เป่ยไห่เกิดเรื่องกะทันหัน ทางด้านของอินชิงเสวียนยังคงเพิ่มความเร็วในการเดินทางร่างกายของฮวาเชียนยังไม่ฟื้นตัวดี อินชิงเสวียนจึงให้นางและอวิ๋นฉ่าย รวมทั้งคนอื่นๆ รอในมิติของเย่จิ่งหลานชั่วคราวก่อนการเดินทางที่แสนยาวไกล การนั่งรถม้าไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสี่ยวหนานเฟิงด้วย อินชิงเสวียนไม่สามารถให้ลูกชายร่วมลำบากกันนางได้แน่นอนหวังซุ่นก็ตามเข้าไปอย่างกระฉับกระเฉง เมื่อเห็นผู้หญิงก็ก้าวเท้าไม่ออกเป็นปกติอินชิงเสวียนก็ไม่กังวลว่าเขาจะทําอะไรนอกกรอบ เจ้าหมอนี่มีทักษะศิลปะการต่อสู้ปานกลาง นอกจากความสามารถในการปลอมตัว ก็ไม่มีความสามารถอื่นอีกแล้วเมื่อทุกคนถูกอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว บนรถก็เหลือเพียงอินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานเมื่อเห็นเย่จิ่งหลานหยิบปืนชี้ไปทั่ว อินชิงเสวียนก็ไม่พอใจอย่างน่าประหลาด ก่อนหน้านี้นางประหยัดประหยัดใช้ แทบจะต้องหักครึ่งคะแนนสะสมมาใช้ เพื่อสะสมให้ครบหนึ่งแสน แลกอาวุธปืนและอวดความโก้หรูตอนนี้ความหวังหมดสิ้น จึงใช้เงินตามอำเภอใจและปล่อยเลยตามเลย อยากกินอะไรก็กิน อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน โดยไม่นึกถึงปืนพกอีกแล้วเย่จิ่งหลานจึ
เมื่อเห็นเย่จิ่งหลานออกหน้าท่าทางเกินจริง อินชิงเสวียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “จะทำอะไรได้เล่า ก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้มีชีวิตลำเค็ญเท่านั้น น่าสงสารแต่ข้าที่ยังไม่ได้ทำงานสักวัน กลับต้องมาถูกรถเก๋งชนตาย”เย่จิ่งหลานมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง ปล่อยมือแล้วพูดว่า “หรือ ว่าในโลกนี้จะมีอัจฉริยะจริงๆ?”อินชิงเสวียนพูดอย่างถ่อมตัว “อาจเป็นเพราะการดื่มน้ำพุวิญญาณกระมัง”“ข้าก็ดื่มน้ำพุวิญญาณเหมือนกัน ทำไมถึงไม่ได้ผลแบบนั้น เป็นเพราะเจ้าให้ข้าน้อยเกินไปแน่ๆ อีกเดี๋ยวใส่ไว้ในอ่างอาบน้ำให้ข้าหน่อยนะ ข้าจะแช่ตัวให้หนำใจไปเลย”เย่จิ่งหลานกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหวอินชิงเสวียนด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย“ได้สิ ถึงเติมน้ำให้เจ้าสิบตันก็ไม่มีปัญหา”“ถ้างั้นก็รีบเลย จะรออะไรอีกเล่า”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็เข้าไปในมิติอินชิงเสวียนดูแผนที่คร่าวๆ เพื่อไม่ให้เจ้าม้าเหนื่อยเกินไป พวกนางพักผ่อนในเวลากลางคืน และเดินทางในตอนกลางวันตลอด ตอนนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเป่ยไห่เป็นระยะทางราวๆ หนึ่งวัน ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่คำนวณไว้แต่แรกมาก เมื่อคิดถึงเย่จิ่งอวี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย อิน
