เย่จิ่งอวี้ตัวแข็งทื่อนี่คือเสียงของอาจารย์งั้นหรือเขารู้แล้วว่าอาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาในวังวันนั้นคือตู้เยี่ยน คุณชายขลุ่ยหยกของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ผู้มีชื่อเสียงเย่จิ่งอวี้เคยถามเจ้าสำนักเซี่ยวหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงมากกว่านี้ บอกแค่ว่าเขาตายแล้วเท่านั้นท่านแม่ข้าก็เก็บงำความลับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ได้ยินเสียงจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจเสียงเหมือนยุงที่อยู่ใกล้หู ไม่ดัง แต่ชัดเจนมาก“เจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมอาจารย์จึงออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”เย่จิ่งอวี้สะกดลมหายใจทันที รีบหันไปมองไปรอบๆ ตัว แต่ไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของคนแปลกหน้าเสียงนั้นพูดอีกครั้ง “ถ้าต้องการพบอาจารย์ ให้มาที่ป่าไผ่ด้านเหนือของเมือง”ในเวลานี้ ประตูก็เปิดออกอินชิงเสวียนเดินออกจากห้อง เห็นเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ที่ประตู จึงพูดอย่างงอนๆ “หรือว่าที่ท่านดื่มมากเกินไป จนจำห้องของตัวเองไม่ได้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังจะเข้าไป ทำไมเสวียนเอ๋อร์ยังไม่หลับอีกล่ะ หรือรอให้ข้าเล่านิทานให้ฟัง”ใบหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย และนางก็ถ่มน้ำลาย “ใครอยากฟังนิทานข
หลังจากผ่านไปสามสิบนาที เย่จิ่งอวี้ก็มาถึงป่าไผ่ทางตอนเหนือของเมืองป่าแห่งนี้เงียบสงบ ยกเว้นจะมีเสียงใบไผ่ที่ปลิวตามแรงลมเย่จิ่งอวี้หยุดอยู่ที่ชายป่า ลมปราณอยู่ในจุดตันเถียน ตะโกนไปที่ป่า “มีใครอยู่หรือไม่”เสียงนั้นถูกกระตุ้นด้วยกำลังภายใน เป็นเหมือนระลอกคลื่นที่กลิ้งไปตามป่าไผ่เสียงหัวเราะดังมาจากป่า“ไม่ได้เจอกันหลายปี กำลังภายในของฝ่าบาทก้าวหน้าขึ้นมากขนาดนี้ อาจารย์ยินดีจริงๆ”เมื่อฟังเสียงที่คุ้นเคยนี้ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น“อาจารย์ เป็นท่านจริงๆ!”ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับหาคนมาเติมเต็มวังหลัง จนหวนไท่เฟยหมดความโปรดปรานภายในสองปีหลังให้กำเนิดเย่จิ่งอวี้เสด็จแม่ไม่ได้รับความโปรดปราน เป็นเรื่องยากสำหรับลูกชายที่จะทำให้ฮ่องเต้พอใจบางทีมันอาจจะเป็นเพราะการขาดความรักของพ่อ ถึงทำให้เย่จิ่งอวี้เอาความรู้สึกไปใช้กับตู้เยี่ยน มักจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาเย่จิ่งอวี้รู้สึกภูมิใจที่รู้ว่าอาจารย์ของเขาคือคุณชายขลุ่ยหยกผู้เลื่องชื่อ แต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว คนในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ต่างไม่ปริปากเล่าถึงสาเหตุการตายของเขา แ
กลิ่นอายในอากาศก็เปลี่ยนไปในเวลานี้ ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็โชยออกมาจากลมทะเลยามค่ำคืน ทำให้รู้สึกพะอืดพะอมอยากอาเจียน แต่เย่จิ่งอวี้ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ก็การปรับตัวเข้ากับกลิ่นชนิดนี้ได้ และยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูกเขาหลับตา สูดดมกลิ่นในอากาศที่ทำให้มึนเมา พึมพำไม่ขาดปาก “เลือด ขอเลือดให้ข้า”ลึกเข้าไปในป่าไผ่ ร่างผอมบางถือขลุ่ยหยกอยู่ในมือ เขม็งมองเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตาใบหน้าของเขาซูบตอบเห็นกระดูก ลักษณะน่ากลัว ทั้งร่างกายเหมือนกิ่งไม้แห้ง ไม่มีเลือดเนื้อ นิ้วที่ลีบมีแต่หนังหุ้มกระดูกเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่นั้นเปรียบเสมือนผ้าสีดำห่อหุ้มร่างกายที่ผอมแห้งของเขา เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่จมลึกคู่หนึ่งเท่านั้นความสงสัยของเจ้าสำนักเซี่ยวไม่ผิด