“ถึงยามที่ต้องเด็ดขาดกลับไม่เด็ดขาด จะต้องวุ่นวายแน่ๆ เจ้ายังลังเลอะไรอยู่”ซึ่งคนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉุยอวี้ ฮั่วเทียนเฉิงต้องการตอบโต้ แต่ก็สายเกินไปแล้วเขาไม่คาดคิดว่าเฟิงเอ้อร์เหนียงผู้อ่อนโยนจะวางยาลงในเหล้าของเขา จนตกหลุมพรางฉุยอวี้ทันทีฉุยอวี้หยิบถุงผ้าสีดำออกมา แล้วครอบใส่ศีรษะของฮั่วเทียนเฉิงกระซิบ “ไปเร็ว”ทุกคนไปที่ชายฝั่งเป่ยไห่ ไม่มีใครสนใจเหลาสุราเล็กๆ แห่งนี้ ทั้งสองใช้ท่าร่างเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้ากลับไปที่สำนักเซียวเหยาศิษย์ทั้งหมดถูกส่งออกรับมือพวกตงหลิว นอกเหนือจากทั้งสามคนแล้ว คนเดียวที่เหลืออยู่ในสำนักเซียวเหยาคือฉางเฮิ่นเทียนที่ถูกจี้สกัดจุดมองดูฮั่วเทียนเฉิงที่ถูกโยนลงพื้น เฟิงเอ้อร์เหนียงขมวดคิ้วและถามว่า “ควรทำอย่างไรต่อไปดี เราจะจากไปแบบนี้หรือ เจ้าจะพาคนไปช่วยพี่หญิงใหญ่ที่ตำหนักเทพไม่ใช่หรือ จะปล่อยไปทั้งแบบนี้งั้นหรือ”ฉุยอวี้พูดด้วยสีหน้าสงบ “ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ต้องส่งพวกเขาทั้งสองกลับไปที่ตำหนักเทพก่อน ถ้าฮั่วเทียนเฉิงฟื้นขึ้นมา ต้องออกจากภูเขามาตามหาเราอย่างแน่นอน สามารถยืดเวลาที่เขาจะตามหาตัวชิงเสวี
อินชิงเสวียนพยักหน้า โบกมือเรียกพิณการเวกออกมา และนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินขนาดใหญ่เย่จิ่งอวี้ก็ชักกระบี่ยาวออกมา เพื่อคุ้มกันอินชิงเสวียนตามการกรีดกรายปลายนิ้ว โน้ตเสียงแผ่วต่ำและไพเราะก็ดังออกมาจากพิณการเวกการต่อสู้ในสนามดุเดือดเลือดพล่าน ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันตลอดเวลา ทุกคนคิดแต่จะสังหารอีกฝ่าย ไม่มีใครได้ยินเสียงพิณนี่เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ชาวตงหลิวตั้งใจสู้จนตัวตาย ท่าทางองอาจห้าวหาญโดยธรรมชาติเช่นเดียวกับบรรดาศิษย์ทุกคนในสำนัก ทุกครั้งที่รับศิษย์เข้าสำนัก ทุกคนจะได้รับแจ้งว่าจะมีการต่อสู้เช่นครั้งนี้ ทุกคนภาคภูมิใจที่ได้ต่อสู้กับตงหลิวและปกป้องบ้านเมือง เมื่อเผชิญหน้ากับคนตงหลิวมากมายเพียงนี้ พวกเขาไม่เกรงกลัวเลยสักนิด กลับยิ่งปลุกเร้าความรักแว่นแคว้นขึ้นด้วยซ้ำเมื่อมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทรหดและไม่หวาดหวั่น อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลือดร้อนเดือดพล่าน ความกล้าหาญทะลุปรอท ที่นี่คือต้าโจว ยังเป็นบ้านที่นางจะอยู่ในบั้นปลายชีวิต ย่อมไม่ยอมให้คนอื่นมาเหยียบย่ำเด็ดขาดทันใดนั้นเสียงพิณก็ดังขึ้น ปราณกระบี่ไร้รูปจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอ
อ๋องโมริตะไม่เห็นเย่จิ่งอวี้อยู่ในสายตา หากผู้ลงมือคือเจ้าสำนักเซี่ยว เขาอาจมีท่าทีระแวดระวังอยู่ ทว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้านั้นอายุเพียงยี่สิบ อย่างมากก็เป็นเพียงศิษย์หัวกะทิเท่านั้นเขายิ้มเยาะ ยกดาบใบกว้างขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างพูดด้วยภาษาต้าโจวแปร่งๆ ว่า “เจ้าหนูอย่าหยิ่งผยองนัก รับท่านี้ของข้าดู”“ตายซะ!”คมกระบี่แผดเสียงมังกรคำราม เสียงกังวานนั้นคล้ายจะเป็นแก่นแท้ จู่ๆ อ๋องโมริตะก็ใจเต้นแรงเจ้าเด็กเปรตนี่ มีความสามารถจริงๆขณะที่ความคิดเปลี่ยนไป อาวุธของทั้งสองคนก็ปะทะกันแล้วด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง ดาบของอ๋องโมริตะก็ถูกตัดขาดครึ่ง เหลือเพียงด้ามจับเท่านั้น ก่อนที่เขาจะทันได้โต้ตอบ ก็รู้สึกเสียวคอวาบ“ท่านอ๋องระวัง!”ดาวกระจายถูกขว้างมาแต่ไกล แม่ทัพสองคนที่จงรักภักดีต่อตระกูลโมริตะก็มาถึงแล้วอ๋องโมริตะถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว มีรอยเลือดซิบๆ ที่คอของเขา เจ็บปวดสะท้านทรวงเขาถ่มน้ำลายพลางก่นด่าไม่หยุด “ตายซะ ตายซะ!”คมกระบี่วาววับ ดาวกระจายทั้งสองก็ถูกสับขาดครึ่ง ชิ้นส่วนลอยลิ่วตรงไปยังแม่ทัพตงหลิวทั้งสองคนทั้งสองรีบหลบ ใจหายวาบทำไมถึงรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของจอมยุทธ
สิ่งที่ทุกคนกำลังแข่งขันกันไม่ใช่พลังโจมตีของเครื่องดนตรีอีกต่อไป ตอนนี้ใครเสียงดังที่สุดก็มีสามารถข่มขู่ได้ภายใต้เสียงสูงต่ำของกลองไทโกะและขลุ่ยชาคุฮาจิ เสียงกู่พิณอันทุ้มลึกของอินชิงเสวียนก็ถูกกลบจนมิดทันทีแม้ว่าซื่อเมี่ยวอินจะพยายามบรรเลงอยู่เบื้องหลังจนสุดกำลัง แต่ก็ได้ผลเพียงเล็กน้อยเพลงที่วุ่นวายทั้งสองด้านเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกกระสับกระส่าย มีเสียงดังหึ่งๆ ขึ้นในหูเย่จิ่งอวี้กำลังต่อสู้กับแม่ทัพตงหลิวสองคน ไม่มีเวลามาช่วยนางเจ้าสำนักเซี่ยวและผู้อาวุโสสวีก็ถูกรายล้อมไปด้วยคนระดับหัวกะทิของตงหลิว ชาวตงหลิวทำสงครามกับเป่ยไห่มาหลายปีแล้ว ย่อมไม่อาจมองข้ามยอดฝีมือเช่นพวกเขาได้ตอนนี้ถ้าต้องการทำลายสถานการณ์นี้ อินชิงเสวียนก็ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้นในเวลานี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกกลุ้มใจเดิมทีคิดว่าศึกคราวนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องดนตรีในหมู่ชาวตงหลิว ถึงขั้นขนกลองไทโกะเข้ามาในสนามรบด้วยช่างมั่วซั่วสิ้นดีเมื่อคิดถึงคำว่า “มั่วซั่ว” ดวงตาของอินชิงเสวียนก็เป็นประกายขึ้นในเมื่อพวกเขากำลังเล่นกลสกปรก เช่นน
ชาวตงหลิวก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่มันอะไรกัน ไม่ใช่แค่เสียงดังกว่าพวกเขา แต่ยังกลบเสียงกลองของพวกเขาจนมิดเพื่อที่จะกลบเสียงของอินชิงเสวียน ทั้งหมดพยายามออกแรงเป่าอย่างเต็มที่ แต่ไม่ว่ากำลังภายในจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะตู้ลำโพงได้ ซึ่งอินชิงเสวียนสามารถครอบงำผู้ฟังได้อย่างง่ายดายในไม่ช้านางก็ค้นพบสิ่งอื่น แม้ว่านางจะไม่ได้ใช้พิณการเวก แม้จะไม่ได้เล่นเพลงหมื่นกระบี่เศษดารา แต่เสียงดนตรีของนางยังคงมีความสามารถในการโจมตีถึงขั้นที่ว่ารู้สึกถึงลมปราณไร้รูปที่ลอยออกมาจากช่องเสียงของปี่ปากใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง แผ่รังสีไปยังคนตงหลิวในสนามรบผ่านความคิดของนางคนตงหลิวหลายคนที่เล่นดนตรีเบื้องหน้าก็ค้นพบว่าปี่ปากใหญ่สามารถโจมตีได้ ต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจแม่หนูนี่อายุยังน้อย แต่ไต่ขึ้นไปถึงระดับสูงในการใช้เครื่องดนตรีแล้ว หากนางมีความสามารถนี้จริงๆ ไม่ว่าพิณการเวกจะถูกทำลายหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรต่างกันเกรงว่าถึงเด็ดดอกไม้ใบหญ้าก็สามารถเป่าเป็นเสียงเพลงได้ เมื่อเทียบกับตาเฒ่าเซี่ยวคนนั้น เด็กสาวผู้แสนงดงามที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงเพื่อกลบเสียงของอินชิงเสวี
ทันใดนั้นอ๋องโมริตะก็แสดงสีหน้ายินดี เพิ่มกำลังภายในแล้วตะโกนว่า “ตั้งค่ายกล ฆ่าให้เรียบ!”ชาวตงหลิวต่างคุ้มกันซึ่งกันและกันทันที ทั้งหมดวิ่งไปหาอ๋องโมริตะเย่จิ่งอวี้เมื่อเห็นสองคนนั้นกำลังจะไป เขาก็ตะโกนลั่น รวบรวมพลังปราณไว้ในมือขวา ชักกระบี่ยาวออกมา และโจมตีที่ด้านหลังหัวใจของหนึ่งในนั้นคนผู้นั้นร้องครวญคราง กระอักเลือดและทรุดลงกับพื้น ส่วนอีกคนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็รีบคว้าชาวตงหลิวคนนั้นไว้เป็นเกราะกำบังตัว แล้วกลืนเข้าในฝูงชนเย่จิ่งอวี้ไม่ได้ไล่ตาม แต่มาอยู่ข้างๆ อินชิงเสวียน“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ข้าไม่เป็นไร พวกเขาจะทำอะไรกันน่ะ”อินชิงเสวียนทอดสายตามองออกไปเย่จิ่งอวี้มองตามสายตาของนาง เมื่อเห็นคนตงหลิวทั้งหมดมารวมตัวกันก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้“ดูเหมือนกำลังจะตั้งค่ายกลเลย ท่านตากับผู้อาวุโสสวีนำเจ้าสำนักไปแล้ว คงไม่ยอมให้พวกเขาประสบความสำเร็จแน่”“อืม พวกเขาคิดจะตั้งค่ายกลในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่ เราต้องป้องกันไว้ก่อน”ในขณะที่พูด อินชิงเสวียนก็เห็นศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนถูกหามกลับไป จึงรีบคว้าตะกร้าขวดน้ำพุวิญญาณที่บรรจุไว
เมื่อศิษย์ทุกคนเห็นว่าเจ้าสำนักและผู้อาวุโสนำไปก่อนแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นตาม และถือกระบี่ปรี่เข้าใส่พวกตงหลิวในเป่ยไห่มีหลากหลายสำนัก มีทั้งสำนักน้อยใหญ่ต่างๆ รวมถึงผู้จอมยุทธ์พเนจรก็มีไม่น้อย เจ้าสำนักเซี่ยวจึงไม่สามารถหยุดคนจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน รูปแบบค่ายกลของคนตงหลิวก็เปลี่ยนไป คนที่อยู่ตรงกลางก็แยกออกมาอย่างรวดเร็ว ทุกๆ ยี่สิบสี่คนจะรวมกลุ่มเป็นขบวนเล็กๆ แยกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขยายออกไปแปดทิศ แต่ละจัตุรัสจะประกอบรูปร่างเป็นขีดยาวสามแถวที่มีความยาวต่างกัน บ้างก็เสมอเป็นแนวเดียวกัน บ้างก็ขาดช่อง และวงกลมด้านนอกสุดเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ล้อมรอบรูปแปดเหลี่ยมด้านเท่าไว้ตรงกลางตำแหน่งที่ตรงกลางคดเคี้ยวยาวเหยียดเป็นกำแพงมนุษย์ลักษณะคล้ายงู ในขณะที่ค่ายกลจัตุรัสหมุนวน ค่ายกลงูยาวก็บิดหมุนเปลี่ยนตามไป ทำให้คาดเดากลไกไม่ได้ผู้อาวุโสสวีและคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมต่อสู้กับคนตงหลิวแล้ว รู้สึกได้ว่าพวกตงหลิวเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา แต่มองไม่เห็นว่าคนเหล่านี้ต้องการทำอะไร และไม่มีเวลาคิดให้ละเอียด ทำได้เพียงหวังว่าจะสังหารผีแคระตงหลิวเหล่านั้นให้มากที่สุด เพื่อช่วงชิงโอกาสให้กับลูกศิษย์ส่วน
“นี่คือ...ค่ายกลแปดทิศ?”เย่จิ่งอวี้ทอดสายตามองออกไป เมื่อเห็นรูปอักขระในสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหล่านั้น เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นในราชวงศ์มีตำราสะสมนับพัน เย่จิ่งอวี้จึงพอรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่ก็แค่พอรู้เท่านั้นเฮ่ออวิ๋นทงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม“ค่ายกลนี้สร้างขึ้นจากรูปยันต์แปดทิศ โดยสิ่งที่ให้ความสำคัญคือ ฟ้าลิขิต ดินอำนวย คนสามัคคี โดยอิงจากฤกษ์ยามที่ต่างกัน และจะเปลี่ยนตำแหน่งของทั้งแปดทิศ ทั้งยังแบ่งออกเป็นหยินหยางสองตำแหน่ง ที่มีความสามารถทั้งตั้งรับและโจมตีได้พร้อมกัน”เขาหยุดชั่วครู่และพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าคนตงหลิวจะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ด้วย ตอนนั้นใครกันนะที่เป็นคนเนรเทศพวกเขาไปที่เกาะตงหลิว เป็นปริศนาที่ไม่คลี่คลายจริงๆ”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “จะสนใจไปไยว่าใครเป็นผู้เนรเทศ ในเมื่อถูกขับออกจากจงหยวน ก็พิสูจน์ได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนดี หากพวกเขายึดครองเป่ยไห่ ต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่ๆ”เฮ่ออวิ๋นทงลูบเคราแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ เก่อหงยวนพวกนางเหมือนจะได้ร