สัปดาห์ต่อมา...
หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนขายาวรัดรูปกำลังก้าวเท้าที่สวมสนีกเกอร์คู่ใจออกมาจากคลับแห่งที่สามของวันด้วยความผิดหวัง หากจะนับรวมกันว่าเธอเข้าๆ ออกๆ สถานที่พวกนี้มาแล้วกี่ครั้ง ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะเป็นการนับจำนวนของความล้มเหลวเสียมากกว่า
ดวงหน้าเล็กมีหยาดเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้าประปราย รวมถึงสองแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อจากอากาศร้อนระอุยามเที่ยงวันของกรุงเทพมหานครที่มองไปทางไหนก็มีแต่การจราจรติดขัดผสานเสียงแตรบีบสนั่นชวนแสบแก้วหูดังไปทั่วบริเวณ
ดวงตากลมโตฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า ก่อนจะสอดส่ายมองหารถยุโรปคันคุ้นเคยที่มีคนขับผู้ร่วมชะตากรรมรออยู่ ครั้นเห็นเป้าหมายที่ต้องการเธอก็รีบวิ่งไปหาและเข้าไปนั่งในรถราวกับว่าคิดถึงมันอย่างสุดหัวใจ มือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นพัดเอาความเย็นจากแอร์เข้าหาตัวเป็นพัลวัน
"เป็นยังไงบ้างครับ" เจ้าของน้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามหลังจากร่างบางเข้ามานั่งในรถซึ่งเขาจอดรอเธออยู่เป็นเวลาเกือบชั่วโมง สายตาเหลือบมองอีกฝ่ายผ่านกระจกภายในรถและเห็นว่าคนถูกถามได้แต่เพียงส่ายศีรษะไปมาเป็นคำตอบ
"ไม่เป็นไรนะครับ มันต้องมีสักที่ ที่เหมาะกับคุณวีว่า"
ภูดิน ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อคมเข้มซึ่งตรงกันข้ามกับแววตาอ่อนโยนเอ่ยอย่างให้กำลังใจ เขาอายุอานามสามสิบปีและเดิมทีทำหน้าที่ขับรถให้กับรามิลมาได้เกือบสามปี แต่ตอนนี้กลับได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาดูแลหญิงสาวคนนี้แทน
"วีว่าไม่เข้าใจเลยค่ะ ทำไมคนพวกนั้นถึงไม่ยอมให้โอกาสวีว่า คุณป๋าก็อีกคน" หลังพูดจบเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง อันที่จริงการสมัครงานแต่ละครั้งใช้เวลาไม่นานขนาดนี้ แต่เธอกลับเอาเวลาเหล่านั้นไปโน้มน้าวเจ้าของคลับเสียมากกว่า
"บอสก็แค่เป็นห่วงนะครับ"
"แต่วีว่าโตแล้วจริงๆ นะคะ"
"ยังไงคุณวีว่าก็ยังเป็นเด็กในสายตาบอสอยู่ดีครับ" ภูดินเอ่ยพร้อมมองเธอผ่านกระจกอีกครั้งด้วยความเอ็นดู
เขาคิดว่าวันวิวาห์เองก็รู้ดีว่าที่ไม่ได้งานตามต้องการส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่เพิ่งถูกกล่าวถึง แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังคงไม่ยอมแพ้ถึงแม้จะผ่านมาแล้วหลายวันก็ตาม และนั่นคือความมุ่งมั่นตั้งใจที่เขาสัมผัสได้จากเธอ
"กลับบ้านเลยมั้ยครับ"
"วีว่ายังไม่อยากกลับค่ะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นแล้วมองออกไปนอกกระจกรถอย่างคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิต
อีกฝ่ายจึงนั่งนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งว่าจุดหมายปลายทางต่อมาคือที่ใด กว่าห้านาทีที่ความเงียบเข้าปกคลุม จู่ๆ วันวิวาห์ก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"ไปกินไอติมกันค่ะ!"
ภูดินพยักหน้ารับแล้วทำหน้าที่ขับรถพาเธอไปยังจุดมุ่งหมายที่ต้องการ ครึ่งชั่วโมงต่อมารถคันหรูจอดสนิทอยู่บริเวณหน้าร้านไอศกรีมเล็กๆ ภายในซอยแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน ในตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าจะนั่งรอในรถ แต่เธอกลับอยากให้ลงไปเป็นเพื่อน และเพราะแบบนี้เขาจึงต้องมานั่งอยู่บนเก้าอี้ระหว่างโต๊ะตรงข้ามเธอ
ไอศกรีมรสช็อกโกแลตมินต์ของหญิงสาวถูกนำมาเสิร์ฟในเวลาต่อมา โดยของภูดินเป็นรสมะนาว วันวิวาห์ใช้ช้อนตักไอศกรีมเข้าปากด้วยความเพลิดเพลินและดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 'นี่แหละนะ อานุภาพของความหวาน' เธอคิดในใจ
"คุณวีว่าชอบไอติมรสช็อกมินต์เหมือนบอสเลยนะครับ"
"คุณป๋านะเหรอคะ ชอบไอติมรสนี้" คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเพราะไม่รู้สึกคุ้นว่าผู้ชายคนนั้นจะชอบอะไรแบบนี้
"ครับ แล้วที่นี่ก็เป็นร้านประจำของบอส เมื่อก่อนผมมาซื้อให้อยู่บ่อยๆ แต่ช่วงหลังก็ไม่เห็นนึกอยากกินอีก"
วันวิวาห์นั่งฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดพร้อมตักไอศกรีมเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ไม่นานความเงียบก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เธอตกอยู่ในความคิดของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผ่านไปอีกหลายนาทีจึงจะเริ่มปริปากเอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้
"ผู้หญิงที่ชื่อเมเม่นี่ใครเหรอคะ"
คนถูกถามเงียบไปชั่วอึดใจรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะตอบ แต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบ เขาจึงเอ่ยออกมาเบาๆ
"คู่ควงคนล่าสุดของบอสนะครับ"
"คู่นอนนะเหรอคะ"
"ครับ?"
"แล้วคุณป๋าเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยมั้ยคะ" เป็นอีกคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจจะตอบ เขาไม่อยากนำเรื่องส่วนตัวของเจ้านายออกมาแพร่งพราย
"บอกมาเถอะค่ะ วีว่าไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย หรือคุณภูดินคิดว่าวีว่าเป็นคนอื่น" หญิงสาวที่อดรนทนไม่ไหวในความอยากรู้ของตัวเองแสร้งตีหน้าเศร้าอย่างมืออาชีพ
"แล้วแต่อารมณ์ของบอสนะครับ"
"แต่คุณป๋าอารมณ์ไม่ปกตินะคะ แสดงว่าต้องเปลี่ยนบ่อยแน่ๆ"
ภูดินแค่รับฟังแต่ไม่ต้องการออกความคิดเห็นใดๆ และเมื่อเธอเห็นสีหน้าของเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
"หรือวีว่าจะลองไปช่วยงานที่โรงแรมคุณป๋าดูก่อน" เธอเอ่ยออกมาเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจ อันที่จริงวันวิวาห์ยังคงไม่ยอมแพ้ในการทำตามอีกหนึ่งความชอบก็คือการเป็นดีเจ แต่ชีวิตระหว่างนี้มันย่อมต้องใช้เงินและเงินเก็บของเธอก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที
"ลองดูก็ไม่เสียหายนะครับ บางทีคุณวีว่าอาจจะชอบก็ได้"
"..."
"คุณวีว่าอายุยังน้อย ได้ลองทำหลายๆ อย่างก็ดีเหมือนกันนะครับ ถ้ามันเกิดล้มเหลวขึ้นมา อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์ชีวิต"
"มันจะโอเคใช่มั้ย"
หญิงสาวพึมพำพร้อมกับใช้ความคิดอีกครั้ง ถ้ารามิลพูดดีๆ และไม่ตัดสินในสิ่งที่เธออยากทำอย่างที่ภูดินกำลังทำก็คงจะดี หลังจากวันนั้นที่เธอประกาศก้องว่าจะไปเป็นดีเจ เขาก็แทบไม่คุยกับเธออีกเลย
"ถ้าอย่างนั้นวีว่าจะไปคุยเรื่องนี้กับคุณป๋าค่ะ"
"บอสต้องดีใจแน่ๆ เลยครับ"
"เรารีบไปหาคุณป๋ากันเถอะค่ะ" เอ่ยพร้อมลุกขึ้นยืนทันที
“เอ่อ วันนี้บอสติดประชุมนะครับ”
“เราแค่ซื้อไอติมไปฝากก่อนก็แล้วกันค่ะ ส่วนเรื่องนั้นค่อยคุยก็ได้”
อีกหนึ่งสิ่งที่ภูดินได้เรียนรู้จากการต้องคอยดูแลเธอคือ ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างไม่ชอบการถูกขัดใจ และการทำแบบนั้นก็เป็นอะไรที่เปล่าประโยชน์ เขาจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาเลขาสาวหน้าห้องของผู้เป็นเจ้านายทันทีก่อนที่จะพาเธอไป
ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม ที่ต้องฝ่าด่านรถติดมาถึงโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ทำให้วันวิวาห์รีบเดินสาวเท้ามุ่งหน้าเข้าไปยังลิฟต์โดยมีภูดินแตะคีย์การ์ดพาเธอขึ้นไปยังชั้นบนสุดด้วยท่าทางที่แปลกไป แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ทันสังเกตเห็น
ครั้นมาถึงหน้าห้องทำงาน เลขาสาวลุกขึ้นแทบปรี่เข้ามาหาวันวิวาห์ พร้อมเอ่ยอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“เดี๋ยวดิฉันแจ้งบอสก่อนนะคะ”
คนใจร้อนไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นรวมถึงเสียงร้องเรียกแล้วผลักประตูตรงหน้าเข้าไปพร้อมปิดมันอย่างเบามือ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับมาเซอร์ไพรส์
"คุณป๋าขา วีว่าซื้อไอติมรสโปรดมาฝากด้วยค่ะ แล้วก็มีข่าวดีจะบอก..."
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้ากลับทำให้เธอถึงกับเบิกตากว้าง หญิงสาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยกำลังนั่งคร่อมอีกฝ่ายบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานและโยกตัวเป็นจังหวะ จนได้ยินเสียงแห่งความเร่าร้อนดังเป็นระยะตามอารมณ์ดิบเถื่อนของทั้งสอง
ตุ้บ! ถุงกระดาษในมือของวันวิวาห์ร่วงหล่นลงบนพื้นพรมอย่างคนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะถือมัน
"คุณป๋า..." หญิงสาวพึมพำออกมาเสียงแผ่ว ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกชาหนึบไปทั่วทั้งหัวใจ 'แต่ก็อย่างว่า เธอไม่สมควรมาที่นี่ตั้งแต่แรก'
วันวิวาห์พยายามเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าภูดินตามเธอออกมาด้วย ครั้นเห็นแท็กซี่จอดอยู่บริเวณหน้าโรงแรมจึงรีบเข้าไปนั่งแล้วบอกให้โชเฟอร์ขับออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งรถอย่างไร้จุดหมายปลายทางซึ่งไม่ต่างกับชีวิตในตอนนี้ ดวงตากลมฉายแววหม่นหมองทอดมองออกไปยังนอกกระจกรถพร้อมคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ได้กลับมาเยือนแผ่นดินเกิดแห่งนี้ในตอนแรกเธอค่อนข้างมั่นใจว่าหัวใจของตัวเองแกร่งพอ หากวันใดวันหนึ่งต้องเห็นผู้หญิงคนอื่นยืนเคียงข้างผู้ชายที่ตนรักเพราะนั่นย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่พอเอาเข้าจริงๆ แค่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกแท้จริงของตัวเองก็ยากพอแล้ว ฉะนั้นลืมความคิดบ้าบอราวกับแม่พระออกไปได้เลย ตอนนี้เอาเวลามาคิดหาวิธีใกล้ชิดและสานสัมพันธ์กับเขาเสียยังดีกว่า 'เอาน่า...ของแบบนี้มันต้องลองไม่ใช่เหรอ ถ้าอีกฝ่ายไม่หลงกลก็ค่อยว่ากันอีกที!!'ขณะแท็กซี่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ตามท้องถนนในช่วงเวลาเกือบเย็นด้วยความเร็วคงที่และดูเหมือนว่าการจราจรจะเริ่มติดขัดเพราะเป็นเวลาเลิกงานของใครหลายคน หญิงสาวยังคงตกอยู่ในความคิดของตัวเอง กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นป้ายขนาดใหญ่จากอีกฝั่งข
“ไงมึง” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานเอ่ยทักพร้อมเหลือบมองผู้มาเยือนเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ต่อจนเสร็จแล้วกดส่งทางไลน์ จากนั้นจึงเงยหน้ามองร่างสูงซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างคนหมดแรง“เหนื่อยว่ะ” คำสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้คนฟังถึงกับมองด้วยความเห็นใจ รามิลรู้ดีว่าช่วงนี้เพื่อนของเขาต้องเผชิญปัญหาอะไรบ้างศิลา หนุ่มหล่อหน้าตาดีผู้มีผมสีไวน์แดงเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเสน่ห์ที่สุดแสนจะแพรวพราวทำให้สาวๆ ต่างก็อยากเข้าหา แต่ถึงอย่างนั้นศิลากลับสละโสดเป็นคนแรกของกลุ่มไปเมื่อเจ็ดปีก่อน แม้การแต่งงานจะเริ่มต้นจากความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยขัดเพราะตัวเจ้าสาวเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่รู้จักนิสัยใจคอกันดีก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยเชื่อคำพูดที่ว่า อยู่ๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง กระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเขาซึ่งดันตกหลุมรักภรรยาตัวเองในอีกสองปีต่อมาหลังจากแต่งงาน ซึ่งภรรยาที่ว่าก็คืออลิสานั่นเอง"ทะเลาะกับเมียอีกล่ะสิ" รามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ถึงแม้เขาจะรับรู้เรื่องราวเกือบทุกอย่างระหว่างความสัมพันธ์ขอ
The magic clubภายในห้องกระจกกว้างบริเวณชั้นสองของร้านซึ่งหันเข้าหาด้านหน้าเวทีพอดี ปรากฏร่างสูงกำลังกวาดสายตามองบรรยากาศเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยบรรดานักท่องราตรีโชว์สเต็ปการเต้นกันสนุกสนาน โดยมีดีเจสาวสวยทำหน้าที่สร้างความบันเทิงให้คนเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีแก้วคริสตัลลายเพชรถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากหยักลึก ก่อนจะกระดกเอาหยาดน้ำสีอำพันลงสู่ลำคอจนหมดเกลี้ยง แล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะเต็มแรงโดยไม่สนใจว่ามันอาจจะแหลกสลายคามือ ขณะที่ดวงตาคู่คมยังคงจับจ้องร่างบางในชุดเสื้อสปอร์ตบราสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นสีขาวเผยให้เห็นสัดส่วนสุดแสนจะเย้ายวนขณะเคลื่อนไหวไปตามจังหวะดนตรีรามิลเอื้อมมือหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเพื่อฆ่าเวลา เขามักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งหากมีเรื่องราวว้าวุ่นเกิดขึ้นภายในใจ และสารนิโคตินก็ทำให้ความรู้สึกพวกนั้นผ่อนคลายลงได้บ้าง อันที่จริงเขาคิดจะมาที่แห่งนี้ตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อนพร้อมเพื่อน ทว่ากลับมีธุระด่วนต้องไปจัดการ ครั้นมาถึงคนที่เขาต้องจัดการเป็นรายต่อไปก็ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีเรียบร้อยแล้วกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง บุหรี่มวนสุดท้ายถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง พอดีกับเสียงดนตรีข้างนอกเริ่มเงียบ
ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่บนเพดานห้องเป็นเวลาหลายนาที ก่อนจะกะพริบตาปริบไล่ความคิดยุ่งเหยิงออกไปจากสมองแล้วบิดขี้เกียจอีกสองสามครั้งบนเตียงกว้าง แสงอาทิตย์เล็ดลอดผ่านผ้าม่านบ่งบอกเวลาของเช้าวันใหม่ ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งได้หลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตามมือเล็กเอื้อมกดสวิตช์บริเวณหัวเตียงเพื่อเปิดม่านระบบไฟฟ้าแล้วนอนแผ่หลาต่ออีกครู่หนึ่ง บ้านหลังนี้ถูกออกแบบและตกแต่งให้ทันสมัย และใช้ระบบSmart Home เป็นหลักเพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยแก่ผู้พักอาศัยอย่างที่เจ้าของบ้านต้องการแสงแดดสว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้ามายังร่างบางทันทีที่ผ้าม่านถูกเปิดออก หญิงสาวลุกจากเตียงแล้วพาตัวเองเดินออกไปหยุดยืนตรงระเบียงรับสายลมเอื่อยๆ ยามเช้า ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สุดแสนจะสดใส ทว่าเรื่องราวเมื่อคืนกลับหวนเข้ามาในความคิดอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายคนกำลังเหม่อลอยอย่างเธอเริ่มได้สติก็ตอนที่เห็นชายหนุ่มในชุดสบายๆ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะตื่นขึ้นมาแล้วเจอเขาในสภาพแบบนี้ วันวิวาห์มองออกไปด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร ครั้นมองดูดีๆ ก็รับรู้ว่า เขากำลังย้ายต้นไม้จากกระถางซึ่งเธอเป็นคนทำแตกเมื่อสัปดาห์ก่
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ?” วันวิวาห์เดินขากะเผลกเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ซึ่งมีพ่อครัวจำเป็นอย่างรามิลกำลังเตรียมวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารสำหรับมื้อค่ำอย่างขะมักเขม้น แต่ดูเหมือนว่าความหวังดีของเธอจะทำให้เขาทำงานได้ยากและช้ากว่าเดิมเป็นหลายเท่า จนทนไม่ไหวต้องเอ่ยออกมา“ช่วยไปนั่ง”“คุณป๋าอะ!” ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำเล็กน้อยเมื่อถูกอีกฝ่ายเอ่ยไล่อยู่ในที แต่ครั้นเห็นสีหน้าสุดแสนจะจริงจังนั้นก็ไม่กล้าขัดอะไรอีกแล้วตัดสินใจเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูงอีกมุมหนึ่ง นัยน์ตาคู่สวยยังคงจับจ้องการกระทำของเขาอย่างให้ความสนใจร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาตั้งใจหมักเนื้อชิ้นสวยไว้ทำสเต๊กดูจะมีอาการหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อผมสีน้ำตาลเข้มปราศจากเจลจัดทรงตกลงมาปรกตาจนต้องเงยหน้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้นเงยหน้าขึ้นอีกรอบ คนที่เขาเพิ่งไล่ไปก่อนหน้ากลับมายืนอยู่ข้างกายพร้อมเส้นยางสีดำวงเล็กในมือ"เดี๋ยววีว่ามัดผมให้ค่ะ"รามิลพยักหน้าตอบรับด้วยความเต็มใจแล้วเอี้ยวตัวไปหาเธอ ก่อนที่มือคู่นั้นจะรวบผมด้านหน้าของเขาให้เป็นกระจุกอย่างเบามือ แค่การกระทำเพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้แววตาลุ่มลึกที่มองอยู่เห
ห้าว~ร่างบางที่ยังคงอยู่ในชุดของเมื่อวานเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมหาวหวอดติดต่อกันหลายครั้งอย่างคนนอนไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาเพราะอาการเวียนหัวและลำคอแห้งผาก ครั้นไปถึงห้องครัวก็เห็นชายหนุ่มกำลังยืนรินน้ำใส่แก้วอยู่พอดิบพอดี เธอเดินมุ่งเข้าไปแล้วยกแก้วใบนั้นขึ้นมาดื่มน้ำลงคอจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะทำท่าทางพะอืดพะอมจากอาการเมาค้างในตอนแรกเธอคิดว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจและต้องตำหนิอะไรบ้าง แต่เขากลับเลือกยืนนิ่งแล้วรินน้ำใส่แก้วใบเดิม ยกขึ้นดื่มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งยังไม่สนใจจะมองใบหน้าของเธอด้วยซ้ำ วันวิวาห์ค่อยๆ ไล่สายตามองไปยังการแต่งกายของอีกฝ่ายซึ่งอยู่ในชุดไม่เป็นทางการมากนัก แต่ยังคงเป็นระเบียบตามสไตล์ คาดว่าวันนี้เขาต้องทำงานที่บ้านเป็นแน่“คุณป๋าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” คนที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของอีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“เปล่า” ตอบเพียงสั้นๆ แล้วถือแก้วไปวางในอ่างล้างจาน จากนั้นจึงเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบอะไรบางอย่างออกมา“นั่งสิ ดื่มน้ำมะนาวแก้แฮงค์ก่อน” รามิลไม่ได้รอฟังคำตอบรับแล้วเดินไปทำเครื่องดื่มอย่างที่ว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะบ่นไม่ได้
เปรี้ยง! ครืน ~แสงสว่างวาบจากสายฟ้าเล็ดลอดผ่านชายผ้าม่านเข้ามายังห้องนอนอันมืดมิด ตามมาด้วยเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังไปทั่วบริเวณ ทำให้คนที่นอนหลับใหลอย่างสบายในตอนแรกสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจแล้วรีบเปิดไฟให้สว่างทันทีครั้นรับรู้ได้ถึงสภาพอากาศด้านนอก หัวใจดวงน้อยของเธอยิ่งเพิ่มจังหวะการเต้นเร็วขึ้นจนเริ่มหายใจไม่สะดวก เนื้อตัวสั่นเทาอย่างคนตื่นตระหนกและวิตกกังวลซึ่งมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นตัวกระตุ้นหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงใช้ผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างของเธอไว้ ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ไม่นานมันก็ไหลลงมาอาบแก้มบนใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากกระจับเล็กเม้มเข้าหากันอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แล้วยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างเพื่อไม่ต้องการได้ยินเสียงอะไรก็ตามแต่ด้านนอกเปรี้ยง กรี๊ด ฮึก!วันวิวาห์กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความกลัวรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำพร้อมผ้าห่มผืนเดิมติดไปด้วยก่อนจะลงไปซุกตัวอยู่ภายในอ่างอาบน้ำใบใหญ่ พยายามเรียกสติของตัวเองให้กลับมาได้มากที่สุดพร้อมกับบังคับการหายใจตามที่เคยฝึกมา...................................ร่างสูงเดินออกมาจา
ทันทีที่วันวิวาห์ขึ้นมายังพื้นที่ห้องทำงานก็พบกับเลขาสาวสวยคนเดิมกำลังนั่งอยู่บริเวณโต๊ะหน้าห้องและง่วนอยู่กับกองเอกสารทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเวลางานไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อผู้หญิงคนนั้นหันมาเห็นเธอก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นมาหา “รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” เลขาสาวซึ่งทราบรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับคนตรงหน้ามาก่อนแล้วรีบเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”วันวิวาห์ก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะหยุดยืนบริเวณกระจกใสบานใหญ่มองดูทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเหม่อลอย กระทั่งเสียงเคาะประตูทำให้เธอหลุดจากภวังค์พอดีกับที่เลขาสาวมายืนอยู่ตรงหน้า“บอสให้ดิฉันสอนงานคุณวีว่าก่อนค่ะ อีกสักพักถึงจะเข้ามา”วันวิวาห์พยักหน้าเข้าใจแล้วเดินออกไปหน้าห้องซึ่งตอนนี้มีโต๊ะอีกชุดถูกนำมาวางเพิ่มเรียบร้อยแล้ว ในตอนแรกเธอคิดว่าจะได้เข้าไปทำงานในห้องเดียวกับเขาเสียอีก แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยตรงนี้ก็สามารถมองทะลุเข้าไปด้านในได้ ถ้าเขาไม่ปิดม่านกระจกนั่นอะนะหลังจากทั้งสองทำความรู้จักกันแล้ว พิมพ์ผกาจึงทำหน้าที่พาผู้ช่วยคนใหม่เดินสำรวจยังแผนกต่างๆ แล้วกลับมาแจกแจงรายละเอียดงานตามที่เจ้านาย
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน
“อ้ะ!”ทันทีที่เรือนร่างบอบบางซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวข้ามธรณีประตูห้องอาบน้ำออกมาก็ถูกใครบางคนเข้ารวบเอวจนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“อื้อ”ริมฝีปากกระจับสีหวานถูกคนเอาแต่ใจฉกฉวยพร้อมสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมด้วยความหิวกระหายแทบพรากลมหายใจรวมถึงสติสัมปชัญญะของเธอไปพร้อมๆ กันถึงแม้หญิงสาวจะตกใจในคราแรก