เย่จิ่งอวี้ตัวแข็งทื่อนี่คือเสียงของอาจารย์งั้นหรือเขารู้แล้วว่าอาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาในวังวันนั้นคือตู้เยี่ยน คุณชายขลุ่ยหยกของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ผู้มีชื่อเสียงเย่จิ่งอวี้เคยถามเจ้าสำนักเซี่ยวหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงมากกว่านี้ บอกแค่ว่าเขาตายแล้วเท่านั้นท่านแม่ข้าก็เก็บงำความลับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ได้ยินเสียงจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจเสียงเหมือนยุงที่อยู่ใกล้หู ไม่ดัง แต่ชัดเจนมาก“เจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมอาจารย์จึงออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”เย่จิ่งอวี้สะกดลมหายใจทันที รีบหันไปมองไปรอบๆ ตัว แต่ไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของคนแปลกหน้าเสียงนั้นพูดอีกครั้ง “ถ้าต้องการพบอาจารย์ ให้มาที่ป่าไผ่ด้านเหนือของเมือง”ในเวลานี้ ประตูก็เปิดออกอินชิงเสวียนเดินออกจากห้อง เห็นเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ที่ประตู จึงพูดอย่างงอนๆ “หรือว่าที่ท่านดื่มมากเกินไป จนจำห้องของตัวเองไม่ได้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังจะเข้าไป ทำไมเสวียนเอ๋อร์ยังไม่หลับอีกล่ะ หรือรอให้ข้าเล่านิทานให้ฟัง”ใบหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย และนางก็ถ่มน้ำลาย “ใครอยากฟังนิทานข
หลังจากผ่านไปสามสิบนาที เย่จิ่งอวี้ก็มาถึงป่าไผ่ทางตอนเหนือของเมืองป่าแห่งนี้เงียบสงบ ยกเว้นจะมีเสียงใบไผ่ที่ปลิวตามแรงลมเย่จิ่งอวี้หยุดอยู่ที่ชายป่า ลมปราณอยู่ในจุดตันเถียน ตะโกนไปที่ป่า “มีใครอยู่หรือไม่”เสียงนั้นถูกกระตุ้นด้วยกำลังภายใน เป็นเหมือนระลอกคลื่นที่กลิ้งไปตามป่าไผ่เสียงหัวเราะดังมาจากป่า“ไม่ได้เจอกันหลายปี กำลังภายในของฝ่าบาทก้าวหน้าขึ้นมากขนาดนี้ อาจารย์ยินดีจริงๆ”เมื่อฟังเสียงที่คุ้นเคยนี้ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น“อาจารย์ เป็นท่านจริงๆ!”ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับหาคนมาเติมเต็มวังหลัง จนหวนไท่เฟยหมดความโปรดปรานภายในสองปีหลังให้กำเนิดเย่จิ่งอวี้เสด็จแม่ไม่ได้รับความโปรดปราน เป็นเรื่องยากสำหรับลูกชายที่จะทำให้ฮ่องเต้พอใจบางทีมันอาจจะเป็นเพราะการขาดความรักของพ่อ ถึงทำให้เย่จิ่งอวี้เอาความรู้สึกไปใช้กับตู้เยี่ยน มักจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาเย่จิ่งอวี้รู้สึกภูมิใจที่รู้ว่าอาจารย์ของเขาคือคุณชายขลุ่ยหยกผู้เลื่องชื่อ แต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว คนในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ต่างไม่ปริปากเล่าถึงสาเหตุการตายของเขา แ
กลิ่นอายในอากาศก็เปลี่ยนไปในเวลานี้ ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็โชยออกมาจากลมทะเลยามค่ำคืน ทำให้รู้สึกพะอืดพะอมอยากอาเจียน แต่เย่จิ่งอวี้ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ก็การปรับตัวเข้ากับกลิ่นชนิดนี้ได้ และยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูกเขาหลับตา สูดดมกลิ่นในอากาศที่ทำให้มึนเมา พึมพำไม่ขาดปาก “เลือด ขอเลือดให้ข้า”ลึกเข้าไปในป่าไผ่ ร่างผอมบางถือขลุ่ยหยกอยู่ในมือ เขม็งมองเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตาใบหน้าของเขาซูบตอบเห็นกระดูก ลักษณะน่ากลัว ทั้งร่างกายเหมือนกิ่งไม้แห้ง ไม่มีเลือดเนื้อ นิ้วที่ลีบมีแต่หนังหุ้มกระดูกเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่นั้นเปรียบเสมือนผ้าสีดำห่อหุ้มร่างกายที่ผอมแห้งของเขา เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่จมลึกคู่หนึ่งเท่านั้นความสงสัยของเจ้าสำนักเซี่ยวไม่ผิด ชายตรงหน้าเขาที่ดูเหมือนผีไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตู้เยี่ยน อดีตศิษย์สำนักของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์หลายปีก่อน ตู้เยี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าสำนักเซี่ยว เดิมทีเขาต้องการอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์อย่างวางใจ แต่เจ้าสำนักเซี่ยวนั้นลำเอียงเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่สอนพลังภายในชั้นสูงของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธ
รอยยิ้มอันลำพองใจปรากฏบนริมฝีปากของตู้เยี่ยนในเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเย่จิ่งอวี้ที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ จู่ๆ ก็กระโดดขึ้น ซักฝ่ามือตบข้อมือของตู้เยี่ยน เรียวตาหงส์สุกใสราวกับน้ำ ไม่มีวี่แววแห่งความบ้าคลั่งเลย“ที่แท้ เจ้าคือตู้เยี่ยน!”เย่จิ่งอวี้แสดงสีหน้าตกใจและโกรธเคือง เขาไม่เคยคาดคิดว่าชายชุดดำที่ล่อลวงเขามาหลายวันจะเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือมาโดยตลอด!ใบหน้าของตู้เยี่ยนเปลี่ยนไปทันที“เจ้า...เป็นไปได้อย่างไร”เมื่อใดที่ทำการปลูกฝังโลหิต ก็จะแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดเส้นลมปราณ แม้แต่เจ้าสำนักเซี่ยว ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เย่จิ่งอวี้จะชัดแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรเย่จิ่งอวี้แค่ยเสียงหึอย่างเย็นชา“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ และกวาดสกัดเท้าใส่ตู้เยี่ยนลมแรงพัดหวีดหวิวอยู่ในหู ตู้เยี่ยนไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง เหาะถอยออกไปไกลจากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “อย่างเจ้ารึ ต้องการต่อสู้กับข้า อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า”“ถ้างั้นก็ลองดู ว่าใครเป็นอูฐใครเป็นม้า!”เย่จิ่งอวี้ใช้นิ้วต่างดาบ จี้ตรงไปยังจุดสำ
เย่จิ่งอวี้ไล่ตามไปสองก้าว แล้วก็หยุดคนที่มามีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดา ย่อมต้องมีวรยุทธ์ล้ำเลิศอยู่แล้ว เป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับตู้เยี่ยนแค่คนเดียวอยู่แล้ว ถ้ามีอีกคนมาเพิ่ม โอกาสที่จะชนะก็ยังมีน้อยมากแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ตู้เยี่ยนหนีไปได้ แต่โชคดีที่เขาค้นพบตัวตนของเขาได้ ดังนั้นจึงไม่ไร้ประโยชน์เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ใช้วิชาตัวเบากลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์การนั่งเงียบๆ ข้างน้ำพุวิญญาณในช่วงที่ผ่านมา ได้พัฒนาอุปนิสัยของเขาอย่างมาก ทำให้ความตั้งใจแน่วแน่ แน่นอนว่าความช่วยเหลือที่ใหญ่ที่สุดคือหยกเย็นชิ้นนี้ของเสวียนเอ๋อร์ ซึ่งทำให้เขาสามารถรักษาความประจักษ์ชัดแจ้งไว้ได้ตลอดเมื่อมาถึงป่าไผ่ เขามีความสุขมากจริงๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ย เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติตู้เยี่ยนสอนวรยุทธ์ให้เขามาหลายปี แต่ไม่เคยเล่นดนตรีให้เขาฟังเลย การหลีกเลี่ยงไม่ยอมพบหน้าของเขา ยิ่งทำให้เย่จิ่งอวี้เคลือบแคลงสงสัยซึ่งก็เป็นอย่างที่คาด เสียงขลุ่ยเปลี่ยนไปในไม่ช้า เย่จิ่งอวี้ก็แสร้งทำเป็นว่าสูญเสียการควบคุม ก็เพื่ออยากเห็นว่าคนที่อยู่ในป่าคือตู้เยี่ยนจร
