เปรี้ยง! ครืน ~แสงสว่างวาบจากสายฟ้าเล็ดลอดผ่านชายผ้าม่านเข้ามายังห้องนอนอันมืดมิด ตามมาด้วยเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังไปทั่วบริเวณ ทำให้คนที่นอนหลับใหลอย่างสบายในตอนแรกสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจแล้วรีบเปิดไฟให้สว่างทันทีครั้นรับรู้ได้ถึงสภาพอากาศด้านนอก หัวใจดวงน้อยของเธอยิ่งเพิ่มจังหวะการเต้นเร็วขึ้นจนเริ่มหายใจไม่สะดวก เนื้อตัวสั่นเทาอย่างคนตื่นตระหนกและวิตกกังวลซึ่งมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นตัวกระตุ้นหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงใช้ผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างของเธอไว้ ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ไม่นานมันก็ไหลลงมาอาบแก้มบนใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากกระจับเล็กเม้มเข้าหากันอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แล้วยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างเพื่อไม่ต้องการได้ยินเสียงอะไรก็ตามแต่ด้านนอกเปรี้ยง กรี๊ด ฮึก!วันวิวาห์กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความกลัวรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำพร้อมผ้าห่มผืนเดิมติดไปด้วยก่อนจะลงไปซุกตัวอยู่ภายในอ่างอาบน้ำใบใหญ่ พยายามเรียกสติของตัวเองให้กลับมาได้มากที่สุดพร้อมกับบังคับการหายใจตามที่เคยฝึกมา...................................ร่างสูงเดินออกมาจา
ทันทีที่วันวิวาห์ขึ้นมายังพื้นที่ห้องทำงานก็พบกับเลขาสาวสวยคนเดิมกำลังนั่งอยู่บริเวณโต๊ะหน้าห้องและง่วนอยู่กับกองเอกสารทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเวลางานไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อผู้หญิงคนนั้นหันมาเห็นเธอก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นมาหา “รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” เลขาสาวซึ่งทราบรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับคนตรงหน้ามาก่อนแล้วรีบเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”วันวิวาห์ก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะหยุดยืนบริเวณกระจกใสบานใหญ่มองดูทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเหม่อลอย กระทั่งเสียงเคาะประตูทำให้เธอหลุดจากภวังค์พอดีกับที่เลขาสาวมายืนอยู่ตรงหน้า“บอสให้ดิฉันสอนงานคุณวีว่าก่อนค่ะ อีกสักพักถึงจะเข้ามา”วันวิวาห์พยักหน้าเข้าใจแล้วเดินออกไปหน้าห้องซึ่งตอนนี้มีโต๊ะอีกชุดถูกนำมาวางเพิ่มเรียบร้อยแล้ว ในตอนแรกเธอคิดว่าจะได้เข้าไปทำงานในห้องเดียวกับเขาเสียอีก แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยตรงนี้ก็สามารถมองทะลุเข้าไปด้านในได้ ถ้าเขาไม่ปิดม่านกระจกนั่นอะนะหลังจากทั้งสองทำความรู้จักกันแล้ว พิมพ์ผกาจึงทำหน้าที่พาผู้ช่วยคนใหม่เดินสำรวจยังแผนกต่างๆ แล้วกลับมาแจกแจงรายละเอียดงานตามที่เจ้านาย
หนึ่งเดือนต่อมา...“Wow!” ดวงตาคู่สวยฉายแววเป็นประกายไม่ต่างจากเด็กน้อยครั้นเข้ามาหยุดยืนภายในห้องพัก ก่อนจะก้าวฉับสำรวจไปทั่วทุกมุมด้วยความตื่นตาตื่นใจชุดเครื่องนอนบนเตียงสี่เสามีม่านประดับรอบด้านตัดกันกับกลีบกุหลาบสีแดงสดซึ่งถูกตกแต่งเป็นรูปหัวใจไว้อย่างสวยงาม โคมไฟคริสตัลเข้าคู่บนโต๊ะข้างเตียงมอบแสงสว่างสีนวลให้บรรยากาศโรแมนติกไม่ต่างจากการมาฮันนีมูนทางด้านซ้ายเป็นห้องน้ำกว้างซึ่งมีอ่างสามารถนอนแช่ตัวพร้อมชมวิวด้านนอก วันวิวาห์สำรวจห้องน้ำเพียงครู่เดียวแล้วเดินออกไปเปิดผ้าม่านตรงระเบียง จนแสงธรรมชาติข่วงบ่ายของวันสาดส่องเข้าทั่วพื้นที่ห้องไม่หยุดอยู่แค่นั้น เธอเลื่อนกระจกบานใหญ่แล้วพาตัวเองไปยืนบริเวณนั้นซึ่งมีเก้าอี้ยาวกับโต๊ะตัวเล็กวางอยู่ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดด้วยท่าทางผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าอากัปกิริยาทุกอย่างของหญิงสาวตกอยู่ในสายตาของรามิลตลอดเวลาโดยเขาเองไม่รู้ตัวช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาประหลาดใจหลายครั้งหลายครากับพลังล้นเหลือของผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้บ่อยครั้งจะแสดงอาการดื้อหัวชนฝาจนเกิดการถกเถียงระหว่างกันไม่มีได้หยุดหย่อนทว่าในความด
