“แกดูที่แกทำอยู่ตอนนี้สิมันเรียกว่าอะไรกัน! เช้าตรู่มาไม่สนใจแม้แต่จะกินข้าว ฉันยังคิดว่าแกไปบริษัท ไม่นึกเลยว่าแกจะไปหาฉู่ซืออี๋? ทำเป็นหูทวนลมไม่ฟังคำพูดของปู่ใช่ไหม ในสามปีมานี้อาเหลียงทำผิดกับแกตรงไหน?”“ถ้าตอนแรกแกไม่คิดจะรับผิดชอบจนถึงที่สุด ก็ไม่ต้องแต่งงานกับเธอสิ ที่ตอนแรกปู่ยกเธอให้แกไป ก็เป็นเพราะอยากให้แกทำให้เธอมีความสุข ตอนนี้แกจะให้ปู่มองหน้าอาเหลียงยังไง?”ฟู่เจิงเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณปู่ครับ ผมสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว เพียงแต่ผมหวังว่าครั้งต่อไปก่อนจะทำอะไรช่วยปรึกษากับผมก่อนได้ไหมครับ”...เวินเหลียงตื่นสายมากแล้ว แม่บ้านของบ้านใหญ่ทำอาหารเช้าให้เวินเหลียงใหม่โดยเฉพาะอีกชุดหนึ่งหลังเธอกินอาหารเช้าเสร็จก็สิบโมงแล้ว มาไม่ทันเวลาเข้างาน เวินเหลียงก็เลยอยู่เป็นเพื่อนคุณท่านและคุณหญิงที่บ้านใหญ่ไปเลย จากนั้นก็ทานข้าวเที่ยงที่บ้านใหญ่อีกมื้อหนึ่งก่อนจะออกมา คุณหญิงหยิบบัตรเชิญให้เวินเหลียงใบหนึ่ง “นี่เป็นบัตรเชิญของงานเลี้ยงการกุศลอ็อยเลอร์ เขาส่งมาให้ฉัน ยายแก่อายุมากปูนนี้แล้วอย่างฉันเอาเจ้านี่ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เธอไปกับอาเจิงเถอะ
หกโมงเย็น เวินเหลียงเลิกงานแล้วก็ตรงดิ่งไปรอฟู่เจิงที่โรงจอดรถใต้ดินทันทีไม่นานฟู่เจิงเองก็ลงมาคนขับรถพาทั้งสองคนไปสตูดิโอแปลงโฉมส่วนตัวแห่งหนึ่งแต่งหน้าเสร็จ ทำผมเสร็จ เวินเหลียงก็มาเปลี่ยนชุดด้านใน จากนั้นเธอก็เดินยกกระโปรงออกมาฟู่เจิงทำผมเสร็จแล้ว กำลังนั่งรออยู่บนโซฟา ครั้นได้ยินเสียงเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมอง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อยหญิงสาวแต่งหน้าอย่างประณีต ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างฉีกยิ้มหน่อย ๆ มีความน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก บนริมฝีปากทาลิปสติกสีเดียวกับอายแชโดว์ ทั้งเร่าร้อนและสวยเย้ายวนผมของเธอไม่ได้ทำทรงที่ดูเว่อวังอะไร ปล่อยสยายลงมาเหมือนปกติ ทั้งสองข้างม้วนเป็นลอนเล็กน้อย เพื่อทำทรงหน้าเธอสวมชุดราตรีสายเดี่ยวสีฟ้าสีเดียวกับน้ำ หัวไหล่มน ๆ ทั้งสองข้างเปลือยอยู่ด้านนอก ขับจนผิวขาวใสของเธอดุจเครื่องลายครามเวินเหลียงเดินไปตรงหน้าเขา ก่อนจะหมุนตัวทีหนึ่ง “ผมทรงนี้ใช้ได้ไหมคะ?”ฟู่เจิงได้สติกลับมาพลางพยักหน้า เขามองรองเท้าที่อยู่ใต้เท้าของเวินเหลียง “ข้อเท้าของเธอเพิ่งหายดีใส่รองเท้าส้นสูง จะไม่สบายตัวเอาหรือเปล่า?”“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”“เปลี่ยนเป็นส้นเตี้ยดีกว่าไ