โมริตะคาวาสึบาเมะไม่คาดคิดว่าตู้เยี่ยนจะลงมือโจมตีตัวเอง แม้ว่าเขาจะหลบได้เร็วพอ แต่ก็ยังถูกวิชาฝ่ามือของตู้เยี่ยนเข้าจนได้ตู้เยี่ยนกลับสับขาหลอก ใช้โอกาสนี้หลบหนีเส้นทางบนภูเขานั้นขรุขระและซับซ้อน โมริตะคาวาสึบาเมะก็ไม่กล้าตามไปอย่างหุนหันพลันแล่น ได้แต่ก่นด่าด้วยความโกรธ“บากะ เศษสวะไม่รู้ชั่วดี!”คราวหน้าถ้าเจออีก จะบดขยี้เขาเป็นชิ้นๆโมริตะคาวาสึบาเมะสาปแช่งอีกหลายคำ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนในเมื่อไม่สามารถดึงมาเป็นพวกได้ จึงทำได้เพียงดำเนินการตามแผนเดิม ไปเยี่ยมหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์พร้อมเทียบเชิญในเช้าวันพรุ่งนี้ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้ก็นอนอยู่ข้างๆ ตัวเองแล้วเขาหันข้าง คิ้วรูปดาบขมวดมุ่นเล็กน้อย จนคิ้วแทบจะชนกัน แสงแดดยามเช้าสะท้อนเป็นวงเล็กๆบนใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา ทำให้โครงหน้าหล่อเหลาลุ่มลึกอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกมา แตะคิ้วของเย่จิ่งอวี้เบาๆ ขนตาของเย่จิ่งอวี้ขยับเล็กน้อย และคิ้วของเขาก็คลายออกอย่างช้าๆเขาอุตส่าห์นอนหลับสนิทขนาดนี้ อินชิงเสวียนไม่ต้องการรบกวนเขา จึงดึงผ้าห่ม
ทั้งสองเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในมิติ เย่จิ่งอวี้คุ้นเคยกับการใช้แปรงสีฟันและยาสีฟันแล้ว มีดโกนก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อออกจากวัง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างสำหรับเย่จิ่งอวี้หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ทั้งสองก็แลกหม้อไฟเล็กๆ ที่ทำความร้อนได้เองมาสองหม้อ และแลกเครื่องเคียงจากร้านค้าสะสมคะแนน ไปปรุงกินอย่างง่ายๆ บนพื้นหญ้าเมื่อออกมา ฮวาเชียนและลูกศิษย์คนอื่นต่างก็ยุ่งกันอยู่“มีคนมาเยี่ยมหรือ”อินชิงเสวียนเข้าไปช่วย แล้วถือโอกาสถามระหว่างที่เดินฮวาเชียนยิ้มกล่าวว่า “เป็นศิษย์ที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนเก่าของเจ้าสำนัก ไม่มีที่พัก จึงมาอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”ขณะที่กำลังพูด โมริตะคาวาสึบาเมะก็เดินออกจากห้องข้างๆ “สวัสดีแม่นางฮวา ท่านนี้คือ...”ฮวาเชียนแนะนำ “เรียกว่าแม่นางอินก็ได้ นี่คือหลานสะใภ้ของเจ้าสำนักเซี่ยว นี่คือศิษย์ของนักพรตเทียนจี เถียนเซินหลิน”“สวัสดีจอมยุทธ์เถียน”อินชิงเสวียนมองประเมินแวบหนึ่ง แล้วถอนสายตาคืนดวงตาของโมริตะคาวาสึบาเมะกวาดมองทั่วตัวอินชิงเสวียน ผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กบ้านั่นที่สามารถเล่นพิณการเวกได้ ถ้าไม่สามารถทำลายพิณได้ เช่นนั
เย่จิ่งหลานรีบไปชายหาด ไม่สนใจสีหน้าของหวังซุ่นสิบห้านาทีต่อมา ทั้งสองก็มาถึงชายหาดเมื่อมองดูสิ่งของขนาดใหญ่ที่นอนอยู่บนท่าเรือ โมริตะคาวาสึบาเมะก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอดหากสามารถสร้างเรือขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ การบรรทุกคนหลายร้อยคนก็ไม่ใช่ปัญหาโชคดีที่เขามาที่เป่ยไห่ หากปล่อยให้พวกเขาสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาอาจจะโจมตีเกาะตงหลิวได้ในคราวเดียวชาวจงหยวนเหล่านี้ จะมองข้ามง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาดอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ คนที่ต่อเรือเป็นเด็กเปรตนี่ที่อยู่ตรงหน้าเขาจริงๆไม่คาดคิดว่าเขามีที่อายุยังน้อย จะมีความสามารถเพียงนี้ ถ้าโตขึ้น จะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมากอย่างแน่นอนเมื่อมองไปที่เย่จิ่งหลานซึ่งเป็นผู้คุมงานก่อสร้าง ดวงตาของโมริตะคาวาสึบาเมะก็เป็นประกายเยือกเย็นเย่จิ่งหลานดูเหมือนจะรู้สึกได้ เขามองย้อนกลับไปก็เห็นพวกเขากำลังช่วยขนของ จึงหันความสนใจไปที่แบบแปลนอีกครั้งวันทั้งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตา พระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้วเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้เป็นตรุษจีน เย่จิ่งหลานก็แจ้งให้ทุกคนเลิกงานเร็ว รอวันตรุษจีนพรุ่งนี้จากน
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