ศิษย์ชายคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก พูดอย่างระมัดระวัง “เรียนเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสซูนำคนจำนวนมากมาที่สำนัก บอกว่าขอพบเจ้าสำนักขอรับ”เจ้าสำนักเซี่ยวแค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “ตาแก่นี่ ยังไม่ยอมแพ้อีก คิดจะเอาพิณการเวก ฝันไปเถอะ”เขาสะบัดชายเสื้อคลุม แล้วก้าวอาดๆ ออกจากประตูไปคนที่อยู่นอกประตูยังคงตะโกน หากมีเพียงหนึ่งหรือสองคน พวกเขาคงไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้แน่ เจ้าสำนักเซี่ยวได้รับการยกย่องจากชาวยุทธ์ว่าเป็นปราชญ์แห่งดนตรี เพลงขลุ่ยสามารถทำให้คนร้องขอชีวิตไม่ได้ ร้องขอความตายยิ่งไร้หนทาง ยอดฝีมือเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะกล้าทำให้เขาไม่พอใจแต่พอมีคนมากขึ้น ย่อมไม่เหมือนเดิมแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนจำนวนมากไม่ชอบหน้าเจ้าสำนักเซี่ยว ในเมื่อมีคนเต็มใจออกหน้า ทุกคนจึงอยากมารับส่วนแบ่งกันแม้ว่าจะไม่ได้อะไรเลย แต่การได้ต่อต้านเจ้าสำนักเซี่ยวก็คุ้มค่าที่จะเอาไปคุยโวได้พักหนึ่งขณะที่ฝูงชนกำลังดุเดือดเลือดร้อน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังปัง และทันใดนั้นประตูของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดออกชายชราสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเอามือไพล่หลังเดินออกไปหนวดเคราและเส้นผมของชายคนนี้เป็นสีขาว ดวงตาพยัคฆ์แม้นไม่เ
เย่จิ่งอวี้ประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณมาก เจ้ารู้จักคนที่ชื่อฮวาเชียนหรือไม่”ต่งจื่ออวี๋กล่าวว่า “ข้าพอจะรู้จักแม่นางฮวาอยู่ นางเป็นคนของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ถือว่าคุ้นเคยกันนัก แค่ได้พบหน้าไม่กี่ครั้งเท่านั้น”เย่จิ่งอวี้ตกใจมาก ฮวาเชียนยังไม่ตายจริงๆ ดูเหมือนว่าไทเฮาไม่ได้โกหกเขาเขาระงับความสับสนในดวงตา แล้วถามอีกครั้ง “เจ้ากับฮวาเชียนได้พบปะพูดคุยกันบ้างหรือไม่”ต่งจื่ออวี๋ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “เรื่องนั้นไม่เคยเลย แม้ว่าอาจารย์จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าสำนักเซี่ยว แต่ปกติเรามักจะฝึกฝนวรยุทธ์ในสำนักของใครของมัน ไม่มีการไปมาหาสู่กันเป็นประจำ หากคราวนี้ไม่ได้มาที่เป่ยไห่นี้ เกรงว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันด้วยซ้ำ”ต่งจื่ออวี๋เหลือบมองเย่จิ่งอวี้และถามด้วยความพิศวง “ท่านรู้จักแม่นางฮวาผู้นั้นหรือ”เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “นับว่ารู้จักกันอยู่ ที่ข้ามาเป่ยไห่ครั้งนี้ เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากถามนาง ไม่ทราบว่าน้องชายต่งพอจะช่วยตามนางมาพบข้าได้หรือไม่”ต่งจื่ออวี๋ไม่รู้ว่าฮวาเชียนออกจากเป่ยไห่แล้ว จึงตอบตกลงทันที“เรื่องนี้ไม่น่าจะยาก ประเดี๋ยวข้าจะหาข้ออ้าง เข้าไปใ