หญิงสาวมองข้อเท้าเธอทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดมากอะไร เธอนั่งลงข้างเวินเหลียง ก่อนจะใช้ศอกกระทุ้งเวินเหลียง “ฉันชื่อซูเฉิน คุณล่ะชื่ออะไร?”“เวินเหลียง”ซูเฉินขยับเข้ามาข้างตัวเวินเหลียง แล้วกระซิบว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นคุณเข้ามากับฟู่เจิง ทำไมคุณถึงรู้จักกับเขาได้ล่ะ?”เวินเหลียงเบือนหน้าไปมองซูเฉิน จากนั้นมองประเมินเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าซูเฉินแต่งตัวดูแล้วดูแพงและมีราคามาก แต่ความจริงนั้นเป็นคอลเลกชันที่ตกรุ่นไปแล้ว กระเป๋าที่สะพายอยู่ที่แขน เป็นคอลเลกชันเก่าของแบรนด์ที่คนไม่ค่อยนิยมใช้กันเห็นเวินเหลียงเงียบ ซูเฉินก็ถามต่อว่า “ดูจากการแต่งตัวแล้ว ฟู่เจิงคงจ่ายเงินให้คุณไม่น้อยเลยใช่ไหม? คนมีเงินอย่างพวกเขาเหล่านี้อ่อยค่อนข้างยากใช่ไหม?”“เรื่องนี้ฉันไม่ทราบค่ะ”“อย่าทำแบบนี้สิ ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฉันสักหน่อยสิ? คุณไม่รู้ ของฉันคนนี้น่ะใจแคบมาก ช่วยเขามาตั้งนานนม เขาเพิ่งจะพาฉันมาออกงานเลี้ยงนี่แหละ ฉันอยากเขี่ยเขาทิ้งตั้งนานแล้ว”“ฉันไม่ทราบค่ะ ฉันไม่ได้อ่อยเขา” เวินเหลียงยกแก้วเหล้าและขนมหวานแล้วลุกเดินหนีออกไป ก่อนจะหาที่นั่งตำแหน่งใหม่เมื่อซูเฉินเห็นดังนั้น เธอก็แค่นเสียงฮึทีหน
เวินเหลียงเดินตามอยู่เบื้องหลังฟู่เจิงไปยังแถวหน้าบนที่นั่งหนึ่งของแถวหน้า ฉู่ซืออี๋หันหน้ามาโบกไม้โบกมือกับฟู่เจิง “อาเจิงทางนี้”“เดินไปสิ” ฟู่เจิงมองเวินเหลียงทีหนึ่ง จากนั้นก็ยกเท้าก้าวไป เวินเหลียงแข็งทื่อไปทั้งตัว เธอหุบรอยยิ้มบนหน้ากลับไปทีแรกเธอคิดว่าฟู่เจิงจะมานั่งกับเธอ จะนั่งกับเธอแค่คนเดียวเธอคิดว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะชนะฉู่ซืออี๋ได้สักครั้ง ทว่าอันที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่ทานที่ฟู่เจิงโปรยให้เธอเท่านั้น“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” ฟู่เจิงหมุนตัวไปถามเวินเหลียงเวินเหลียงก้มหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่งก่อนจะยกเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า และนั่งลงข้างฟู่เจิง “ไม่นึกเลยว่าคุณฉู่ก็อยู่ด้วย”สีหน้าของฉู่ซืออี๋ซีดเผือด เธอกัดฟันแล้วพูดกระซิบว่า “อาเหลียงขอโทษด้วยนะ ผู้จัดการส่วนตัวให้ฉันมาน่ะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเธอจะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเธอไม่ชอบละก็ ฉันไปนั่งข้างหลังก็ได้นะ”พูดไปฉู่ซืออี๋ก็พลางลุกขึ้นเดินไปด้านหลังฟู่เจิงคว้าแขนของเธอเอาไว้ “ไม่ต้อง คุณนั่งตรงนี้นี่แหละ”ฉู่ซืออี๋มองเวินเหลียงทีหนึ่ง “แต่ว่า...”“ไม่เป็นไร เธอไม่รังเกียจหรอก”มือทั้งสองข้างที่วางไว้
ซูเฉินแค่นเสียงฮึทีหนึ่ง “ทำก็ทำไปแล้ว ยังมาเสแสร้งสูงส่งอะไรอีก ไม่เห็นคุณฉู่ที่อยู่ข้างฟู่เจิงเหรอ? นั่นต่างหากถึงจะเป็นแฟนสาวที่แท้จริงของเขา คนอย่างพวกเรามันเอาไปบอกใครไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือรู้สถานการณ์ของตัวเองให้แจ่มแจ้ง อย่าคิดอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่ของของตัวเอง”“คุณช่วยหุบปากหน่อยได้ไหม?” เวินเหลียงพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ตัวเธอเองคิดว่าเธอแสดงออกอย่างชัดเจนพอ คนที่พอจะรู้ก็รู้กันทั้งนั้นว่าเธอไม่อยากสนใจซูเฉิน“นี่ ยังมาอายจนโกรธอีกเหรอ อย่าคิดว่าเธอรู้จักฟู่เจิงได้ ก็คิดว่าตัวเองต่างจากคนอื่นแล้วนะ ออกมาขายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ใครสูงส่งกว่าใครกัน?”“หุบปาก! ฉันไม่อยากฟังคุณพูด รบกวนคุณช่วยออกไปจากตรงนี้ด้วย”“ฉันไม่ไป หรือว่าบ้านคุณเป็นคนเปิดที่นี่หรือไง?”“คุณไม่ไปฉันไปเอง”เวินเหลียงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วสาวเท้าก้าวออกไปซูเฉินมองเงาเบื้องหลังของเธอ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆทำไมเวินเหลียงถึงไปรู้จักฟู่เจิงได้ ทั้งหนุ่มทั้งหล่อทั้งมีเงิน ส่วนเธอทำได้แค่ตามตาแก่พุงพลุ้ยคนหนึ่งเนี่ยนะ?ก็เป็นเมียน้อยเหมือนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ มีสิทธิ์อะไรเธอถึงได้มาทำท่าทา
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล หมอที่กำลังเข้าเวรทำการตรวจคร่าว ๆ ให้เวินเหลียง ไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร“แต่ว่าหมอคะฉันตั้งครรภ์อยู่ จะกระทบกระเทือนอะไรไหมคะ?”หมอพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ผมแนะนำให้คุณไปทำการตรวจทางนรีเวชดูดีกว่านะครับ”“ค่ะ”คุณหมอเขียนใบส่งตรวจให้ใบหนึ่ง เวินเหลียงถือใบส่งตรวจไปทำการตรวจทางนรีเวชที่แผนกฉุกเฉินเมื่อออกมาจากห้องตรวจ โจวอวี่ก็รีบเดินปรี่เข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอว่ายังไงบ้าง?”เวินเหลียงเอ่ย “ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ฉันยังต้องไปทำการตรวจอีกอย่างหนึ่ง หลังจากนี้ฉันไปเองก็ได้ งั้นนายกลับไปก่อนเถอะ คืนนี้ขอบคุณนายมากนะ วันหน้าฉันจะต้องเลี้ยงข้าวนายให้ได้”“ไม่ต้องหรอก ไหน ๆ ฉันก็ตามเธอมาแล้ว แค่นี้ไม่เสียเวลาหรอก ไปเถอะ ไปตรวจอะไรนั่น ฉันจะไปกับเธอเอง”“โรงพยาบาลคนเยอะ หลังตรวจเสร็จแล้ว กว่าผลจะออกก็ต้องใช้เวลาอีกนาน ตัวตนของนายมันสะดุดตาเกินไป ถ้าถูกคนจำได้ขึ้นมา แล้วถูกแอบถ่ายรูปไปก็แย่น่ะสิ”เวินเหลียงเองก็พูดถูก โจวอวี่ออกมาไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย โชคดีที่ตอนกลางคืนห้องฉุกเฉินคนน้อย มีเพียงหมอที่รีบเร่ง พยาบาลและครอบคร
“ได้ครับ”หลังจากวางสายเวินเหลียงก็เชิญทนายฝ่ายกฎหมายของฟู่ซื่อคนนั้นไป ขอร้องให้เขาช่วยไปให้หน่อยก่อนจะนอนเวินเหลียงมองโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง ยังคงไร้วี่แววข้อความจากฟู่เจิงเธอนอนหลับไปทั้งความผิดหวังและความเสียใจตื่นเช้าวันต่อมา เวินเหลียงก็มองหน้าจอโทรศัพท์ทีหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีข้อความและสายโทรเข้าจากฟู่เจิงเธอไม่คาดหวังกับฟู่เจิงตั้งนานแล้ว ทว่าในใจกลับยังคงหนักหน่วงออกมาจากโรงพยาบาลเวินเหลียงก็ตรงดิ่งไปที่บริษัทเลยเลขากำลังรอเธออยู่ เห็นเธอออกมาจากลิฟต์ ก็รีบเดินหน้าเข้าไปบอกว่า “ผู้อำนวยการเวินคะ ประธานฟู่ให้คุณไปหาที่ห้องทำงานค่ะ”เวินเหลียงยิ้มทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางห้องทำงานประธานกรรมการคราวก่อนฟู่เจิงถามว่าเธอเป็นคนบอกคุณปู่ว่าเขาไปหาฉู่ซืออี๋หรือเปล่า ครั้งนี้ฟู่เจิงจามเขาว่าอะไรอีก?เวินเหลียงเดินเข้าไป ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน “ประธานฟู่ คุณเรียกฉันเหรอคะ?”ฟู่เจิงเงยหน้ามองเวินเหลียง เห็นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาวางเอกสารในมือลง จากนั้นก็พิงพนักเก้าอี้ “กลับมาแล้วเหรอ”“อืม”“ป้าหวังบอกฉันว่า เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับไป?” ฟู่เจิงหรี่ตามองเธอ“อืม เจอ
สีหน้าของฟู่เจิงแข็งทื่อ เขาเม้มริมฝีปากแน่น ในใจไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเธอชอบโจวอวี่มากจริง ๆ แม้แต่หลักการของตัวเขาก็ยังเอาชนะได้“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?” เวินเหลียงเอ่ยถาม“เมื่อคืนพวกเธอทำอะไรกัน?”“ฉันไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟัง”นี่เป็นคำพูดที่ฟู่เจิงเคยพูดกับเธอมาก่อน ตอนนี้ได้คืนให้เขาแล้วฟู่เจิงขมวดคิ้วพลางถูคิ้ว น้ำเสียงขึงขังขึ้น “เวินเหลียง เธออย่าใช้อารมณ์ได้ไหม!”เห็นได้ชัดว่าความรักทำให้คนตาบอด เดิมทีเวินเหลียงไม่ยอมรับฟังคำพูดของเขาอยู่แล้วเขาหวังว่าเวินเหลียงจะมีความสุข เพียงแต่โจวอวี่คนนี้ไม่เหมาะสมกับเวินเหลียงเลยสักนิด“ฉันใช้อารมณ์ยังไงไม่ทราบ?”“ฉันแค่เป็นห่วงเธอ โจวอวี่ตนคนนี้ไม่เหมาะสมกับเธอเลย หวังว่าเธอจะพิจารณาอย่างจริงจังดูหน่อย อย่าทำเป็นหูทวนลม ทำเรื่องอะไรที่มันกลับมาแก้ไขไม่ได้!”“ทำเรื่องอะไรที่มันกลับมาแก้ไขไม่ได้? คุณสื่อถึงอะไร? มีชู้เหรอ?” เวินเหลียงเลิกคิ้วฟู่เจิงเงียบ“ก่อนที่พวกเราจะหย่ากันอย่างเป็นทางการ ฉันไม่มีวันสวมเขาคุณแน่นอน คุณวางใจได้เลย แต่คุณ...ตอนนี้เขาบนหัวฉันงอกยาวเป็นกิโลแล้วมั้ง?” เวินเหลียงหัวเราะเยาะทีห