เช้าวันใหม่...แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านกิ่งก้านสาขาเป็นเงื้อมเงาอันร่มรื่นจากต้นโอ๊กที่โอบล้อมรอบสวนขนาดใหญ่ ซึ่งมีสายลมพัดโชยพาใบแห้งของมันร่วงโรยลงสู่พื้นหญ้าเขียวขจีเป็นระยะวันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทั้งสองเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงแรมซึ่งมี Work Shop หลากหลายให้เลือกสรรตามความต้องการ และเป็นครั้งแรกที่เห็นพ้องต้องกันว่า งานศิลปะก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจ“คุณป๋า ตรงนั้นควรลงสีเขียวค่ะ” เรือนร่างบอบบางที่สวมชุดเดรสยาวสีขาวเข้ากันกับผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานเอื้อมไปคว้าข้อมือคนข้างกายที่อยู่ในชุดกางเกงยีนกับเสื้อยืดแขนกุดซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันกำลังจรดปลายพู่กันลงบนเฟรมผ้าใบ“ก็นี่ไงสีเขียว” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ตั้งแต่มานั่งอยู่ตรงนี้เธอก็คอยบงการต่างๆ นานา แต่ถ้าถามว่าเขาทำตามที่เธอบอกหรือไม่...ก็ทำนั่นแหละ ! แล้วถ้าตอนนี้อยากทำตามใจตัวเองบ้างจะเป็นอะไรไป ในเมื่อปกติเขาก็ไม่เชื่อฟังใครอยู่แล้วนี่ ชายหนุ่มคิดในใจด้วยอารมณ์หงุดหงิด“แต่มันเข้มเกินไป ลองเขียวอีกโทนสิคะ” เธอออกความคิดเห็นอย่างคนใจเย็น เพราะก่อนหน้านี้ก็ถกเถียงเรื่องสีกันมาหลายรอบ จนค
อืม...เสียงสายน้ำไหลกระทบโขดหินสู่โสตประสาทผืนฟ้ากว้างเหนือแมกไม้ดูปลอดโปร่งกลิ่นบุปผชาติในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ความหอมหวานจากสัมผัสยังตราตรึงสายน้ำชุ่มฉ่ำผสานสายลมหวิวสัมผัสผิวให้ความรู้สึกเย็นสบาย...ดวงตากลมโตค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเพื่อผ่อนคลายประสาทสัมผัสทั้งห้าจนรู้สึกได้ถึงร่างกายอันเบาหวิวไม่ต่างจากการล่องลอยขึ้นสู่ที่สูง ทว่าในเวลาต่อมาริมฝีปากกระจับเล็กกลับเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงเพื่อข่มอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกราวกับมีผีเสื้อนับร้อยตัวโบยบินอยู่ในช่องท้องภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเรือนร่างขาวผ่องเป็นยองใยดูมีออร่า เปล่งประกายดุจคริสตัล เริ่มกระสับกระส่ายพร้อมหอบหายใจรุนแรงจนทรวงอกเต่งตึงกระเพื่อมไหวตามจังหวะ“อื้อ อ้าส์!”ชั่วอึดใจเดียว เสียงกรีดร้องอย่างสุขสมก็ดังขึ้นตามมาด้วยหยาดน้ำหวานสีใสถูกขับออกจากโพรงอ่อนนุ่มกลางกายสาว ในตอนนั้นเองที่ฝ่ามือเล็กซึ่งสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มค่อยๆ คลายลงวันวิวาห์จับจ้องไปยังเรือนร่างเปลือยเปล่าของรามิลซึ่งเขากำลังเล็มเลียของเหลวสีใสจากร่างกายเธอจนหมดทุกหยาดหยดแล้วเงยหน้าขึ้นประสานสายตาพร้อมใช้นิ้วหัวแม่มือปาดริมฝีปากตัวเองแผ่วเ
“คุณป๋าคะ” ทันทีที่เสียงไดร์เป่าผมเงียบลง น้ำเสียงอันอ่อนโยนก็ดังขึ้นพร้อมกับมือที่ถือแปรงหวีผมเริ่มจัดเซ็ตให้อีกฝ่ายด้วยความใส่ใจ แต่ครั้นได้รับความเงียบเป็นคำตอบทำให้หญิงสาวถึงกับพึมพำอีกครั้ง“หลับรึเปล่าเนี่ย”“เปล่า” ชายหนุ่มที่นั่งบนขอบเตียงซึ่งกำลังซุกใบหน้าอยู่กับหน้าท้องแบนราบของเธอเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ราวกับเพิ่งหลุดลอยออกจากภวังค์ความคิดกลับสู่ปัจจุบันรามิลนั่งนิ่งแทบไม่ไหวติงร่างกายตั้งแต่เธอเริ่มลงมือเป่าผมให้อย่างเบามือ อาจจะเป็นเพราะความไม่คุ้นชินกับการถูกปฏิบัติอะไรทำนองนี้ ทว่าในอีกความรู้สึกหนึ่ง หัวใจกลับพองโตอย่างน่าประหลาดจากการใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับชายหนุ่มลอบสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอยู่หลายครั้งเพราะทานทนไม่ไหวกับกลิ่นหอมรัญจวนซึ่งปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดทะลึ่ง เพราะในอีกสิบห้านาทีข้างหน้าถึงเวลาต้องออกไปดูหนังกลางแปลงรอบค่ำแล้ว“หล่อแล้วค่ะ” เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง วันวิวาห์ก้าวถอยหลังมองดูผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ“แน่นอน” ยักไหล่ไม่ถกเถียงจนคนที่มองอยู่ถึงกับกลอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้อย่างไม่จริงจังน
เช้าวันต่อมา...งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราและความสุขมักจะผ่านพ้นไปรวดเร็วเสมอดูเหมือนจะเป็นความจริงอย่างที่เขาว่าเพราะในช่วงเย็นของวันนี้ทั้งสองต้องไปเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริงที่ไม่ได้มีแค่เขากับเธอเท่านั้น แต่ก่อนที่จะกลับก็ไม่ลืมสานต่อกิจกรรมสุดท้ายของการมาเยือนสถานที่สุดโรแมนติกแห่งนี้ อย่างการทำของขวัญสุดพิเศษมอบให้อีกฝ่ายวันวิวาห์เลือกเข้าร่วมกิจกรรม Flower Box หรือการจัดดอกไม้ในกล่อง ถึงแม้เธอจะไม่ได้มีพื้นฐานมาก่อน แต่ทางผู้สอนเริ่มสอนตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องความหมายและการเลือกดอกไม้แต่ละชนิดเพื่อส่งมอบตามโอกาสต่างๆ เป็นการเพิ่มเรื่องราวให้มีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นทางด้านรามิลที่คิดว่ากิจกรรม Mini Garden หรือการจัดสวนในโหลแก้วอาจเหมาะกับเขามากที่สุดจึงไม่ลังเลที่จะเลือกเพราะหากต้องไปทำอย่างอื่นก็ไม่มั่นใจว่าผลงานเหล่านั้นจะออกมาเป็นอย่างไร ชายหนุ่มไม่รอช้าหยิบขวดโหลขนาดกลางแล้วเริ่มลงมือสรรค์สร้างสวนเขียวขจีย่อมๆ อย่างที่ต้องการตรงหน้าด้วยสมาธิอันจดจ่อทว่ามีอยู่หลายครั้งที่คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เมื่อเงยหน้ามองบรรดาผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพราะสายตาแต่ละคู่ที
The magic club“ดูมีออร่าแปลกๆ แฮะ” น้ำเสียงหยอกเย้าถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของหนุ่มลูกครึ่งทันทีที่วันวิวาห์หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ตัวข้างๆ“ยังไง?” คิ้วเรียวได้รูปเลิกขึ้น ใบหน้าฉายแววฉงน ครั้นได้ยินคำพูดของเพื่อนชายคนสนิท ก่อนจะยกแก้วไวน์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยหญิงสาวรีบมุ่งหน้ามายังคลับหลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยเพราะค่ำคืนนี้เธอต้องกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง จึงไม่ลืมที่จะนัดเจออังเคลเพื่ออัปเดตสารทุกข์สุกดิบระหว่างไม่ได้เจอกันเป็นระยะเวลานาน“ดูเหมือนจะมีความสุข แต่ก็แค่เหมือน” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาตามความรู้สึกที่สัมผัสได้เพราะแค่มองแวบเดียวก็รับรู้ถึงความกังวลบางอย่างในแววตาคู่นั้นซึ่งมันไม่เหมือนเดิม“ไม่มีไรหรอกน่า” วันวิวาห์บอกปัดพร้อมยักไหล่ราวกับไม่ได้เป็นไปอย่างที่อีกฝ่ายคิดสงสัย ถึงแม้ความเป็นจริงย่อมตรงกันข้าม“ไอเป็นเพื่อนยูหรือเปล่าวีว่า” น้ำเสียงอันบ่งบอกถึงความจริงจังถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของอังเคล ขณะเดียวกันเริ่มสังเกตเห็นอาการของวันวิวาห์ที่ยกแก้วไวน์กระดกเข้าปากอย่างต่อเนื่องแกร๊ก!แก้วใบใสอันปราศจากหยาดน้ำสีหวานถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดั
อ้ะ! ปัง อื้อ~เรือนร่างบอบบางที่กำลังเดินไปจะขึ้นรถตัวเองบริเวณลานจอดของคลับกลับถูกใครบางคนกระชากแขนแล้วพาเข้าไปยังเบาะด้านหลังของรถคันหนึ่งซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากกระจับเล็กถูกฉกฉวยด้วยความเร็ว ก่อนที่เจ้าตัวการจะใช้ปลายลิ้นดุนดันเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นของเธออย่างหิวกระหายแทบไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวได้พักหายใจจนเกิดเสียงครางแผ่วในลำคอ"อื้ม~"กลิ่นกายสาวอันหอมหวานชวนให้จิตใจของชายหนุ่มยิ่งเตลิดไปไกลแล้วค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำเลื่อนใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ซอกคอขาวกระจ่าง สูดดมโดยไม่ลืมขบกัดความอ่อนนุ่มด้วยความมันเขี้ยว“อ้ะ! คุณป๋า อื้ม” พยายามดีดดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา“ใส่สั้นๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เข้าง่ายดี” เสียงกระซิบแหบพร่ารวมถึงสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มตรงมุมปากชวนให้คนฟังขนกายลุกซู่จนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่คนอย่างรามิลย่อมไม่เพียงแค่ขู่เพราะมือของเขาเริ่มละไล้ไปตามผิวนวลเนียนเป็นการปลุกปั่นอารมณ์ทำให้คนถูกกระทำถึงกับหายใจถี่จนทรวงอกกระเพื่อมไหว กระทั่งความซุกซนไปหยุดอยู่บริเวณเนินสวาทซึ่งมีซับในปกปิดไว้ภายใต้กระโปรงตัวสั้น“ยะ อย่า...” ค