เย่จิ่งอวี้ชะลอความเร็วลงทันที และติดตามจูอวี้เหยียนไปตลอดทาง เห็นนางหยุดอยู่ที่ประตูหอแห่งหนึ่ง ซึ่งมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า สำนักเซียวเหยาหลังจากปะปนเข้าไปในสำนักอวิ๋นซานแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ค้นพบบางสิ่งบางอย่างเดิมสำนักเหล่านี้มีพื้นที่ฝึกฝนของตนเอง แต่เนื่องจากต้องต่อกรกับคนตงหลิว จึงซื้อหาสถานที่บนชายฝั่งทะเลเหนือ และแต่ละสำนักจึงสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวไม่เพียงแต่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสำนักเซียวเหยาด้วยจู่ๆ จูอวี้เหยียนก็มาถึงที่นี่โดยไม่คาดคิด หรือว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักเซียวเหยา?สตรีคนนี้มีจิตใจชั่วร้าย สำนักเซียวเหยาก็ไม่ใช่สำนักที่ดีเด่อะไร เมื่อทั้งสองมารวมกัน ไม่รู้ว่าจะมีหายนะอะไรเกิดขึ้นแต่ในขณะนี้ เย่จิ่งอวี้ไม่มีกะจิตกะใจจะสืบสวนเรื่องนี้ เขาต้องรีบกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วที่สุด เพื่อสืบข่าวเรื่องฮวาเชียน ซึ่งเป็นจุดประสงค์สำคัญที่เขาต้องรั้งอยู่ต่อครั้นแล้วเย่จิ่งอวี้ก็ใช้วิชาตัวเบา และสิบห้านาทีต่อมา เขาก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ แว่วเสียงซูถูพูดว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักเฮ่อพูดเช่นนั้น งั้นพวกเราจะรอคำตอบ สามวันนับจากนี้ เราจะก
เย่จิ่งอวี้ถามศิษย์คนที่เดินมากับเขา เขาก็ไม่รู้ จึงต้องยอมแพ้เมื่อกลับมาถึงสถานที่ตั้งของสำนักอวิ๋นซาน ซูถูก็ออกไปแล้วเย่จิ่งอวี้ไม่สนใจเลยสักนิดว่าซูถูจะไปที่ไหน ตอนนี้เขาแค่อยากพบฮวาเชียน ถามถึงเรื่องราวของเสด็จแม่ตั้งแต่ต้นจนจบเนื่องจากมีเรื่องค้างคาอยู่ในใจ เย่จิ่งอวี้จึงไม่คุยกับคนอื่น เขาเข้าไปในที่พำนักชั่วคราว ปิดประตูและนั่งลงในสถานที่อันเต็มไปด้วยยอดฝีมือเช่นนี้ เขาจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุดนั่งขัดสมาธิ รวบรวมสมาธิ เพ่งกำลังภายในทั้งหมดไปที่จุดตันเถียน ปล่อยลมปราณไหลผ่านร่างกายอย่างช้าๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็เข้าสู่ภาวะเข้าฌานดูเหมือนคนทั้งคนจะตกอยู่ในความโกลาหล กลุ่มหมอกหนา ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่อยู่ตรงหน้าได้ในหูแว่วยินเสียงยุ่งเหยิงต่างๆ บ้างก็มีคนเรียกหาพ่อบุญธรรม บ้างก็มีคนเรียกหาอวี้เอ๋อร์ นอกจากนี้ยังมีเสียงฆ่าฟันดังปะปนขึ้นด้วยเย่จิ่งอวี้จิตใจแตกกระเจิง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น มีวงกลมสีแดงปรากฏขึ้นรอบๆ รูม่านตา แต่เพียงพริบตาก็หายไปในทันทีพลังลมปราณภายในร่างกายเหมือนกับม้าป่า ที่กำลังวิ่งพล่านไปมาอย่างดุเดือดเย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย อาจ
