาดูสีหน้าแววตาของเธอ ราวกับอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ใต้นัยน์ตาแฝงหน้าคล้ำดำเขียวเอาไว้จาง ๆ เวินเหลียงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “พี่สะใภ้ใหญ่
เมื่อเวินเหลียงได้ยินดังนั้น เธอก็ประหลาดใจไปกระทั่งถึงเวลาทำอาหาร เธอก็ลงไปช่วยด้านล่างอาสะใภ้รองกับซูชิงอวิ๋นกำลังวุ่นเรื่องทำอาหารอยู่ในครัว ต่างคนต่างแยกกันเตรียมผักหั่นผัก พวกฟู่เจิงทั้งสามคนเองก็อยู่ด้านใน ที่ดึงเส้นหลังกุ้งออกก็ดึงเส้นหลังกุ้งออก ที่สับซี่โครงหมูก็สับซี่โครงหมูภายในห้องรับแขกเหลือเพียงคุณหญิงและเด็ก ๆ สองคนเวินเหลียงมองซูชิงอวิ๋นทีหนึ่ง พลางสลับไปมองฟู่เยว่ที่กำลังหมักน่องไก่อยู่ทีหนึ่งตามสัญชาตญาณ ราวกับสองสามีภรรยาจะเกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ ไม่มีการสื่อสารและพูดคุยกันแม้แต่น้อยโดยเฉพาะซูชิงอวิ๋น มองยังไม่มองฟู่เยว่เลย ทว่าฟู่เยว่ทอดสายตามองซูชิงอวิ๋นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ชักสายกลับไปมื้อส่งท้ายปีเก่ามีอาหารหลากหลายมาก ๆ ตั้งเต็มโต๊ะใหญ่เลยทีเดียวได้เวลากินข้าว ทุกคนก็ทยอยมานั่งลงรอบโต๊ะกลมกันอย่างต่อเนื่องขณะกำลังนั่งลงตรงที่นั่ง ซูชิงอวิ๋นจงใจเลือกที่นั่ง เธอชี้มาตรงตำแหน่งข้างเวินเหลียง ก่อนจะเอ่ยว่า “เพิ่มเก้าอี้เด็กสองตัวตรงนี้ ให้รุ่ยเอ๋อร์นั่งกับฝานฝาน”เวินเหลียงรู้ว่าเธอไม่อยากนั่งกับฟู่เยว่ จึงพยักหน้าตามน้ำไปขณะฟู่ชิงเยว่ลงมาจากชั้นบน ฟู่ซ
ในใจเธอมีรอยกรีดผุดขึ้นมาแล้ว ให้ทำเป็นว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แล้วอยู่กับฟู่เยว่ต่อไปทั้งแบบนี้ เธอทำไม่ได้จริง ๆแต่หากหย่ากันไป ฟู่รุ่ยจำเป็นต้องอยู่ที่บ้านตระกูลฟู่ เธอก็ไม่อยากแยกจากลูกของตัวเองไปอีก“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร...” เธอบ่นพึมพำอย่างเหม่อลอยว่า “เมื่อเดือนก่อน ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงจากในโทรศัพท์เขา เขาเองก็ไม่อธิบายอะไรเลย ตอนรับโทรศัพท์กลับทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ...ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยขวางไม่ให้ฉันรับสายของผู้หญิงเลย ไม่ว่าจะเป็นเลขาผู้หญิงของเขา เพื่อนผู้หญิงของเขาฉันก็รู้จักหมด...ฉันจะจับตาดูตลอด กระทั่งต่อมามีวันหนึ่ง ฉันได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นจากตัวเขา ไหนจะเส้นผม ไหนจะรอยข่วนที่มือแล้วก็ที่คอของเขา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นรอยที่เกิดจากเล็บของผู้หญิง...”“หลังฉันหงายไพ่กับเขา เขาบอกว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นบริสุทธิ์...หึ...ฉันถามเขาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่เขากลับไม่พูด...เขาคิดว่าฉันโง่เหรอ?”ฟังออกว่าซูชิงอวิ๋นยังรักฟู่เยว่อยู่เพียงแต่ในใจไม่สามารถข้ามอุปสรรคนี้ไปได้สถานการณ์พรรค์นี้ เวินเหลียงเองจะไปเลือกแทนเธอไม่ได้ มีเพียงความทอดถอนใจเล