เช้าวันต่อมา...“โอ๊ะ! เลอะหมดเลย~” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นไม่ขาดปากในตอนแรกถึงกับสะดุด เมื่อเฮฟวี่ครีมในภาชนะที่กำลังขึ้นฟูเป็นเนื้อโฟมพร้อมสำหรับการทำไอศกรีมกระเด็นไปทั่วเคาน์เตอร์ครัวหนุ่มน้อยหน้าหวานยู่ปากเล็กน้อยพร้อมกะพริบตาปริบจากการกระทำของตัวเอง เพราะมัวแต่เล่นสนุกจนขาดความระมัดระวังแต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะลอบมองไปยังสายตาคู่หนึ่งซึ่งจับจ้องมายังเขาอยู่ก่อนแล้วเรือนร่างบอบบางในชุดเปิดไหล่ตัวยาวเหมาะสำหรับเช้าวันหยุดอันสดใสเดินเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างเด็กชายวัยห้าขวบที่ยืนบนเก้าอี้ตัวเล็กให้ความสูงพอเหมาะกับเคาน์เตอร์ทะเลก้มหน้าหลบสายตาคิดว่าต้องถูกลงโทษเป็นแน่ กระทั่งหญิงสาวใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดร่องรอยเปรอะเปื้อนบนโต๊ะออก แต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงพร่ำบ่นหรือตำหนิใดๆ จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากกระจับจึงค่อยๆ คลี่รอยยิ้มออกมาอย่างคนใจดี“ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิคะ”“ทะเลขอโทษนะครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ตั้งใจนี่นา” ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้หนุ่มน้อยฉายความปลาบปลื้มอย่างออกนอกหน้า“พี่วีว่าใจดีจังครับ ไม่เหมือน
“จะไม่กลับจริงๆ เหรอครับ” ผู้เป็นบิดาถามย้ำลูกชายตัวน้อยที่ยืนจับมือวันวิวาห์ไว้แน่นโดยมีเพื่อนชายคนสนิทยืนกอดอกพิงผนังบ้านมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย“ทะเลจะนอนที่นี่ครับ” ตอบออกมาอย่างชัดเจนถึงความต้องการของตัวเองเตกุณช์จับจ้องไปยังใบหน้าเล็กที่ถอดแบบเขามาอย่างกับแกะแล้วยื่นกระเป๋าเป้ส่งให้อย่างยอมแพ้ เมื่อเห็นแววตาใสซื่อทว่าเต็มไปด้วยความดื้อรั้นคู่นั้นจ้องกลับมา ชายหนุ่มรู้ดีว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกชายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาที่มัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาเอาใจใส่มากนัก“คืนเดียวเองน่า”เจ้าของบ้านที่มองใบหน้าอาลัยอาวรณ์ของเพื่อนมาสักพักแล้ว เริ่มปริปากขึ้นบ้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “พ่อสอนไว้ว่าไงครับ” ยังคงทวนถามถึงสิ่งที่พร่ำสอนลูกชาย“ไม่ดื้อ ไม่ซน ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ อีกอย่างลุงมิลไม่ชอบความวุ่นวายที่สุดครับ” ตอบทันควันแล้วหันไปส่งยิ้มทะเล้นให้ผู้ถูกกล่าวถึง หลังจากประโยคช่วงท้ายนั้นออกมาจากความคิดของตัวเองล้วนๆ ทำเอารามิลถึงกับมองอย่างคาดโทษแบบไม่จริงจังนัก“ดีมาก ตอนนี้ถึงเวลาต้องไปอาบน้ำแล้วครับ”“เดี๋ยวทะเลมา Good night kiss น๊าา” ให้คำมั่นพร้อมกระชับกระเป๋าเป้ไว้แน่น“ฝ
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน
“อ้ะ!”ทันทีที่เรือนร่างบอบบางซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวข้ามธรณีประตูห้องอาบน้ำออกมาก็ถูกใครบางคนเข้ารวบเอวจนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“อื้อ”ริมฝีปากกระจับสีหวานถูกคนเอาแต่ใจฉกฉวยพร้อมสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมด้วยความหิวกระหายแทบพรากลมหายใจรวมถึงสติสัมปชัญญะของเธอไปพร้อมๆ กันถึงแม้หญิงสาวจะตกใจในคราแรก ทว่าในเวลาต่อมากลับคล้อยตามสัมผัสเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังตอบสนองอีกฝ่ายโดยการมอบจูบอันแสนดูดดื่มเสมือนโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน“อื้ม”หลายนาทีต่อมาความเร่าร้อนที่มีก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำอย่างอ้อยอิ่ง“ประจำเดือนหมดแล้วหรือยัง” คำถามของเขาทำเอาสองแก้มใสร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูและยิ่งขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงใช้แขนโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนสัมผัสโดนช่วงล่างอันแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายใต้เนื้อกางเกงยีนของเขา“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่า…อืมม” แววตาวูบหนึ่งของเขาฉายชัดถึงความเสียดาย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจังหวะที่ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากลงบนปากของเขาแทนคำตอบวันวิวาห์ใช้เรียวแขนโอ
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” ถามถึงอาการก่อนหน้าพร้อมใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มเนียนเปล่งปลั่งของคนที่นอนเอนกายอยู่ในวงแขนบนเตียงผู้ป่วยหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันดวงตาสองคู่ก็จับจ้องไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ภายนอกเริ่มมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นระยะเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบรรยากาศทำนองนี้ทำให้คนในวงแขนเกิดอาการวิตกกังวลได้ง่ายจึงคอยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นตั้งแต่ร่างกายเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจเสมือนกำลังเยียวยา“พรุ่งนี้เราไปหาคุณแม่กันเถอะ” รามิลกระซิบเสียงแผ่ว ทว่าคนฟังกลับเงียบไม่ยอมปริปาก“เผื่อท่านจะใจอ่อนลงบ้าง”“แล้วถ้าไม่ล่ะคะ”“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไป” ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และได้ข้อสรุปว่าหากมารดายังไม่ยอมรับในตัววันวิวาห์ ทางออกที่ดีที่สุดของคนกลางอย่างเขาก็คงต้องปรับสมดุลให้ทั้งคนรักและครอบครัวโดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด“อีกอย่าง เราเพิ่งโกหกท่านเรื่องนั้น” หญิงสาวหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์“เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริง”“ถ้าความแตกขึ้นมา วีว่า
อืม จุ๊บ~สัมผัสริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างนึกมันเขี้ยวเป็นการทิ้งท้าย แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่ความหอมหวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัว ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนพร้อมหัวใจสั่นระรัวจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ลมหายใจอุ่นร้อนของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้นไม่ต่างกับเวลาได้หยุดนิ่งลง ทว่าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนที่ได้สติรีบผละออกจากอีกฝ่ายโดยการลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หลังมือปาดหน้าผากตัวเองลวกๆ เสมือนว่าอุณหภูมิห้องสูงขึ้นอย่างไรอย่างนั้นรอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันทีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่ม ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาซึ่งหันหน้าเข้าหาคนบนเตียงพอดี รามิลที่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเริ่มทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมานานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา” "เพนต์เฮาส์ของพี่ชายอังเคลค่ะ" ทันทีที่คำตอบนั้นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทดูเหมือนว่าคนฟังจะชะงักกึกจนเผลออุทานเสียงดัง"ว่าไงนะ!""คุณป๋าฟังวีว่าก่อนค่ะ" หญิงสาวสะดุ้งแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงปรามถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ แต่กลับร