เจ้าสำนักเซี่ยวหวังแค่จะจับตัวเย่จิ่งอวี้ ระหว่างที่เดินมา กลับถูกหยุดโดยผีแคระที่มีสัญลักษณ์รูปสีแดงระหว่างคิ้ว“เจ้าสำนักเซี่ยว ไม่เจอกันนานสบายดีหรือไม่”คนผู้นี้พูดภาษาจงหยวนแปร่งๆ ตัวเตี้ยและอ้วนเหมือนถังเล็กๆ แต่เคลื่อนไหวได้เร็วราวกับกระสุนปืน เท้าดูเหมือนจะติดสปริงไว้ กระเด้งตัวเหมือนคางคก เคลื่อนที่ไปซ้ายทีขวาทีอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่เห็นต้องรู้สึกสับสนมึนงงเมื่อเห็นคนผู้นี้ เจ้าสำนักเซี่ยวก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมในฉับพลันชายคนนี้ชื่อโนจิริจูนิ เป็นหนึ่งในแม่ทัพของตงหลิว คนผู้นี้มีเคล็ดวิชาลับ จัดการได้ยากมาก วิธีการค่อนข้างโหดร้ายอำมหิต ไม่ว่าสตรีคนใดที่ตกอยู่ในมือของเขาจะต้องถูกย่ำยีแค่ชื่อนี้ก็ทำให้คนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันได้“ที่แท้ก็เป็นเจ้า ข้าจะดูว่าวันนี้เจ้าก้าวหน้าไปแค่ไหนแล้ว”ในขณะที่พูดคุย ทั้งสองได้ลงมือเคลื่อนไหวหลายกระบวนท่าแล้ว ภายใต้กำลังภายในอันเผด็จการของเจ้าสำนักเซี่ยว ความเร็วของโนจิริจูนิก็ช้าลงมากถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่สามารถผนึกมิติของอินชิงเสวียนได้ แม้แต่ในยุทธจักร เจ้าสำนักเซี่ยวก็ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้นำโนจิริจูนิพูดว่า “ไม่ได้เจอกันหลาย
เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกฮวาเชียน เย่จิ่งอวี้ก็หันศีรษะทันทีแน่นอนว่าเขาเห็นสตรีคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาคุ้นเคย แม้เวลาผ่านไปหลายปี ใบหน้าที่ตรากตรำความลำบากมากมายของนาง ยังเป็นเหมือนกับในความทรงจำของเย่จิ่งอวี้เมื่อมองดูสตรีในชุดสีขาวพระจันทร์ยืนอยู่ข้างๆ ฮวาเชียนอีกครั้ง หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็พองโตขึ้นเสวียนเอ๋อร์ ทำไมนางถึงมาที่เป่ยไห่!ขณะที่กำลังว่อกแว่ก ดาบเล่มยาวก็ฟาดลงมาที่หัว ตามมาด้วยถ้อยคำก่นด่าอันโกรธเกรี้ยว“บากะยาโร่ว (ไอ้บ้าเอ๊ย)” คนตัวเตี้ยรู้สึกได้ว่าเย่จิ่งอวี้กำลังฟุ้งซ่าน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองถูกดูหมิ่น อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่งเย่จิ่งอวี้ไม่มีความอดทนที่จะเสียเวลากับพวกเขาอีกต่อไป แค่อยากจะไปหาอินชิงเสวียนโดยเร็วที่สุดทันทีที่กระบี่ยาวในมือตวัด เสียงมังกรแผดคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง ปราณกระบี่มหาศาลทำให้กระบี่ยาวสูงขึ้นหนึ่งเมตรในทันทีเมื่อผีแคระตงหลิวเห็นสิ่งนี้ แทนที่จะกลัว เขากลับหัวเราะ“เจ้าน่ะ ขยะ”ทันใดนั้นเขาก็ยกดาบยาวขึ้น โจมตีไปที่แขนของเย่จิ่งอวี้ โดยไม่คาดคิดว่าปราณกระบี่นั้นเร็วกว่าวิชาดาบของเขาหลายเท่าตัว ได้ยินเสียงฉึ่บ และแขนของผ
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล