กวนเซี่ยวก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าแค่รู้สึกว่านางดูคุ้นตา จนกระทั่งเดินทางออกจากเจียงวู ถึงได้สงสัยว่านางอาจจะเป็นฟางรั่ว”อินชิงเสวียนมองไปยังกวนเซี่ยวด้วยสายตานิ่งขึง“พี่ชายกวน เจ้าชอบฟางรั่วอย่างนั้นหรือ”กวนเซี่ยวตัวสั่นเล็กน้อย“กุ้ยเฟยโปรดอย่าเดาส่งเดช”เสียงของอินชิงเสวียนเย็นชาเล็กน้อย“ถ้าไม่ใช่ เจ้าจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ยอมรายงานได้อย่างไร เจ้าน่าจะรู้ว่าฟางรั่วเป็นสาวใช้คนสนิทของอาซือหลาน การที่นางเดินทางมาในขบวนด้วย ไม่น่าสงสัยเลยกระนั้นหรือ”ศีรษะของกวนเซี่ยวหดลงเล็กน้อย“ตอนนั้นพวกนางสวมผ้าปิดหน้ากันหมด ข้าไม่สามารถมองรูปร่างหน้าตาของพวกนางได้เลย”“นี่เป็นเพียงข้อแก้ตัว ตลอดการเดินทางสิบกว่าวัน หากเจ้าอยากตรวจสอบก็มีโอกาสมากมาย ขอแค่ไม่เข้าเมืองหลวง ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป”ยิ่งอินชิงเสวียนพูดมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น หากกวนเซี่ยวรายงานเรื่องนี้ อินจ้งจะต้องมีแผนรับมืออย่างแน่นอน หากสาวใช้เหล่านี้ไม่ได้เข้ามาในเมืองหลวง เย่จิ่งอวี้ก็คงไม่ถูกเสกกู่ใส่กวนเซี่ยวกัดฟัน คุกเข่าลงกับพื้น“เป็นข้าที่ประมาท หวังว่ากุ้ยเฟยจะเมตตา กวนเซี่ยวเต็มใจที่
อินจ้งขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเขาได้ยินอินปู้อวี่พูดว่าถ้าเขาต้องการกำจัดพิษกู่ของบุตรชายคนโต จำเป็นต้องตามหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ของสำนักสันโดษ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถใช้เครื่องดนตรีเพื่อขับไล่หนอนร้ายออกมาได้เขานำทหารออกรบมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักแบบนี้มาก่อน คงจะหาพบได้ยากแน่นอน วิธีเดียวที่จะช่วยทั้งสองคนได้ คือการขอยาแก้พิษจากจูอวี้เหยียนเมื่อนึกถึงอินสิงอวิ๋นที่หมดสติ และฝ่าบาทที่เลิกประชุมเช้าเร็วเพราะปวดศีรษะ อินจ้งก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า “ปมที่แก้ยากก็ยังมีทางแก้ น้ำไกลไม่อาจดับกระหายได้ ไปหาจูอวี้เหยียนหารือเงื่อนไขกับนางดีกว่า”“นางกับอาซือหลานก็ตะเภาเดียวกัน เหตุผลที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อควบคุมฝ่าบาท ยึดอำนาจของฝ่าบาทไว้ในมือของนางเอง และร่วมมือกับอาซือหลานทั้งภายในและภายนอกเพื่อโค่นล้มต้าโจว นางจะไม่มีวันประนีประนอมแน่ ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของนางมีความเชื่อมโยงกับพิษกู่อย่างไร ถ้าไม่มี ข้าจะฆ่านางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลัง”เมื่ออินชิงเสวียนพูดเช่นนี้ นัยน์ตาก็เป็นประกายด้วยเจตนาฆ่าอินจ้งพูดขึ้นโดยเร็ว “อย่าเพิ่งผลีผลาม ในเมื่อจูอวี้
สี่ชั่วยามต่อมา หญิงสาวทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในย่านใจกลางเมืองทุกครั้งที่อินชิงเสวียนออกจากวังนางมักจะรีบเร่งอยู่เสมอ ไม่เคยเดินเที่ยวเล่นเช่นนี้มาก่อน เมื่อมองดูผู้คนที่ยุ่งวุ่นวายทำการค้าบนถนน จู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนกำลังเดินเล่นที่ตลาดนัดกลางคืนทั้งสองมองไปรอบๆ รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากฉินเทียนและหลี่ฉีติดตามทั้งสองอยู่ข้างหลัง แต่กลับทำท่าระแวดระวังราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามคนผู้นี้เป็นถึงกุ้ยเฟยของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ทั้งยังมีบุตรีคนที่สี่ของแม่ทัพอิน หากเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่สามารถรับผิดชอบไหว“ท่านพี่ น้ำตาลปั้นเจ้าค่ะ!”