เช้าวันต่อมา...“โอ๊ะ! เลอะหมดเลย~” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นไม่ขาดปากในตอนแรกถึงกับสะดุด เมื่อเฮฟวี่ครีมในภาชนะที่กำลังขึ้นฟูเป็นเนื้อโฟมพร้อมสำหรับการทำไอศกรีมกระเด็นไปทั่วเคาน์เตอร์ครัวหนุ่มน้อยหน้าหวานยู่ปากเล็กน้อยพร้อมกะพริบตาปริบจากการกระทำของตัวเอง เพราะมัวแต่เล่นสนุกจนขาดความระมัดระวังแต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะลอบมองไปยังสายตาคู่หนึ่งซึ่งจับจ้องมายังเขาอยู่ก่อนแล้วเรือนร่างบอบบางในชุดเปิดไหล่ตัวยาวเหมาะสำหรับเช้าวันหยุดอันสดใสเดินเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างเด็กชายวัยห้าขวบที่ยืนบนเก้าอี้ตัวเล็กให้ความสูงพอเหมาะกับเคาน์เตอร์ทะเลก้มหน้าหลบสายตาคิดว่าต้องถูกลงโทษเป็นแน่ กระทั่งหญิงสาวใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดร่องรอยเปรอะเปื้อนบนโต๊ะออก แต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงพร่ำบ่นหรือตำหนิใดๆ จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากกระจับจึงค่อยๆ คลี่รอยยิ้มออกมาอย่างคนใจดี“ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิคะ”“ทะเลขอโทษนะครับ”“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ตั้งใจนี่นา” ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้หนุ่มน้อยฉายความปลาบปลื้มอย่างออกนอกหน้า“พี่วีว่าใจดีจังครับ ไม่เหมือน
“จะไม่กลับจริงๆ เหรอครับ” ผู้เป็นบิดาถามย้ำลูกชายตัวน้อยที่ยืนจับมือวันวิวาห์ไว้แน่นโดยมีเพื่อนชายคนสนิทยืนกอดอกพิงผนังบ้านมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย“ทะเลจะนอนที่นี่ครับ” ตอบออกมาอย่างชัดเจนถึงความต้องการของตัวเองเตกุณช์จับจ้องไปยังใบหน้าเล็กที่ถอดแบบเขามาอย่างกับแกะแล้วยื่นกระเป๋าเป้ส่งให้อย่างยอมแพ้ เมื่อเห็นแววตาใสซื่อทว่าเต็มไปด้วยความดื้อรั้นคู่นั้นจ้องกลับมา ชายหนุ่มรู้ดีว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกชายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาที่มัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาเอาใจใส่มากนัก“คืนเดียวเองน่า”เจ้าของบ้านที่มองใบหน้าอาลัยอาวรณ์ของเพื่อนมาสักพักแล้ว เริ่มปริปากขึ้นบ้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “พ่อสอนไว้ว่าไงครับ” ยังคงทวนถามถึงสิ่งที่พร่ำสอนลูกชาย“ไม่ดื้อ ไม่ซน ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ อีกอย่างลุงมิลไม่ชอบความวุ่นวายที่สุดครับ” ตอบทันควันแล้วหันไปส่งยิ้มทะเล้นให้ผู้ถูกกล่าวถึง หลังจากประโยคช่วงท้ายนั้นออกมาจากความคิดของตัวเองล้วนๆ ทำเอารามิลถึงกับมองอย่างคาดโทษแบบไม่จริงจังนัก“ดีมาก ตอนนี้ถึงเวลาต้องไปอาบน้ำแล้วครับ”“เดี๋ยวทะเลมา Good night kiss น๊าา” ให้คำมั่นพร้อมกระชับกระเป๋าเป้ไว้แน่น“ฝ
สัปดาห์ต่อมา...ร้านอาหารญี่ปุ่นภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยบรรดาลูกค้าที่เข้าออกไม่ขาดสายในช่วงเย็นของวันเพื่อหาอะไรลงท้อง ก่อนจะไปเดินชอปปิ้งในเวลาต่อมา เฉกเช่นเพื่อนสนิททั้งสองที่ช่วงหลังมานี้เริ่มนัดเจอกันบ่อยขึ้นแทบจะวันเว้นวัน“กินเยอะๆ เลย”ไม่พูดเปล่ายังเอาอกเอาใจโดยการคีบเนื้อปลาแซลมอนสีส้มชิ้นสวยจ่อไปยังริมฝีปากเรียวเล็กซึ่งกำลังเคี้ยวคำก่อนหน้าตุ้ยๆ ก่อนจะอ้าปากรับของโปรดชิ้นต่อไปอย่างอารมณ์ดี“กินบ้างสิเคล”“ไออิ่มแล้ว”“เพราะแบบนี้สินะ ถึงป้อนไอไม่หยุดเลย” หญิงสาวพูดอย่างรู้ทันโดยอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มกว้างเป็นคำตอบ“หรืออิ่มอกอิ่มใจที่จะได้กลับบ้านเกิดกันแน่?”วันวิวาห์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้นว่ามันอาจชวนให้บรรยากาศการพูดคุยด้วยความสนุกสนานในตอนแรก เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดราม่า แต่ถึงอย่างนั้นเธอย่อมรู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงต้องห่างไกลกันเพราะทุกคนต่างมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง“จะไปส่งไอที่สนามบินหรือเปล่า” อังเคลถามถึงการเดินทางที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้าครั้นได้ยินอย่างนั้น วันวิวาห์เริ่มวางตะเกียบแล้วใช้ผ้าเช็ดริมฝีปากแผ่วเบาก่อนจะ