ชายตรงหน้าเขาที่ดูเหมือนผีไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตู้เยี่ยน อดีตศิษย์สำนักของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์หลายปีก่อน ตู้เยี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าสำนักเซี่ยว เดิมทีเขาต้องการอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์อย่างวางใจ แต่เจ้าสำนักเซี่ยวนั้นลำเอียงเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่สอนพลังภายในชั้นสูงของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธ
รอยยิ้มอันลำพองใจปรากฏบนริมฝีปากของตู้เยี่ยนในเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเย่จิ่งอวี้ที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ จู่ๆ ก็กระโดดขึ้น ซักฝ่ามือตบข้อมือของตู้เยี่ยน เรียวตาหงส์สุกใสราวกับน้ำ ไม่มีวี่แววแห่งความบ้าคลั่งเลย“ที่แท้ เจ้าคือตู้เยี่ยน!”เย่จิ่งอวี้แสดงสีหน้าตกใจและโกรธเคือง เขาไม่เคยคาดคิดว่าชายชุดดำที่ล่อลวงเขามาหลายวันจะเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือมาโดยตลอด!ใบหน้าของตู้เยี่ยนเปลี่ยนไปทันที“เจ้า...เป็นไปได้อย่างไร”เมื่อใดที่ทำการปลูกฝังโลหิต ก็จะแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดเส้นลมปราณ แม้แต่เจ้าสำนักเซี่ยว ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เย่จิ่งอวี้จะชัดแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรเย่จิ่งอวี้แค่ยเสียงหึอย่างเย็นชา“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ และกวาดสกัดเท้าใส่ตู้เยี่ยนลมแรงพัดหวีดหวิวอยู่ในหู ตู้เยี่ยนไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง เหาะถอยออกไปไกลจากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “อย่างเจ้ารึ ต้องการต่อสู้กับข้า อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า”“ถ้างั้นก็ลองดู ว่าใครเป็นอูฐใครเป็นม้า!”เย่จิ่งอวี้ใช้นิ้วต่างดาบ จี้ตรงไปยังจุดสำ
เย่จิ่งอวี้ไล่ตามไปสองก้าว แล้วก็หยุดคนที่มามีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดา ย่อมต้องมีวรยุทธ์ล้ำเลิศอยู่แล้ว เป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับตู้เยี่ยนแค่คนเดียวอยู่แล้ว ถ้ามีอีกคนมาเพิ่ม โอกาสที่จะชนะก็ยังมีน้อยมากแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ตู้เยี่ยนหนีไปได้ แต่โชคดีที่เขาค้นพบตัวตนของเขาได้ ดังนั้นจึงไม่ไร้ประโยชน์เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ใช้วิชาตัวเบากลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์การนั่งเงียบๆ ข้างน้ำพุวิญญาณในช่วงที่ผ่านมา ได้พัฒนาอุปนิสัยของเขาอย่างมาก ทำให้ความตั้งใจแน่วแน่ แน่นอนว่าความช่วยเหลือที่ใหญ่ที่สุดคือหยกเย็นชิ้นนี้ของเสวียนเอ๋อร์ ซึ่งทำให้เขาสามารถรักษาความประจักษ์ชัดแจ้งไว้ได้ตลอดเมื่อมาถึงป่าไผ่ เขามีความสุขมากจริงๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ย เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติตู้เยี่ยนสอนวรยุทธ์ให้เขามาหลายปี แต่ไม่เคยเล่นดนตรีให้เขาฟังเลย การหลีกเลี่ยงไม่ยอมพบหน้าของเขา ยิ่งทำให้เย่จิ่งอวี้เคลือบแคลงสงสัยซึ่งก็เป็นอย่างที่คาด เสียงขลุ่ยเปลี่ยนไปในไม่ช้า เย่จิ่งอวี้ก็แสร้งทำเป็นว่าสูญเสียการควบคุม ก็เพื่ออยากเห็นว่าคนที่อยู่ในป่าคือตู้เยี่ยนจร