อินจื่อลั่วชี้ไปที่คนขายน้ำตาลปั้น แล้วทำท่าเหมือนอยากไปลองกินอินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไป พวกเราไปชื้อมาลองชิมสองอัน”นับตั้งแต่ออกจากวังเย็น อินชิงเสวียนก็มีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ มากมาย ยากมากที่อินชิงเสวียนจะผ่อนคลายจิตใจเช่นนี้อินจื่อลั่ววิ่งไปที่แผงขายน้ำตาลปั้น หมายตาน้ำตาลปั้นเล็กๆ ที่อยู่ด้านบนสุด นางเอื้อมมือจะไปหยิบ แต่กลับมีมืออีกข้างหนึ่งมาฉวยไปก่อนอินจื่อลั่วจ้องตามมือไปหาเจ้าของมือ แล้วก็เห็นว่าคนที่แย่งน้ำตาลปั้
อินชิงเสวียนหน้าเปลี่ยนสี มองไปที่เย่จิ่งหลานโดยไม่รู้ตัวเย่จิ่งหลานก็มองไปที่ชายชราด้วยสายตาเคร่งขรึมเล็กน้อยอินจื่อลั่วกลับตกใจเมื่อเห็นภาพนั้น นางร้องกรี๊ดพร้อมกับเอามือปิดตาอินชิงเสวียนกอดอินจื่อลั่วและตบหลังนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่นี่แล้ว”อินจื่อลั่วซุกหน้าไว้ในอ้อมแขนของพี่สาว กลัวเกินกว่าจะมองกลับไปอินชิงเสวียนส่งสายตาให้เย่จิ่งหลาน“เราไปนั่งโรงน้ำชาใกล้ๆ กันเถอะ”พวกเขาทั้งสามเดินขึ้นไปชั้นบนในโรงน้ำชา ส่วนองครักษ์รออยู่ที่ชั้นล่างอินชิงเสวียนสั่งชาให้อินจื่อลั่วดื่ม แล้วมองไปที่เย่จิ่งหลาน“เรื่องนี้เจ้าจะว่าอย่างไร”เย่จิ่งหลานหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะเย็บแผลที่ไม่น่าดูขนาดนี้หรือ ในความคิดของข้า การผ่าตัดก็เป็นศิลปะเช่นกัน”เมื่อสบตากัน เย่จิ่งหลานก็ไม่หลบสายตา ดวงตาของเขาก็ชัดเจนและสงบมากพอนึกว่าเขาเป็นศัลยแพทย์ ก็ดูไม่น่าจะเย็บบาดแผลที่น่าเกลียดเช่นนี้ได้จริงๆ“แล้วเกิดอะไรขึ้นกันนี่”เย่จิ่งหลานยักไหล่“ข้าจะรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้า”อินชิงเสวียนยังคงจ้องมองเขาเย่จิ่งหลานพูดอย่างช่วยไม่ได้
บนถนนสายยาว อินชิงเสวียนเดินทางอย่างเชื่องช้าเมื่อเข้าใกล้วัง จู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดไม่รู้ว่าจะสามารถกำจัดพิษกู่นี้ได้เมื่อไหร่ วันหนึ่งเย่จิ่งอวี้จะจำตัวเองไม่ได้หรือไม่พอคิดถึงกวนเซี่ยวที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่รายงาน ก็รู้สึกอัดอั้นตันใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนไม่มีความสุข อวิ๋นฉ่ายจึงพูดว่า “พระสนม ท่านกังวลใจหรือเพคะ”“ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดว่ามื้อเย็นจะกินอะไรดี”เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ เด็กสาวอย่างอวิ๋นฉ่ายไม่สามารถแก้ไขได้แน่นอน พูดคุยกับนางก็คงไม่ช่วยอะไร รังแต่จะเพิ่มปัญหาเท่านั้นอวิ๋นฉ่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หม่อมฉันจะทำขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาลให้พระสนมดีกว่า ได้ยินคนพูดว่าการกินของหวานจะทำให้คนมีความสุข”“ข้าก็เคยได้ยินคำพูดนี้เหมือนกัน แต่ไม่เอาดีกว่า กินหวานมากไปจะทำให้อ้วน มากินหม้อไฟกันดีกว่า”เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วอุณหภูมิก็ค่อยๆ ลดลง หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้วอากาศก็ยังค่อนข้างเย็นอวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เพคะ กลับตำหนักแล้วหม่อมฉันจะเตรียมวัตถุดิบให้เอง”ขณะที่พูด อินชิงเสวียนก็มาถึงประตูวัง นางลงจากหลังม้า แล้วส่งหนิ