หนึ่งเดือนต่อมา...คฤหาสน์หลังงามตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่กว้างกว่าสี่ไร่ท่ามกลางความเงียบสงบแถบชานเมือง ภายในขอบรั้วปกคลุมไปด้วยหญ้าไทเปเขียวขจีที่มีโต๊ะวางอยู่บริเวณเดียวกันกับสระว่ายน้ำ รวมถึงพื้นที่รอบๆ ก็เต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์กำลังบานสะพรั่งดูมีชีวิตชีวาตรงกันข้ามกับบรรยากาศภายในบ้าน ณ เวลานี้ หญิงสาวตักอาหารในจานเข้าปากด้วยความกระอักกระอ่วนแล้วพยายามบดเคี้ยวมันให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการขย้อนออกมาตอนกลืนลงคอ เสียงช้อนและส้อมยังคงกระทบจานกระเบื้องให้ได้ยินเป็นระยะท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัดนั้นกระทั่งอาหารมื้อค่ำผ่านพ้นไปอย่างไม่ค่อยดีนักจนถึงช่วงเวลาการดื่มน้ำชาอุ่นๆ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของที่นี่หลังรับประทานอาหารในทุกมื้อ และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่ออกมาจากปากหญิงวัยเกือบหกสิบอย่างนภาลัย“เมื่อเดือนก่อนแม่บังเอิญเห็นลูกที่แผนกเด็กอ่อน” แววตาแฝงอารมณ์ความรู้สึกอ่านยากจับจ้องไปยังรามิลโดยไม่ลืมปรายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ“ครับ” รามิลไม่ได้ปฏิเสธพร้อมจ้องตอบมารดาด้วยแววตาไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ“ไม่ใช่อย่างท
“เชื่อป๋านะ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น” รามิลให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้นเห็นใบหน้าของคนข้างกายที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านฉายชัดถึงความวิตกกังวลวันวิวาห์ได้แต่พยักหน้ารับ ทว่าสีหน้ายังคงไม่คลายลงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไร้ชีวิตชีวาไม่สมกับเป็นเธอ จนเขาอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้จึงเลื่อนมือไปกอบกุมมือเล็กไว้แล้วใช้คำพูดสองแง่สองง่ามอย่างที่มักแกล้งกันเป็นประจำเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย“อารมณ์แบบนี้ สงสัยต้องพาไปผ่อนคลายหน่อยแล้ว”เท้าที่กำลังเดินอย่างเชื่องช้าถึงคราวชะงัก ก่อนจะหันขวับไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้วางใจ และเสี้ยววินาทีนั้นเองเรือนร่างบอบบางกลับถูกแขนแกร่งช้อนขึ้นจนตัวลอย“ว๊าย คุณป๋า!”“เผื่อว่าอารมณ์จะดีขึ้น” พูดอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดด้วยความระมัดระวัง“แต่วันนี้วีว่าอยากพัก” วันวิวาห์เอ่ยอย่างต้องการความเห็นใจ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกลับไม่ฟังแม้แต่น้อยยังคงพาเธอเข้าไปในห้องอาบน้ำของเขาแล้วให้นั่งตรงที่ว่างบนเคาน์เตอร์อ่าง“อยากพักจริงๆ เหรอ” ยังคงมองใบหน้าจิ้มลิ้มด้วยแววตาวาววับ ก่อนจะหยุดจับจ้องริมฝีปากกระจับเล็กแล้วแนบสัมผัสลง
“วีว่าถามว่านี่มันอะไรกัน” ครั้นเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนเงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา เธอจึงทวนถามประโยคเดิมอีกครั้งเพื่อต้องการให้เขาอธิบายเรื่องราวพวกนั้น“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดถึงความไม่พอใจ เมื่อเห็นเธอเริ่มยุ่งวุ่นวายกับข้าวของของเขา ก่อนจะนำกล้องถ่ายรูปที่ถืออยู่ในมือเก็บเข้าลิ้นชักตามเดิม“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง ในเมื่อผู้หญิงในรูปพวกนั้น คือวีว่า” เน้นย้ำประโยคหลังพร้อมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่คิดออกมาไม่หยุด“คุณป๋ากำลังทำให้วีว่าสับสน”"ในเมื่อที่ผ่านมาก็เย็นชาใส่กันตลอด”“แต่แล้วทำไมกันล่ะ ทำไมรูปพวกนั้นถึง...”แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนระคนต้องการรู้ความจริงในเวลาเดียวกัน ว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นยังไงกันแน่ แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่เงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่“คุณป๋าไปหาวีว่าทุกปีเลยเหรอ แล้วทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง” จบประโยคก็ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหยุดยืนมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโตที่วูบไหว ทำไมถึงปล่อยให้เธอเอาแต่คิดน้อยใจไปเองว่าไม่เคยได้รับความสนใจไยดีเหล่านั้นจากเขาหากหญิงสาวไม่บังเอิญไปเห็นภาพ
“คุณป๋า...” ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความรู้สึกสับสน ทว่าอีกฝ่ายยังคงยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น“ป๋าพูดจริงๆ นะ”“แต่วีว่า เอ่อ...” วันวิวาห์มีท่าทีอึกอักพูดไม่ออกจนเขาต้องยิงคำถามใหม่“หรือเราไม่อยากมีลูกกับป๋า?”“วีว่าคิดว่ามันเร็วไป” ออกความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาแล้วเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อยเพื่อหาทางอธิบายให้เขาเข้าใจ“อีกอย่างวีว่ายังสนุกกับการได้ทำงาน”“คุณป๋าก็รู้นี่นา ว่าถ้ามีลูกตอนนี้ วีว่าก็เป็นดีเจไม่ได้”“ถึงไม่ทำงาน ป๋าก็เลี้ยงได้”“วีว่ารู้ค่ะ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่ใช่เหรอคะ” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงดีใจพร้อมกระโดดโลดเต้นแล้วตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด ทว่าตอนนี้เมื่อความจริงทุกอย่างค่อยๆ ปรากฏ กลับมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามารบกวนจิตใจให้ต้องคิดหนัก“แล้วถ้าตอนนี้เลือดเนื้อเชื้อไขของป๋ากำลังเติบโตอยู่ในตัวเรา...” ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบประโยค กลับถูกอีกฝ่ายเอ่ยดักพร้อมส่ายศีรษะไปมา“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”“จะบอกว่าป๋าไร้น้ำยาอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงเริ่มขุ่นมัว เมื่อคิดได้ว่าหญิงสาวดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ป้องกัน จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าตัวเอง
ป๊อก ป๊อก ป๊อก!เจ้าของเรือนร่างบอบบางที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกระโปรงตัวสั้นสีเดียวกันกำลังเคลื่อนไหวไปตามจังหวะลูกเทนนิสที่ตีกระทบเข้ากำแพงหนาภายในสนามกีฬาจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณติดต่อกันกว่าหนึ่งชั่วโมงถึงแม้สีหน้าของเธอจะเรียบเฉยเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิท ทว่าดวงตากลมโตกลับบวมเป่งเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก บ่อยครั้งที่พยายามเรียกสติตัวเองโดยการสลัดความคิดสับสนออกไป แต่ยิ่งทำแบบนั้นส่งผลให้สายตาเริ่มกลับมาพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำใสอีกครั้งป๊อก ป๊อก ป๊อก พลั่ก!ลูกเทนนิสที่ดังต่อเนื่องในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยเสียงล้มตึงลงบนพื้นอย่างแรง แต่ถึงกระนั้นกลับปราศจากเสียงร้องโอดโอยของเจ้าตัวจะมีก็เพียงจังหวะการหอบหายใจหนักหน่วงเพราะความเหน็ดเหนื่อยแค่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา เธอกลับพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะสนใจหัวเข่าทั้งสองข้างที่เริ่มมีเลือดไหลออกมาแล้วเริ่มตีลูกเทนนิสด้วยอารมณ์บ้าคลั่งกว่าเดิมราวกับต้องการระบายความอัดอั้นตันใจวันวิวาห์ขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้นทันทีพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปที่ไหนหรือตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอ
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน
“อ้ะ!”ทันทีที่เรือนร่างบอบบางซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวข้ามธรณีประตูห้องอาบน้ำออกมาก็ถูกใครบางคนเข้ารวบเอวจนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“อื้อ”ริมฝีปากกระจับสีหวานถูกคนเอาแต่ใจฉกฉวยพร้อมสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมด้วยความหิวกระหายแทบพรากลมหายใจรวมถึงสติสัมปชัญญะของเธอไปพร้อมๆ กันถึงแม้หญิงสาวจะตกใจในคราแรก ทว่าในเวลาต่อมากลับคล้อยตามสัมผัสเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังตอบสนองอีกฝ่ายโดยการมอบจูบอันแสนดูดดื่มเสมือนโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน“อื้ม”หลายนาทีต่อมาความเร่าร้อนที่มีก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำอย่างอ้อยอิ่ง“ประจำเดือนหมดแล้วหรือยัง” คำถามของเขาทำเอาสองแก้มใสร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูและยิ่งขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงใช้แขนโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนสัมผัสโดนช่วงล่างอันแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายใต้เนื้อกางเกงยีนของเขา“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่า…อืมม” แววตาวูบหนึ่งของเขาฉายชัดถึงความเสียดาย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจังหวะที่ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากลงบนปากของเขาแทนคำตอบวันวิวาห์ใช้เรียวแขนโอ
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” ถามถึงอาการก่อนหน้าพร้อมใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มเนียนเปล่งปลั่งของคนที่นอนเอนกายอยู่ในวงแขนบนเตียงผู้ป่วยหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันดวงตาสองคู่ก็จับจ้องไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ภายนอกเริ่มมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นระยะเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบรรยากาศทำนองนี้ทำให้คนในวงแขนเกิดอาการวิตกกังวลได้ง่ายจึงคอยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นตั้งแต่ร่างกายเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจเสมือนกำลังเยียวยา“พรุ่งนี้เราไปหาคุณแม่กันเถอะ” รามิลกระซิบเสียงแผ่ว ทว่าคนฟังกลับเงียบไม่ยอมปริปาก“เผื่อท่านจะใจอ่อนลงบ้าง”“แล้วถ้าไม่ล่ะคะ”“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไป” ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และได้ข้อสรุปว่าหากมารดายังไม่ยอมรับในตัววันวิวาห์ ทางออกที่ดีที่สุดของคนกลางอย่างเขาก็คงต้องปรับสมดุลให้ทั้งคนรักและครอบครัวโดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด“อีกอย่าง เราเพิ่งโกหกท่านเรื่องนั้น” หญิงสาวหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์“เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริง”“ถ้าความแตกขึ้นมา วีว่า
อืม จุ๊บ~สัมผัสริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างนึกมันเขี้ยวเป็นการทิ้งท้าย แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่ความหอมหวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัว ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนพร้อมหัวใจสั่นระรัวจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ลมหายใจอุ่นร้อนของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้นไม่ต่างกับเวลาได้หยุดนิ่งลง ทว่าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนที่ได้สติรีบผละออกจากอีกฝ่ายโดยการลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หลังมือปาดหน้าผากตัวเองลวกๆ เสมือนว่าอุณหภูมิห้องสูงขึ้นอย่างไรอย่างนั้นรอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันทีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่ม ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาซึ่งหันหน้าเข้าหาคนบนเตียงพอดี รามิลที่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเริ่มทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมานานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา” "เพนต์เฮาส์ของพี่ชายอังเคลค่ะ" ทันทีที่คำตอบนั้นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทดูเหมือนว่าคนฟังจะชะงักกึกจนเผลออุทานเสียงดัง"ว่าไงนะ!""คุณป๋าฟังวีว่าก่อนค่ะ" หญิงสาวสะดุ้งแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงปรามถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ แต่กลับร