ท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืนซึ่งเหมาะสำหรับการนั่งดื่มด่ำธรรมชาติภายใต้แสงจันทร์กระจ่างพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เป็นการพักผ่อนหย่อนใจอย่างที่ชายหนุ่มวาดฝันไว้ ทว่าความจริงเขากลับต้องมางานปาร์ตี้เล็กๆ ที่ทางโรงแรมจัดขึ้นจากการคะยั้นคะยอของหญิงสาว“คุณป๋าเลิกทำหน้าแบบนั้นได้มั้ยคะ” มือเล็กยกแก้วขึ้นดื่มวิสกี้รวดเดียวแล้ววางลงที่เดิม ขณะสายตายังคงจับจ้องไปที่เขาบรรยากาศรอบกายคลาคล่ำไปด้วยคู่รักที่ต่างออกมารับประทานอาหารรวมถึงเข้าร่วมกิจกรรมวันวาเลนไทน์อย่างชื่นมื่น เสียงเพลงรักหวานแหววผสานเสียงหัวเราะมีความสุขของผู้คนดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนที่ไม่อินกับเทศกาลอย่างรามิลมีส่วนร่วมแม้แต่น้อย"แบบไหน?" "เหมือนคนของขาด"“วีว่า”ครั้นเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะบ่น คนที่ดันไปยั่วอารมณ์เขารีบเสมองไปทางคู่รักที่กำลังทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนาน รามิลจึงเงียบปากแล้วยกวิสกี้ขึ้นดื่ม“เราไปเข้าร่วมกิจกรรมกันเถอะค่ะ”“ไปเองสิ”“คุณป๋าอย่าลืมสิคะ ว่าที่นี่จัดขึ้นเพื่อคู่รัก”“แล้วใครกันล่ะที่เลือกมาพักที่นี่”หญิงสาวได้ยินอย่างนั้นจึงไม่อยากโต้ตอบเพราะสุดท้ายแล้วมันย่อมนำมาสู่การถกเถียงกันอย่างทุกครั้ง แต่ครั้น
อื้อ!ชายหนุ่มใช้เรียวลิ้นล่วงล้ำควานหาความชุ่มฉ่ำในโพรงปากหอมหวานอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดูดดื่มจนคนใต้ร่างถึงกับอ่อนระทวยด้วยฤทธิ์จุมพิตที่เขามอบให้ ในตอนนั้นเองมือซึ่งกำลังตรึงมือของอีกฝ่ายไว้เหนือศีรษะค่อยๆ คลายลงพร้อมกับถอดถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนลงมายังซอกคอขาวผ่องแล้วใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมกรุ่นกายสาว ไล่ขบเม้มติ่งหูคล้ายมันเขี้ยวก่อนจะซุกไซ้แล้วพ่นลมร้อนออกมาอย่างหื่นกระหายจนเธอต้องเอียงคอหลบสัมผัสวาบหวามที่แล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กายด้วยความรู้สึกปั่นป่วน“อื้อ อ้าส์”รามิลเริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายของวันวิวาห์ออกทีละชิ้นส่งผลให้ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำกว่าเดิม เมื่อสรีระสุดแสนจะเย้ายวนปรากฏสู่สายตาของเขา ไม่ว่าจะเป็นทรวงอกเต่งตึงขนาดเกินตัวรับกับเอวคอดเล็กแล้วหยุดอยู่ที่สะโพกกลมกลึงน่าสัมผัสบนเรือนร่างขาวผุดผ่องหลังจากจัดการเสื้อผ้าของเธอเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเริ่มเลื่อนมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกอย่างคนใจเย็น ขณะสายตายังคงจับจ้องภาพเบื้องหน้าซึ่งกระตุ้นความปรารถนาของเขาให้ลุกโชนกว่าเดิม ไม่นานชั้นในปราการสุดท้ายก็ถูกถอดออก ก่อ
เพียะ! อ้ะ ชู่ว~ชายหนุ่มสะบัดฝ่ามือลงบนบั้นท้ายงอนงามที่โยกคลอนตามจังหวะการกระทุ้งของเขาจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น พร้อมเอื้อมมือปิดปากเธออย่างไม่จริงจังนักเมื่ออีกฝ่ายเผลอหลุดครางออกมาเสียงดังขณะสะโพกผายยังคงทำหน้าที่แอ่นรับทุกจังหวะการกระทำของเขาได้เป็นอย่างดีสายลมเย็นยะเยือกยามค่ำคืนพัดผ่านสัมผัสผิวกายคนทั้งสองเป็นระลอกไม่ได้ช่วยให้ความร้อนรุ่มจากเพลิงสวาทอ่อนลงแม้แต่น้อย ทว่ากลับเหมือนยิ่งเติมเชื้อเพลิงเสียมากกว่า และบทรักรอบที่สองนี้บรรเลงไปตามการควบคุมของร่างสูงอย่างเร่าร้อนมือของเขากอบกุมกระชับบั้นท้ายขาวผ่องไว้แน่นแล้วกระหน่ำกระแทกกระทั้นสุดแรงจนเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังไปทั่วบริเวณ ร่างบางถึงกับกัดฟันพยายามเก็บกลั้นเสียงครางพร้อมมือเล็กที่กำราวเหล็กตรงระเบียงเป็นที่ยึดปึ่ก ปึ่ก อึก! อ้าส์“Oh! วีว่า” การตอดรัดจากภายในทำให้เขาทรมานแทบคลั่งจนคำรามเรียกชื่อเธอนับครั้งไม่ถ้วน เพียะ เพียะ เพียะ!ฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนก้นกลมกลึงอีกหลายครั้งแล้วโน้มตัวไปพรมจูบทั่วแผ่นหลังเรียบเนียนโดยไม่ลืมฝากฝังร่องรอยสีกุหลาบไว้อย่างหลงใหล ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างเคล้าคลึงบีบขยำเต้าเต่งตึงด้วยความฮึกเหิม"