โมริตะคาวาสึบาเมะไม่คาดคิดว่าตู้เยี่ยนจะลงมือโจมตีตัวเอง แม้ว่าเขาจะหลบได้เร็วพอ แต่ก็ยังถูกวิชาฝ่ามือของตู้เยี่ยนเข้าจนได้ตู้เยี่ยนกลับสับขาหลอก ใช้โอกาสนี้หลบหนีเส้นทางบนภูเขานั้นขรุขระและซับซ้อน โมริตะคาวาสึบาเมะก็ไม่กล้าตามไปอย่างหุนหันพลันแล่น ได้แต่ก่นด่าด้วยความโกรธ“บากะ เศษสวะไม่รู้ชั่วดี!”คราวหน้าถ้าเจออีก จะบดขยี้เขาเป็นชิ้นๆโมริตะคาวาสึบาเมะสาปแช่งอีกหลายคำ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนในเมื่อไม่สามารถดึงมาเป็นพวกได้ จึงทำได้เพียงดำเนินการตามแผนเดิม ไปเยี่ยมหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์พร้อมเทียบเชิญในเช้าวันพรุ่งนี้ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้ก็นอนอยู่ข้างๆ ตัวเองแล้วเขาหันข้าง คิ้วรูปดาบขมวดมุ่นเล็กน้อย จนคิ้วแทบจะชนกัน แสงแดดยามเช้าสะท้อนเป็นวงเล็กๆบนใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา ทำให้โครงหน้าหล่อเหลาลุ่มลึกอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกมา แตะคิ้วของเย่จิ่งอวี้เบาๆ ขนตาของเย่จิ่งอวี้ขยับเล็กน้อย และคิ้วของเขาก็คลายออกอย่างช้าๆเขาอุตส่าห์นอนหลับสนิทขนาดนี้ อินชิงเสวียนไม่ต้องการรบกวนเขา จึงดึงผ้าห่ม
ทั้งสองเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในมิติ เย่จิ่งอวี้คุ้นเคยกับการใช้แปรงสีฟันและยาสีฟันแล้ว มีดโกนก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อออกจากวัง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างสำหรับเย่จิ่งอวี้หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ทั้งสองก็แลกหม้อไฟเล็กๆ ที่ทำความร้อนได้เองมาสองหม้อ และแลกเครื่องเคียงจากร้านค้าสะสมคะแนน ไปปรุงกินอย่างง่ายๆ บนพื้นหญ้าเมื่อออกมา ฮวาเชียนและลูกศิษย์คนอื่นต่างก็ยุ่งกันอยู่“มีคนมาเยี่ยมหรือ”อินชิงเสวียนเข้าไปช่วย แล้วถือโอกาสถามระหว่างที่เดินฮวาเชียนยิ้มกล่าวว่า “เป็นศิษย์ที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนเก่าของเจ้าสำนัก ไม่มีที่พัก จึงมาอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”ขณะที่กำลังพูด โมริตะคาวาสึบาเมะก็เดินออกจากห้องข้างๆ “สวัสดีแม่นางฮวา ท่านนี้คือ...”ฮวาเชียนแนะนำ “เรียกว่าแม่นางอินก็ได้ นี่คือหลานสะใภ้ของเจ้าสำนักเซี่ยว นี่คือศิษย์ของนักพรตเทียนจี เถียนเซินหลิน”“สวัสดีจอมยุทธ์เถียน”อินชิงเสวียนมองประเมินแวบหนึ่ง แล้วถอนสายตาคืนดวงตาของโมริตะคาวาสึบาเมะกวาดมองทั่วตัวอินชิงเสวียน ผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กบ้านั่นที่สามารถเล่นพิณการเวกได้ ถ้าไม่สามารถทำลายพิณได้ เช่นนั
เย่จิ่งหลานรีบไปชายหาด ไม่สนใจสีหน้าของหวังซุ่นสิบห้านาทีต่อมา ทั้งสองก็มาถึงชายหาดเมื่อมองดูสิ่งของขนาดใหญ่ที่นอนอยู่บนท่าเรือ โมริตะคาวาสึบาเมะก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอดหากสามารถสร้างเรือขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ การบรรทุกคนหลายร้อยคนก็ไม่ใช่ปัญหาโชคดีที่เขามาที่เป่ยไห่ หากปล่อยให้พวกเขาสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาอาจจะโจมตีเกาะตงหลิวได้ในคราวเดียวชาวจงหยวนเหล่านี้ จะมองข้ามง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาดอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ คนที่ต่อเรือเป็นเด็กเปรตนี่ที่อยู่ตรงหน้าเขาจริงๆไม่คาดคิดว่าเขามีที่อายุยังน้อย จะมีความสามารถเพียงนี้ ถ้าโตขึ้น จะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมากอย่างแน่นอนเมื่อมองไปที่เย่จิ่งหลานซึ่งเป็นผู้คุมงานก่อสร้าง ดวงตาของโมริตะคาวาสึบาเมะก็เป็นประกายเยือกเย็นเย่จิ่งหลานดูเหมือนจะรู้สึกได้ เขามองย้อนกลับไปก็เห็นพวกเขากำลังช่วยขนของ จึงหันความสนใจไปที่แบบแปลนอีกครั้งวันทั้งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตา พระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้วเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้เป็นตรุษจีน เย่จิ่งหลานก็แจ้งให้ทุกคนเลิกงานเร็ว รอวันตรุษจีนพรุ่งนี้จากน
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี