“เชื่อป๋านะ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น” รามิลให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้นเห็นใบหน้าของคนข้างกายที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านฉายชัดถึงความวิตกกังวลวันวิวาห์ได้แต่พยักหน้ารับ ทว่าสีหน้ายังคงไม่คลายลงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไร้ชีวิตชีวาไม่สมกับเป็นเธอ จนเขาอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้จึงเลื่อนมือไปกอบกุมมือเล็กไว้แล้วใช้คำพูดสองแง่สองง่ามอย่างที่มักแกล้งกันเป็นประจำเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย“อารมณ์แบบนี้ สงสัยต้องพาไปผ่อนคลายหน่อยแล้ว”เท้าที่กำลังเดินอย่างเชื่องช้าถึงคราวชะงัก ก่อนจะหันขวับไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้วางใจ และเสี้ยววินาทีนั้นเองเรือนร่างบอบบางกลับถูกแขนแกร่งช้อนขึ้นจนตัวลอย“ว๊าย คุณป๋า!”“เผื่อว่าอารมณ์จะดีขึ้น” พูดอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดด้วยความระมัดระวัง“แต่วันนี้วีว่าอยากพัก” วันวิวาห์เอ่ยอย่างต้องการความเห็นใจ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกลับไม่ฟังแม้แต่น้อยยังคงพาเธอเข้าไปในห้องอาบน้ำของเขาแล้วให้นั่งตรงที่ว่างบนเคาน์เตอร์อ่าง“อยากพักจริงๆ เหรอ” ยังคงมองใบหน้าจิ้มลิ้มด้วยแววตาวาววับ ก่อนจะหยุดจับจ้องริมฝีปากกระจับเล็กแล้วแนบสัมผัสลง
“วีว่าถามว่านี่มันอะไรกัน” ครั้นเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนเงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา เธอจึงทวนถามประโยคเดิมอีกครั้งเพื่อต้องการให้เขาอธิบายเรื่องราวพวกนั้น“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ใบหน้าหล่อเหลาฉายชัดถึงความไม่พอใจ เมื่อเห็นเธอเริ่มยุ่งวุ่นวายกับข้าวของของเขา ก่อนจะนำกล้องถ่ายรูปที่ถืออยู่ในมือเก็บเข้าลิ้นชักตามเดิม“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง ในเมื่อผู้หญิงในรูปพวกนั้น คือวีว่า” เน้นย้ำประโยคหลังพร้อมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่คิดออกมาไม่หยุด“คุณป๋ากำลังทำให้วีว่าสับสน”"ในเมื่อที่ผ่านมาก็เย็นชาใส่กันตลอด”“แต่แล้วทำไมกันล่ะ ทำไมรูปพวกนั้นถึง...”แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนระคนต้องการรู้ความจริงในเวลาเดียวกัน ว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นยังไงกันแน่ แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่เงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่“คุณป๋าไปหาวีว่าทุกปีเลยเหรอ แล้วทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง” จบประโยคก็ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหยุดยืนมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโตที่วูบไหว ทำไมถึงปล่อยให้เธอเอาแต่คิดน้อยใจไปเองว่าไม่เคยได้รับความสนใจไยดีเหล่านั้นจากเขาหากหญิงสาวไม่บังเอิญไปเห็นภาพ
“คุณป๋า...” ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความรู้สึกสับสน ทว่าอีกฝ่ายยังคงยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น“ป๋าพูดจริงๆ นะ”“แต่วีว่า เอ่อ...” วันวิวาห์มีท่าทีอึกอักพูดไม่ออกจนเขาต้องยิงคำถามใหม่“หรือเราไม่อยากมีลูกกับป๋า?”“วีว่าคิดว่ามันเร็วไป” ออกความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาแล้วเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อยเพื่อหาทางอธิบายให้เขาเข้าใจ“อีกอย่างวีว่ายังสนุกกับการได้ทำงาน”“คุณป๋าก็รู้นี่นา ว่าถ้ามีลูกตอนนี้ วีว่าก็เป็นดีเจไม่ได้”“ถึงไม่ทำงาน ป๋าก็เลี้ยงได้”“วีว่ารู้ค่ะ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่ใช่เหรอคะ” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงดีใจพร้อมกระโดดโลดเต้นแล้วตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด ทว่าตอนนี้เมื่อความจริงทุกอย่างค่อยๆ ปรากฏ กลับมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามารบกวนจิตใจให้ต้องคิดหนัก“แล้วถ้าตอนนี้เลือดเนื้อเชื้อไขของป๋ากำลังเติบโตอยู่ในตัวเรา...” ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบประโยค กลับถูกอีกฝ่ายเอ่ยดักพร้อมส่ายศีรษะไปมา“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”“จะบอกว่าป๋าไร้น้ำยาอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงเริ่มขุ่นมัว เมื่อคิดได้ว่าหญิงสาวดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ป้องกัน จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าตัวเอง
ป๊อก ป๊อก ป๊อก!เจ้าของเรือนร่างบอบบางที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกระโปรงตัวสั้นสีเดียวกันกำลังเคลื่อนไหวไปตามจังหวะลูกเทนนิสที่ตีกระทบเข้ากำแพงหนาภายในสนามกีฬาจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณติดต่อกันกว่าหนึ่งชั่วโมงถึงแม้สีหน้าของเธอจะเรียบเฉยเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิท ทว่าดวงตากลมโตกลับบวมเป่งเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก บ่อยครั้งที่พยายามเรียกสติตัวเองโดยการสลัดความคิดสับสนออกไป แต่ยิ่งทำแบบนั้นส่งผลให้สายตาเริ่มกลับมาพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำใสอีกครั้งป๊อก ป๊อก ป๊อก พลั่ก!ลูกเทนนิสที่ดังต่อเนื่องในตอนแรกถูกแทนที่ด้วยเสียงล้มตึงลงบนพื้นอย่างแรง แต่ถึงกระนั้นกลับปราศจากเสียงร้องโอดโอยของเจ้าตัวจะมีก็เพียงจังหวะการหอบหายใจหนักหน่วงเพราะความเหน็ดเหนื่อยแค่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา เธอกลับพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะสนใจหัวเข่าทั้งสองข้างที่เริ่มมีเลือดไหลออกมาแล้วเริ่มตีลูกเทนนิสด้วยอารมณ์บ้าคลั่งกว่าเดิมราวกับต้องการระบายความอัดอั้นตันใจวันวิวาห์ขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้นทันทีพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปที่ไหนหรือตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอ
สัปดาห์ต่อมา...ครืดๆ ~ท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้องนอนปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นพร้อมแรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนเตียงซึ่งเรียกสติให้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาทว่าดูอิดโรยไร้ชีวิตชีวาที่นั่งอยู่บนพื้นเย็นเยียบตรงปลายเตียงรีบหันขวับไปมองก่อนจะรับสายด้วยท่าทีลนลาน“เจอวีว่าแล้วใช่มั้ย!” คำแรกที่พ่นออกมาจากริมฝีปากหยักลึกเป็นตัวบ่งบอกว่าเขายังคงรอคอยหญิงสาวอย่างมีความหวังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา “วะ ว่าไงนะ” ทวนถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักครั้นรับรู้เรื่องราวน่าตกใจจากภูดิน ขณะเดียวกันก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความกระวนกระวายใจ สายตาสอดส่ายมองหากุญแจรถที่ไม่รู้โยนไปไว้ทิศทางไหน กระทั่งเหลือบเห็นสิ่งของที่เขาต้องการก็รีบเดินไปคว้าแล้ววิ่งออกไปจากห้องอย่างรีบเร่งบรรยากาศเงียบสงัดยามดึกจะมีก็แต่เสียงเครื่องยนต์จากรถสปอร์ตคันหรูที่กำลังพุ่งตัวไปตามถนนด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง แต่แล้วเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง การจราจรกลับเริ่มติดขัดอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากมีแท็กซี่คันหนึ่งจอดเสียกลางทาง“แม่งเอ๊ย!” สบถออกมาอย่างหัวเสีย ตอนนี้ภายในอกของเขาร้อนรนไปหมดจนหา
“จะตายห่าแล้ว? ถึงต้องให้เมียกูเช็ดตัวให้” คนที่เดินเข้ามาเห็นภาพภรรยาของตัวเองกำลังเช็ดตัวให้เพื่อนชายคนสนิทซึ่งบัดนี้นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนโซฟาภายในห้องทำงานอดจะเอ่ยแขวะด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้“ศินี่ก็!” อลิสาส่งสายตาติดตำหนิพร้อมส่ายหน้าครั้นเห็นอากัปกิริยาของผู้เป็นสามี และยิ่งเอือมระอาเมื่ออีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อีกทั้งยังหันไปยิงคำถามใส่คนที่นอนอยู่อีกครั้ง“ตกลงมึงเป็นไร”คำถามซึ่งไร้คำตอบนั้นทำให้ศิลาหันไปเลิกคิ้วมองอลิสาเพื่อรอฟังคำอธิบายจากเธอ“อยู่ดีๆ ก็อ้วกแล้วมีไข้อ่อนๆ ด้วย จะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายกับความดื้อรั้นของคนป่วย“มึงกินอะไรผิดสำแดงไปหรือเปล่า” ศิลาขมวดคิ้ววุ่น เริ่มซักถามหาสาเหตุทันทีด้วยความประหลาดใจเพราะแทบนับครั้งได้ที่เพื่อนคนนี้จะป่วยคนนอนซมเพราะอาการไม่สบายตัวทำได้เพียงส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ เพราะทุกครั้งที่เขาจะเปิดปากพูดก็รู้สึกอยากอาเจียนออกมาเสียทุกครั้ง“กูว่ามึงไปหาหมอเหอะ อย่าอวดเก่งไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวได้ตายห่ากันพอดี” ถึงปากคอจะเราะรายแต่ครั้นเห็นอาการของเพื่อน เขากลับโน้มตัวลงไป
“มึงบ้าป่าว ถ้าท้อง คนที่มีอาการก็ต้องเป็นเจ้าตัวสิ” ถึงแม้คำพูดที่ออกมาจากปากของเพื่อนคนสนิทจะทำให้เขารู้สึกตกใจ แต่ความเคลือบแคลงใจที่มีมากกว่าทำให้ต้องส่ายหน้าปฏิเสธราวกับเป็นเรื่องราวไร้สาระ “มึงไม่เคยได้ยินเหรอ ที่เขาบอกว่าผัวบางคนก็แพ้ท้องแทนเมียได้” ไม่พูดเปล่ายังทำกิริยาท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้าราวกับตนเองกำลังจะได้เป็นพ่อคน“โทดที กูไม่เชื่ออะไรแบบนั้น” สีหน้าเริ่มเอือมระอาอย่างไม่ปิดบัง“…”“อีกอย่าง ถ้าเธอท้องจริงๆ คงไม่ตัดสินใจไปจากที่นี่หรอก” รามิลครุ่นคิดถึงความจริงข้อนี้ เขาเชื่อว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเลี้ยงลูกเพียงลำพังอย่างแน่นอน“อาจจะไม่รู้ตัวไง หรือไม่ก็ไม่ได้บินไปจริงๆ”ศิลาออกความคิดเห็นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง“มึงจะบอกว่าวีว่ายังอยู่เมืองไทย?”“มึงนี่นะ บทจะโง่ก็โง่ดักดาน" “อะไรวะ อยู่ดีๆ ก็ด่า” คนโดนต่อว่าถึงกับนั่งงงงวยและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่หยุดอยู่แค่นั้นเพราะเริ่มกลอกตามองบนราวกับเหนื่อยหน่ายใจเป็นอย่างมาก“คิดผิดจริงๆ ที่มีเพื่อนแบบมึง”“ด่าเหมือนกูไปเป็นชู้กับเมียมึง”“ถ้าเป็นแบบนั้นกูไม่ใช่แค่
“ฮึก!” เสียงสะอื้นไห้หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากหนาชวนให้คนฟังรู้สึกปวดหนึบหัวใจคล้ายถูกฟ้าฟาดมือเล็กค่อยๆ แกะเรียวแขนที่โอบรอบเอวออกจากตัว ทว่าการทำแบบนั้นยิ่งส่งผลให้คนกอดเพิ่มแรงรัดแน่นกว่าเดิมราวกับกลัวว่าการปล่อยเธอไปครั้งนี้ อาจทำให้ทั้งสองไม่ได้พบเจอกันอีกตลอดกาล ซึ่งเขาย่อมไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแน่นอน“ผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันเถอะนะ” เว้าวอนด้วยความร้าวรานจนทำให้เธอค่อยๆ หมุนตัวไปเผชิญหน้า ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มคลายอ้อมแขน แต่ยังคงไม่ปล่อยให้เป็นอิสระหญิงสาวก้มมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ก่อนจะไล้ปลายนิ้วเช็ดมันออกอย่างเบามือทั้งๆ ที่ดวงตาของตัวเองก็เริ่มพร่าเลือนไม่ต่างกัน“วีว่าขอโทษ” ทันทีที่ประโยคแรกถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากกระจับ น้ำตาของเธอก็ร่วงเผาะลงกระทบใบหน้าอีกฝ่ายราวกับว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นหลอมรวมส่งผ่านซึ่งกันและกัน“เราไม่ได้ผิดอะไรเลยนะวีว่า ป๋าต่างหากที่ต้องขอโทษ ป๋าผิดเอง” เขาเริ่มกล่าวโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเพราะแบบนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจจนพูดไม่ออก“อย่าไปจากป๋าอีกนะ”ใบหน้าจิ้มลิ้มทำได้เพียงพยักหน้าตอบรั
เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณทันทีที่ลงมาหยุดยืนบนพื้นพสุธาและเห็นว่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายที่คุ้นหน้าคุ้นตารวมถึงไม่เคยพบเจอกันมาก่อนอยู่ในชุดโทนสีโรสโกลด์สำหรับผู้หญิงและโทนสีเทาอ่อนสำหรับผู้ชายกำลังยืนขนาบสองข้างทางหลังซุ้มดอกไม้เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นใบหน้าเปล่งปลั่งดูมีออร่ายังคงสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนซึ่งเป็นบุคคลที่อยากให้อยู่ด้วยในวันสำคัญของชีวิต แววตาคู่นั้นค่อยๆ เศร้าหมองเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะเจอเขาคนนั้น ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาสดใสดังเดิมเพราะเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังเดินจ้ำอ้าวมาหยุดยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของรามิลจังหวะเดียวกันนั้นอลิสาก็เดินเข้ามายื่นช่อดอกไม้ให้เจ้าสาวพร้อมใช้เวลล์ขนาดยาวถึงกลางหลังสวมลงบนเรือนผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างสวยงาม“พร้อมมั้ยครับ” หันไปถามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นเมื่อคนข้างกายพยักหน้าตอบรับว่าพร้อมแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันไปยังเวทีท่ามกลางเสียงดนตรีสุดแสนจะโรแมนติกจากไวโอลินเพื่อเข้าสู่พิธีตามที่วางไว้โดยมีโดรนบินว่อนเก็บบร
สัปดาห์ต่อมา…“เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีขาวดูมีออร่าหันไปถามคนข้างกายทันทีที่นั่งลงบนเบาะหนังตัวนิ่ม“ไปถึงก็รู้เอง” บอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันสายตาก็ไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูหวานละมุน ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งมนได้รูป ดวงตากลมโตสีอัลมอนต์ภายใต้แพขนตางอนยาวรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงใหล“แต่คนที่นัดวีว่าคือพี่อลิสนะคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้เธอถูกช่างฝีมือดีที่อลิสานัดไว้ให้จับแต่งหน้าทำผมราวกับตุ๊กตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง“เรากำลังจะไปหาอลิสอยู่นี่ไง” คนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดูเป็นทางการกว่าปกติเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม“แล้วทำไมต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยล่ะคะ” เผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยที่มากกว่าเดิม อีกทั้งในหัวก็ยังมีคำถามมากมาย“เพราะเราต้องทำเวลา” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เธอเสร็จสรรพแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ภูดินซึ่งทำหน้าที่อยู่หลังอุปกรณ์ควบคุมการบินอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้วเริ่มจับคันบังคับเพื่อลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เช้าวันต่อมา…“ชบาพอจะเห็นคุณป๋าบ้างมั้ย?” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษรีบหันไปถามสาวใช้ที่กำลังจดจ่อกับการจัดดอกไม้บริเวณโถงทางเดิน“คุณรามิลอยู่ในห้องออกกำลังกายค่ะ”“ห้องที่ต้องเดินไปทางสวนด้านหลังใช่มั้ย” ถามเพื่อความแน่ใจ รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นห้องตรงนั้น แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง“ใช่ค่ะ แล้วนี่จะกินยาก่อนอาหารเลยมั้ยคะ”“เอามาก่อนก็ได้จ้ะ”สาวใช้พยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถาดหลุยส์สีขาวใบเล็กซึ่งมีถ้วยใสสำหรับบรรจุยาจำนวนสามเม็ดและน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด“อาหารเช้าวันนี้ชบาเป็นคนทำนะคะ คุณผู้หญิงดูจะวุ่นๆ ตั้งแต่เช้าเลย เห็นบอกว่ามีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ” เอ่ยบอกพร้อมส่งถาดใบนั้นให้คนตรงหน้า“เหรอ...” พึมพำเสียงแผ่ว สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณวีว่าไม่ชอบอาหารฝีมือชบาเหรอคะ”“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นฝีมือของคุณป้าจะกินได้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ชบาทำจะไม่อร่อยนะ อย่าคิดมากละ”วันวิวาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายเข
"มิล""รามิล""ไอ้มิลโว้ย!""โว้ย! เป็นเหี้ยไรของมึงวะ" คนที่นั่งเหม่อลอยในตอนแรกหันไปตะเบ็งเสียงใส่เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงด้วยความรำคาญ"ก็มึงไม่สนใจกูนี่หว่า" ศิลาที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวยาวจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะไม่ว่าจะพ่นคำถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงนิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตัวเอง"...""เหม่ออย่างกับเมียมีชู้ไปได้" ยังคงพึมพำพร้อมส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นจะเข้าหูเจ้าตัวอย่างชัดเจน"กูได้ยินนะเว้ย"“พอเรื่องแบบนี้แล้วเสือกหูดีนะมึง""ก็เออสิ" รามิลยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วหันไปมองแสงไฟหลากสีสันผ่านกระจกบานใสแวบหนึ่ง "มึงดูยังมึนงงอยู่เลยนะ” ศิลาออกความคิดเห็นเพราะตั้งแต่สังเกตมาเพื่อนของเขาดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆรามิลทำเพียงพยักหน้าช้าๆ เริ่มดิ่งลึกลงไปในความคิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกครั้ง เขาจดจำได้ดีว่าวินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซึ่งวันวิวาห์เองดูจะไม่แตกต่างกันความสับสนมึนงงเสมือนความฝันผสมปนเปกันยุ่งเหยิงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและตื้นตันใจจนพูดไม่
“คุณป้าไม่จำเป็นต้องเรียกหมอมาหรอกค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเป็นเวลาหลายวินาทีพยายามรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมาในที่สุดหัวใจดวงน้อยสั่นระรัวหายใจแทบไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันมือสองข้างที่กำหูหิ้วถุงไว้ก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะสถานการณ์กดดันที่กำลังเผชิญวันวิวาห์ตัดสินใจจะสารภาพความจริงทุกอย่างออกมา เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งเรื่องราวโกหกเหล่านี้ย่อมถูกเปิดเผยอยู่ดี“คือที่จริงแล้ววีว่า…” ประโยคช่วงหลังเริ่มขาดหายครั้นเห็นอีกฝ่ายจ้องเขม็งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อแต่ในจังหวะเดียวกันนั้น...“เกิดอะไรขึ้นครับ!”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทางด้านหลังดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวคลายกังวลลงได้บ้างแม้เพียงสักนิดก็ยังดี ก่อนที่เจ้าของน้ำเสียงนั้นจะเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้างแล้วมองใบหน้าคนทั้งสองสลับกันทว่าหางตาที่เหลือบไปเห็นข้าวของกระจัดกระจายตามพื้น ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น และที่เขารีบกลับบ้านก่อนกำหนดเวลาก็เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวที่เพิ่งโกหกไปจะต้องเปิดเผยเร็วขนาดนี้“ผู้หญิงคนนี้ท้องจริงๆ หรือเปล่า” หันไปยิงคำถามใส่ลูกชายขณะเดียวกั
เช้าวันต่อมา…ดอกไม้หลากสีสันที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีกำลังบานสะพรั่งอวดความงดงามขนาบสองข้างทางเดินภายในสวนเขียวขจีส่งผลให้คฤหาสน์หลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาถนัดตาวันวิวาห์รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต่อว่าอย่างครั้งก่อนจากนภาลัย ถึงแม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลียเพราะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังทนฝืนงัดตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ดีก่อนหน้านี้เธอเข้าไปยังห้องครัวรอบหนึ่งแล้วเผื่อว่าอาจมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยได้บ้าง แต่ครั้นไปถึงกลับพบเพียงความว่างเปล่า จึงคิดเอาเองว่าสาวใช้ที่ชื่อชบาคงออกไปซื้อของที่ตลาดเช้าทำให้หญิงสาวตัดสินใจมาเดินเล่นในสวนแห่งนี้ เพราะหากจะให้ขึ้นไปนอนก็คงหลับอย่างไม่ค่อยสบายใจมากนักหญิงสาวเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหันไปทักทายคนสวนซึ่งกำลังตัดแต่งกิ่งไม้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ช่วงหลังมานี้เรียกร้องบ่อยเหลือเกินก็ส่งเสียงออกมาโครก~มือเล็กยกขึ้นสัมผัสหน้าท้องแผ่วเบาพร้อมลูบไปมาด้วยความรู้สึกหิวที่ชวนให้ท้องไส้ปั่นป่วน เท้าของเธอเริ่มจ้ำอ้าวออกจากตรงน
“อ้ะ!”ทันทีที่เรือนร่างบอบบางซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวข้ามธรณีประตูห้องอาบน้ำออกมาก็ถูกใครบางคนเข้ารวบเอวจนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“อื้อ”ริมฝีปากกระจับสีหวานถูกคนเอาแต่ใจฉกฉวยพร้อมสอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปกวาดต้อนทุกซอกทุกมุมด้วยความหิวกระหายแทบพรากลมหายใจรวมถึงสติสัมปชัญญะของเธอไปพร้อมๆ กันถึงแม้หญิงสาวจะตกใจในคราแรก ทว่าในเวลาต่อมากลับคล้อยตามสัมผัสเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังตอบสนองอีกฝ่ายโดยการมอบจูบอันแสนดูดดื่มเสมือนโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน“อื้ม”หลายนาทีต่อมาความเร่าร้อนที่มีก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ละจากริมฝีปากชุ่มฉ่ำอย่างอ้อยอิ่ง“ประจำเดือนหมดแล้วหรือยัง” คำถามของเขาทำเอาสองแก้มใสร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูและยิ่งขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงใช้แขนโอบกระชับเอวบางเข้าหาตัวจนสัมผัสโดนช่วงล่างอันแข็งขืนที่ดุนดันอยู่ภายใต้เนื้อกางเกงยีนของเขา“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่า…อืมม” แววตาวูบหนึ่งของเขาฉายชัดถึงความเสียดาย แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจังหวะที่ยังพูดไม่ทันจบกลับถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากลงบนปากของเขาแทนคำตอบวันวิวาห์ใช้เรียวแขนโอ
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” ถามถึงอาการก่อนหน้าพร้อมใช้ฝ่ามือสัมผัสผิวแก้มเนียนเปล่งปลั่งของคนที่นอนเอนกายอยู่ในวงแขนบนเตียงผู้ป่วยหญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ขณะเดียวกันดวงตาสองคู่ก็จับจ้องไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ภายนอกเริ่มมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นระยะเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าบรรยากาศทำนองนี้ทำให้คนในวงแขนเกิดอาการวิตกกังวลได้ง่ายจึงคอยกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อปลอบประโลมและมอบความอบอุ่นตั้งแต่ร่างกายเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตใจเสมือนกำลังเยียวยา“พรุ่งนี้เราไปหาคุณแม่กันเถอะ” รามิลกระซิบเสียงแผ่ว ทว่าคนฟังกลับเงียบไม่ยอมปริปาก“เผื่อท่านจะใจอ่อนลงบ้าง”“แล้วถ้าไม่ล่ะคะ”“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไป” ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และได้ข้อสรุปว่าหากมารดายังไม่ยอมรับในตัววันวิวาห์ ทางออกที่ดีที่สุดของคนกลางอย่างเขาก็คงต้องปรับสมดุลให้ทั้งคนรักและครอบครัวโดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด“อีกอย่าง เราเพิ่งโกหกท่านเรื่องนั้น” หญิงสาวหมายถึงเรื่องตั้งครรภ์“เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริง”“ถ้าความแตกขึ้นมา วีว่า
อืม จุ๊บ~สัมผัสริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างนึกมันเขี้ยวเป็นการทิ้งท้าย แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีแต่ความหอมหวานยังคงตราตรึงอยู่ในหัว ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนพร้อมหัวใจสั่นระรัวจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ลมหายใจอุ่นร้อนของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วขณะนั้นไม่ต่างกับเวลาได้หยุดนิ่งลง ทว่าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนที่ได้สติรีบผละออกจากอีกฝ่ายโดยการลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หลังมือปาดหน้าผากตัวเองลวกๆ เสมือนว่าอุณหภูมิห้องสูงขึ้นอย่างไรอย่างนั้นรอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันทีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่ม ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาซึ่งหันหน้าเข้าหาคนบนเตียงพอดี รามิลที่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเริ่มทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมานานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา” "เพนต์เฮาส์ของพี่ชายอังเคลค่ะ" ทันทีที่คำตอบนั้นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทดูเหมือนว่าคนฟังจะชะงักกึกจนเผลออุทานเสียงดัง"ว่าไงนะ!""คุณป๋าฟังวีว่าก่อนค่ะ" หญิงสาวสะดุ้งแล้วรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเชิงปรามถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะฉายชัดถึงความไม่พอใจ แต่กลับร