เรือนร่างบอบบางในอ้อมแขนชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมอาการปวดเมื่อยตามลำตัวจากกิจกรรมก่อนหน้าซึ่งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเธอเองเผลอหลับไปตอนไหน ทันทีที่เริ่มปรับสายตาจากแสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านก็ปรากฏใบหน้าหล่อเหลาที่ห่างกันเพียงคืบกำลังหลับตาพริ้มอยู่เคียงข้างยิ่งเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่ต่างจากห้วงฝันวันวิวาห์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รบกวนอีกฝ่ายแล้วไล่แววตาซุกซนสำรวจทุกสัดส่วนบนใบหน้าอย่างที่เธอชอบทำเป็นประจำ ตั้งแต่หน้าผากลงมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปากหยักลึกที่คอยมอบสัมผัสหอมหวานและร้อนแรงในคราเดียวกันจนอ่อนระทวยครั้งแล้วครั้งเล่ารสจูบของเขา สัมผัสจากเขาเธอชอบทุกอย่างที่เป็นเขา…ตั้งแต่หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาก็ดูเหมือนว่ารอยยิ้มแห่งความสุขยังคงฉายชัดบนใบหน้าจิ้มลิ้มไม่จางหายไปไหน วันวิวาห์รอคอยวันนี้มานานแสนนาน เธอมีความสุขที่ได้ตื่นขึ้นมาเจอเขาเป็นคนแรกและหากเป็นแบบนี้ทุกเช้ามันก็คงจะดีหากเธอมีเวทมนตร์สามารถหยุดเวลาได้ก็อยากหยุดมันไว้เสียตรงนี้แล้วตักตวงทุกอย่างที่ต้องการให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะดำเนินไปในทิศทางไหนครั
เช้าวันใหม่...แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านกิ่งก้านสาขาเป็นเงื้อมเงาอันร่มรื่นจากต้นโอ๊กที่โอบล้อมรอบสวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีสายลมพัดโชยพาใบแห้งของมันร่วงโรยลงสู่พื้นหญ้าเขียวขจีเป็นระยะวันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทั้งสองเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงแรมซึ่งมี Work Shop หลากหลายให้เลือกสรรตามความต้องการ และเป็นครั้งแรกที่เห็นพ้องต้องกันว่า งานศิลปะก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจ“คุณป๋า ตรงนั้นควรลงสีเขียวค่ะ” เรือนร่างบอบบางที่สวมชุดเดรสยาวสีขาวเข้ากันกับผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานเอื้อมไปคว้าข้อมือคนข้างกายที่อยู่ในชุดกางเกงยีนกับเสื้อยืดแขนกุดซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันกำลังจรดปลายพู่กันลงบนเฟรมผ้าใบ“ก็นี่ไงสีเขียว” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ตั้งแต่มานั่งอยู่ตรงนี้เธอก็คอยบงการต่างๆ นานา แต่ถ้าถามว่าเขาทำตามที่เธอบอกหรือไม่...ก็ทำนั่นแหละ ! แล้วถ้าตอนนี้อยากทำตามใจตัวเองบ้างจะเป็นอะไรไป ในเมื่อปกติเขาก็ไม่เชื่อฟังใครอยู่แล้วนี่ ชายหนุ่มคิดในใจด้วยอารมณ์หงุดหงิด“แต่มันเข้มเกินไป ลองเขียวอีกโทนสิคะ” เธอออกความคิดเห็นอย่างคนใจเย็น เพราะก่อนหน้านี้ก็ถกเถียงเรื่องสีกันมาหลายรอบ จนค
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน
“อ้ะ!”ทันทีที่เรือนร่างบอบบางซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวข้ามธรณีประตูห้องอาบน้ำออกมาก็ถูกใครบางคนเข้ารวบเอวจนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“อื้อ”ริมฝีปากกระจับสีหวานถูกคนเอาแต่ใจฉกฉวยพร้อมสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมด้วยความหิวกระหายแทบพรากลมหายใจรวมถึงสติสัมปชัญญะของเธอไปพร้อมๆ กันถึงแม้หญิงสาวจะตกใจในคราแรก