ทว่าในเวลาต่อมากลับคล้อยตามสัมผัสเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังตอบสนองอีกฝ่ายโดยการมอบจูบอันแสนดูดดื่มเสมือนโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน“อื้ม”หลายนาทีต่อมาความเร่าร้อนที่มีก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำอย่างอ้อยอิ่ง“ประจำเดือนหมดแล้วหรือยัง” คำถามของเขาทำเอาสองแก้มใสร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูและยิ่งขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงใช้แขนโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนสัมผัสโดนช่วงล่างอันแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายใต้เนื้อกางเกงยีนของเขา“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่า…อืมม” แววตาวูบหนึ่งของเขาฉายชัดถึงความเสียดาย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจังหวะที่ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากลงบนปากของเขาแทนคำตอบวันวิวาห์ใช้เรียวแขนโอ
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” ถามถึงอาการก่อนหน้าพร้อมใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มเนียนเปล่งปลั่งของคนที่นอนเอนกายอยู่ในวงแขนบนเตียงผู้ป่วยหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันดวงตาสองคู่ก็จับจ้องไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ภายนอกเริ่มมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นระยะเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบรรยากาศทำนองนี้ทำให้คนในวงแขนเกิดอาการวิตกกังวลได้ง่ายจึงคอยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นตั้งแต่ร่างกายเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจเสมือนกำลังเยียวยา“พรุ่งนี้เราไปหาคุณแม่กันเถอะ” รามิลกระซิบเสียงแผ่ว ทว่าคนฟังกลับเงียบไม่ยอมปริปาก“เผื่อท่านจะใจอ่อนลงบ้าง”“แล้วถ้าไม่ล่ะคะ”“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไป” ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และได้ข้อสรุปว่าหากมารดายังไม่ยอมรับในตัววันวิวาห์ ทางออกที่ดีที่สุดของคนกลางอย่างเขาก็คงต้องปรับสมดุลให้ทั้งคนรักและครอบครัวโดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด“อีกอย่าง เราเพิ่งโกหกท่านเรื่องนั้น” หญิงสาวหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์“เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริง”“ถ้าความแตกขึ้นมา วีว่า
อืม จุ๊บ~สัมผัสริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างนึกมันเขี้ยวเป็นการทิ้งท้าย แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่ความหอมหวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัว ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนพร้อมหัวใจสั่นระรัวจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ลมหายใจอุ่นร้อนของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้นไม่ต่างกับเวลาได้หยุดนิ่งลง ทว่าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนที่ได้สติรีบผละออกจากอีกฝ่ายโดยการลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หลังมือปาดหน้าผากตัวเองลวกๆ เสมือนว่าอุณหภูมิห้องสูงขึ้นอย่างไรอย่างนั้นรอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันทีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่ม ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาซึ่งหันหน้าเข้าหาคนบนเตียงพอดี รามิลที่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเริ่มทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมานานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา” "เพนต์เฮาส์ของพี่ชายอังเคลค่ะ" ทันทีที่คำตอบนั้นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทดูเหมือนว่าคนฟังจะชะงักกึกจนเผลออุทานเสียงดัง"ว่าไงนะ!""คุณป๋าฟังวีว่าก่อนค่ะ" หญิงสาวสะดุ้งแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงปรามถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ แต่กลับร