เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
“อื้อ มิลคะ เมเม่ไม่ไหวแล้ว อ้า!” เสียงครวญครางอย่างเร่าร้อนเล็ดลอดผ่านซอกประตูที่ปิดไม่สนิทจนดังระงมไปทั่วบริเวณชั้นสองของบ้าน ทำให้หญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำตัวยาวที่เพิ่งเปิดประตูก้าวออกมาจากห้องนอนของตัวเองถึงกับชะงักแล้วหันไปมองยังห้องฝั่งซ้ายมือซึ่งเป็นที่มาของเสียงนั้นในตอนแรกหญิงสาวคิดว่าควรจะเดินไปบอกกล่าวเจ้าของบ้านหลังนี้ว่าผู้อาศัยอย่างเธอกำลังจะออกไปงานปาร์ตี้กับเพื่อน แต่ดูเหมือนว่าหากเข้าไปตอนนี้จะเป็นการรบกวนกิจกรรมเข้าจังหวะของคนทั้งสองเสียมากกว่า เธอจึงรีบเดินลงบันไดแล้วพาตัวเองออกมายืนบริเวณหน้าบ้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจวันวิวาห์หรือวีว่า หญิงสาววัยยี่สิบสองปีดีกรีนักเรียนนอก เพิ่งกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดได้ไม่ถึงสิบวัน หลังจากต้องไปใช้ชีวิตอยู่แคนาดากว่าสี่ปีย้อนกลับไปเมื่อตอนยังเด็ก วันวิวาห์เติบโตมาในครอบครัวรวมถึงสภาพแวดล้อมที่สุดแสนจะเป็นพิษ ครั้นจำความได้ เธอก็เห็นภาพบิดาพาผู้หญิงเข้าบ้านไม่เว้นแต่ละวัน หากครั้งไหนมารดาทนไม่ไหวก็มักจะเกิดการถกเถียงจนนำไปสู่การทะเลาะวิวาท และจบลงที่การทำร้ายร่างกายหลังจากมารดาเสียชีวิตเพราะโรคร้าย บิ
“ไปไหนมา”น้ำเสียงแข็งกระด้างที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เจ้าของเรือนร่างที่มีส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรถึงกับชะงัก ขณะกำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกเพื่อไปยังห้องนอน“ปาร์ตี้กับเพื่อนค่ะ” เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองใบหน้าของอีกฝ่าย จึงไม่เห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังไล่มองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยแววตาแบบไหน“เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวสำส่อน”คำพูดที่บ่งบอกถึงการดูถูกเหยียดหยามทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มรีบหันขวับแล้วจ้องมองเจ้าของประโยคนั้นด้วยความไม่พอใจรามิล ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาดูสะอาดสะอ้านและค่อนข้างเนี้ยบตามแบบฉบับนักธุรกิจที่ต้องมีบุคลิกซึ่งบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือ เขาอายุสามสิบแปดย่างสามสิบเก้าปีที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะสร้างครอบครัวในเร็ววันนี้ ถึงแม้จะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวก็ตาม เพราะแค่ต้องบริหารจัดการโรงแรมหรูอย่างA.W.Hotel ก็แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเองแล้วก่อนหน้านี้หากมีเวลาว่างอันน้อยนิดก็มักจะใช้เวลานั้นผ่อนคลายตามสไตล์หนุ่มโสดที่ไม่มีพันธะให้ต้องกังวล โดยมีเลขาสาวคอยจัดการเรียกผู้หญิงเหล่านั้นมาปรนเปรออย่างที่ต้องการ แต่ครั้นหญิงสาวที่เขาส่งไปศึกษาต่
สัปดาห์ต่อมา...หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนขายาวรัดรูปกำลังก้าวเท้าที่สวมสนีกเกอร์คู่ใจออกมาจากคลับแห่งที่สามของวันด้วยความผิดหวัง หากจะนับรวมกันว่าเธอเข้าๆ ออกๆ สถานที่พวกนี้มาแล้วกี่ครั้ง ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะเป็นการนับจำนวนของความล้มเหลวเสียมากกว่าดวงหน้าเล็กมีหยาดเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้าประปราย รวมถึงสองแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อจากอากาศร้อนระอุยามเที่ยงวันของกรุงเทพมหานครที่มองไปทางไหนก็มีแต่การจราจรติดขัดผสานเสียงแตรบีบสนั่นชวนแสบแก้วหูดังไปทั่วบริเวณดวงตากลมโตฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า ก่อนจะสอดส่ายมองหารถยุโรปคันคุ้นเคยที่มีคนขับผู้ร่วมชะตากรรมรออยู่ ครั้นเห็นเป้าหมายที่ต้องการเธอก็รีบวิ่งไปหาและเข้าไปนั่งในรถราวกับว่าคิดถึงมันอย่างสุดหัวใจ มือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นพัดเอาความเย็นจากแอร์เข้าหาตัวเป็นพัลวัน"เป็นยังไงบ้างครับ" เจ้าของน้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามหลังจากร่างบางเข้ามานั่งในรถซึ่งเขาจอดรอเธออยู่เป็นเวลาเกือบชั่วโมง สายตาเหลือบมองอีกฝ่ายผ่านกระจกภายในรถและเห็นว่าคนถูกถามได้แต่เพียงส่ายศีรษะไปมาเป็นคำตอบ"ไม่เป็นไรนะครับ มันต้องมีสักที่ ที่
วันวิวาห์พยายามเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าภูดินตามเธอออกมาด้วย ครั้นเห็นแท็กซี่จอดอยู่บริเวณหน้าโรงแรมจึงรีบเข้าไปนั่งแล้วบอกให้โชเฟอร์ขับออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งรถอย่างไร้จุดหมายปลายทางซึ่งไม่ต่างกับชีวิตในตอนนี้ ดวงตากลมฉายแววหม่นหมองทอดมองออกไปยังนอกกระจกรถพร้อมคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ได้กลับมาเยือนแผ่นดินเกิดแห่งนี้ในตอนแรกเธอค่อนข้างมั่นใจว่าหัวใจของตัวเองแกร่งพอ หากวันใดวันหนึ่งต้องเห็นผู้หญิงคนอื่นยืนเคียงข้างผู้ชายที่ตนรักเพราะนั่นย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่พอเอาเข้าจริงๆ แค่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกแท้จริงของตัวเองก็ยากพอแล้ว ฉะนั้นลืมความคิดบ้าบอราวกับแม่พระออกไปได้เลย ตอนนี้เอาเวลามาคิดหาวิธีใกล้ชิดและสานสัมพันธ์กับเขาเสียยังดีกว่า 'เอาน่า...ของแบบนี้มันต้องลองไม่ใช่เหรอ ถ้าอีกฝ่ายไม่หลงกลก็ค่อยว่ากันอีกที!!'ขณะแท็กซี่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ตามท้องถนนในช่วงเวลาเกือบเย็นด้วยความเร็วคงที่และดูเหมือนว่าการจราจรจะเริ่มติดขัดเพราะเป็นเวลาเลิกงานของใครหลายคน หญิงสาวยังคงตกอยู่ในความคิดของตัวเอง กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นป้ายขนาดใหญ่จากอีกฝั่งข
“ไงมึง” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานเอ่ยทักพร้อมเหลือบมองผู้มาเยือนเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ต่อจนเสร็จแล้วกดส่งทางไลน์ จากนั้นจึงเงยหน้ามองร่างสูงซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างคนหมดแรง“เหนื่อยว่ะ” คำสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้คนฟังถึงกับมองด้วยความเห็นใจ รามิลรู้ดีว่าช่วงนี้เพื่อนของเขาต้องเผชิญปัญหาอะไรบ้างศิลา หนุ่มหล่อหน้าตาดีผู้มีผมสีไวน์แดงเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเสน่ห์ที่สุดแสนจะแพรวพราวทำให้สาวๆ ต่างก็อยากเข้าหา แต่ถึงอย่างนั้นศิลากลับสละโสดเป็นคนแรกของกลุ่มไปเมื่อเจ็ดปีก่อน แม้การแต่งงานจะเริ่มต้นจากความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยขัดเพราะตัวเจ้าสาวเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่รู้จักนิสัยใจคอกันดีก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยเชื่อคำพูดที่ว่า อยู่ๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง กระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเขาซึ่งดันตกหลุมรักภรรยาตัวเองในอีกสองปีต่อมาหลังจากแต่งงาน ซึ่งภรรยาที่ว่าก็คืออลิสานั่นเอง"ทะเลาะกับเมียอีกล่ะสิ" รามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ถึงแม้เขาจะรับรู้เรื่องราวเกือบทุกอย่างระหว่างความสัมพันธ์ขอ
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน
“อ้ะ!”ทันทีที่เรือนร่างบอบบางซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวข้ามธรณีประตูห้องอาบน้ำออกมาก็ถูกใครบางคนเข้ารวบเอวจนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“อื้อ”ริมฝีปากกระจับสีหวานถูกคนเอาแต่ใจฉกฉวยพร้อมสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมด้วยความหิวกระหายแทบพรากลมหายใจรวมถึงสติสัมปชัญญะของเธอไปพร้อมๆ กันถึงแม้หญิงสาวจะตกใจในคราแรก ทว่าในเวลาต่อมากลับคล้อยตามสัมผัสเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังตอบสนองอีกฝ่ายโดยการมอบจูบอันแสนดูดดื่มเสมือนโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน“อื้ม”หลายนาทีต่อมาความเร่าร้อนที่มีก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำอย่างอ้อยอิ่ง“ประจำเดือนหมดแล้วหรือยัง” คำถามของเขาทำเอาสองแก้มใสร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูและยิ่งขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงใช้แขนโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนสัมผัสโดนช่วงล่างอันแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายใต้เนื้อกางเกงยีนของเขา“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่า…อืมม” แววตาวูบหนึ่งของเขาฉายชัดถึงความเสียดาย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจังหวะที่ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากลงบนปากของเขาแทนคำตอบวันวิวาห์ใช้เรียวแขนโอ
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” ถามถึงอาการก่อนหน้าพร้อมใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มเนียนเปล่งปลั่งของคนที่นอนเอนกายอยู่ในวงแขนบนเตียงผู้ป่วยหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันดวงตาสองคู่ก็จับจ้องไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ภายนอกเริ่มมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นระยะเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบรรยากาศทำนองนี้ทำให้คนในวงแขนเกิดอาการวิตกกังวลได้ง่ายจึงคอยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นตั้งแต่ร่างกายเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจเสมือนกำลังเยียวยา“พรุ่งนี้เราไปหาคุณแม่กันเถอะ” รามิลกระซิบเสียงแผ่ว ทว่าคนฟังกลับเงียบไม่ยอมปริปาก“เผื่อท่านจะใจอ่อนลงบ้าง”“แล้วถ้าไม่ล่ะคะ”“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไป” ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และได้ข้อสรุปว่าหากมารดายังไม่ยอมรับในตัววันวิวาห์ ทางออกที่ดีที่สุดของคนกลางอย่างเขาก็คงต้องปรับสมดุลให้ทั้งคนรักและครอบครัวโดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด“อีกอย่าง เราเพิ่งโกหกท่านเรื่องนั้น” หญิงสาวหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์“เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริง”“ถ้าความแตกขึ้นมา วีว่า
อืม จุ๊บ~สัมผัสริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างนึกมันเขี้ยวเป็นการทิ้งท้าย แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่ความหอมหวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัว ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนพร้อมหัวใจสั่นระรัวจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ลมหายใจอุ่นร้อนของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้นไม่ต่างกับเวลาได้หยุดนิ่งลง ทว่าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนที่ได้สติรีบผละออกจากอีกฝ่ายโดยการลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หลังมือปาดหน้าผากตัวเองลวกๆ เสมือนว่าอุณหภูมิห้องสูงขึ้นอย่างไรอย่างนั้นรอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันทีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่ม ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาซึ่งหันหน้าเข้าหาคนบนเตียงพอดี รามิลที่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเริ่มทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมานานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา” "เพนต์เฮาส์ของพี่ชายอังเคลค่ะ" ทันทีที่คำตอบนั้นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทดูเหมือนว่าคนฟังจะชะงักกึกจนเผลออุทานเสียงดัง"ว่าไงนะ!""คุณป๋าฟังวีว่าก่อนค่ะ" หญิงสาวสะดุ้งแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงปรามถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ แต่กลับร