ทว่าในเวลาต่อมากลับคล้อยตามสัมผัสเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังตอบสนองอีกฝ่ายโดยการมอบจูบอันแสนดูดดื่มเสมือนโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน“อื้ม”หลายนาทีต่อมาความเร่าร้อนที่มีก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำอย่างอ้อยอิ่ง“ประจำเดือนหมดแล้วหรือยัง” คำถามของเขาทำเอาสองแก้มใสร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูและยิ่งขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงใช้แขนโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนสัมผัสโดนช่วงล่างอันแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายใต้เนื้อกางเกงยีนของเขา“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่า…อืมม” แววตาวูบหนึ่งของเขาฉายชัดถึงความเสียดาย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจังหวะที่ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากลงบนปากของเขาแทนคำตอบวันวิวาห์ใช้เรียวแขนโอ
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” ถามถึงอาการก่อนหน้าพร้อมใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มเนียนเปล่งปลั่งของคนที่นอนเอนกายอยู่ในวงแขนบนเตียงผู้ป่วยหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันดวงตาสองคู่ก็จับจ้องไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ภายนอกเริ่มมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นระยะเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบรรยากาศทำนองนี้ทำให้คนในวงแขนเกิดอาการวิตกกังวลได้ง่ายจึงคอยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นตั้งแต่ร่างกายเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจเสมือนกำลังเยียวยา“พรุ่งนี้เราไปหาคุณแม่กันเถอะ” รามิลกระซิบเสียงแผ่ว ทว่าคนฟังกลับเงียบไม่ยอมปริปาก“เผื่อท่านจะใจอ่อนลงบ้าง”“แล้วถ้าไม่ล่ะคะ”“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไป” ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และได้ข้อสรุปว่าหากมารดายังไม่ยอมรับในตัววันวิวาห์ ทางออกที่ดีที่สุดของคนกลางอย่างเขาก็คงต้องปรับสมดุลให้ทั้งคนรักและครอบครัวโดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด“อีกอย่าง เราเพิ่งโกหกท่านเรื่องนั้น” หญิงสาวหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์“เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริง”“ถ้าความแตกขึ้นมา วีว่า
อืม จุ๊บ~สัมผัสริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างนึกมันเขี้ยวเป็นการทิ้งท้าย แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่ความหอมหวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัว ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนพร้อมหัวใจสั่นระรัวจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ลมหายใจอุ่นร้อนของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้นไม่ต่างกับเวลาได้หยุดนิ่งลง ทว่าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนที่ได้สติรีบผละออกจากอีกฝ่ายโดยการลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หลังมือปาดหน้าผากตัวเองลวกๆ เสมือนว่าอุณหภูมิห้องสูงขึ้นอย่างไรอย่างนั้นรอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันทีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่ม ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาซึ่งหันหน้าเข้าหาคนบนเตียงพอดี รามิลที่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเริ่มทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมานานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา” "เพนต์เฮาส์ของพี่ชายอังเคลค่ะ" ทันทีที่คำตอบนั้นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทดูเหมือนว่าคนฟังจะชะงักกึกจนเผลออุทานเสียงดัง"ว่าไงนะ!""คุณป๋าฟังวีว่าก่อนค่ะ" หญิงสาวสะดุ้งแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงปรามถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ แต่กลับร