อินชิงเสวียนใช้พลังมิติ จูอวี้เหยียนก็ถูกกระแทกออกไปทันที ร่างของนางก็กระแทกโต๊ะอย่างแรงทันใดนั้นก็มีเสียงกระเบื้องเคลือบแตกกระจาย กาน้ำชาและชามกระเบื้องบนโต๊ะก็ร่วงลงพื้น แล้วจูอวี้เหยียนก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังครืน เห็นด้วยตาเปล่าว่าแก้มของนางก็บวมขึ้นทันทีทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าอินชิงเสวียนจะกล้าแสดงความเกรี้ยวกราดต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้ และไม่มีมครคิดว่านางจะมีพละกำลังมากมายปานนี้จูอวี้เหยียนได้รับการปรนนิบัติในเจียงวูอย่างดีมาโดยตลอด แม้แต่ราชาเผ่าก็ยังต้องยอมอ่อนข้อในนางสามส่วน ตั้งแต่นางมาถึงต้าโจว ก็ถูกควบคุมทุกอย่างจนเกือบจะระเบิดความโกรธออกมา“ฝ่าบาท!”นางกัดฟันกระตุ้นหนอนกู่ ซึ่งใบหน้างามเปื้อนน้ำตาดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝนเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์”อินชิงเสวียนพูดเรียบๆ “ทำไม หรือว่าหม่อมฉันจะสั่งสอนบ่าวรับใช้ไม่ได้หรือเพคะ”เมื่อมองดูใบหน้าที่บวมแดงครึ่งหน้าของจูอวี้เหยียน เย่จิ่งอวี้ก็พูดว่า “ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ เพียงแต่เสวียนเอ๋อร์ลงมือรุนแรงไปหน่อย”จูอวี้เหยียนคว้าชายเสื้อของเย่จิ่งอวี้ทันที พูดด้วยความคับข้องใจอย่างยิ่ง “ฝ่าบาท แม้ว่
สายลมยามค่ำคืนเย็นสบายแสงจันทร์ที่สาดส่องเป็นเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ขี้อายที่ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ คอยส่องแสงสลัวๆ แสงจางๆ และนุ่มนวลสะท้อนบนใบหน้างามหยาดเยิ้มของอินชิงเสวียน ทำให้ใบหน้าของนางดูงดงามยิ่งขึ้น ดูงดงามที่เหนือมนุษย์ข้างๆ คือเย่จิ่งอวี้ที่เดินเอามือไพล่หลัง เสื้อคลุมปลิวไสวตามสายลมยามราตรี เงาของร่างผึ่งผายกำยำนั้นทอดยาวทั้งสองคนเงียบไปตลอดทาง ไม่มีใครเอ่ยคำใดจู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงตอนที่ไทเฮาถูกประหารชีวิต ทั้งสองคนกำลังเดินอยู่บนถนนหินกรวดสายนี้ ในเวลานั้น พวกเขาดูเหมือนจะมีเรื่องให้พูดคุยกันอย่างไม่รู้จบ แต่วันนี้ เป็นครั้งแรกที่อินชิงเสวียนรู้สึกถึงความแปลกแยกของเย่จิ่งอวี้จนกระทั่งถึงตำหนักเฉิงเทียน เย่จิ่งอวี้จึงหยุดเดิน“เสวียนเอ๋อร์อยากคุยกับข้าเรื่องสำนักศึกษาหลวงไม่ใช่หรือ”อินชิงเสวียนมองดูเขาแล้วพูดว่า “หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ฝ่าบาทคง ไม่อยากฟังอีกแล้ว”ปฏิกิริยาของเย่จิ่งอวี้ดูเหมือนจะช้าเกินไปครึ่งจังหวะ“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นห่วงเรื่องสำนักศึกษาหลวงมาโดยตลอด หลายวันนี้เสวียนเอ๋อร์สอนเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนมองไปที่เย่จิ่ง
ปกติแล้วอินจ้งก็เชื่อมั่นในคำพูดของอินชิงเสวียนอย่างมากอยู่แล้ว เขารีบช่วยพยุงร่างของอินสิงอวิ๋นขึ้น จับคางแล้วป้อนน้ำให้เขาหมอหลวงเหลียงก็นั่งเขียนใบสั่งยาอยู่ข้างๆ“นี่คือใบสั่งยาสำหรับการเสริมแกร่งภายใน ลองเอามาต้มให้คุณชายใหญ่ดินดูก่อน”อินปู้อวี่รับใบสั่งยา“ขอบคุณท่านหมอหลวงเหลียง ข้าจะส่งคนไปซื้อยามาเดี๋ยวนี้”หมอหลวงเหลียงลูบเคราแล้วพูดว่า “ตอนนี้เราทำได้แต่ต้องรอดูสถานการณ์พรุ่งนี้แล้วค่อยว่ากันอีกที”อินจ้งกล่าวขอบคุณหมอหลวงเหลียง แล้วไปส่งเขาออกจากจวนด้วยตัวเองซูหมิงหลานนั่งข้างเตียง ทำความสะอาดเลือดบนใบหน้าของอินสิงอวิ๋น แล้วพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กัน ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย ถ้าไม่ออกจากเมืองซุ่ยหานก็คงดี คงไม่เป็นเช่นในตอนนี้”เมื่อได้ยินคำนี้ อินชิงเสวียนก็รู้ว่าอินจ้งไม่ได้บอกเรื่องของอินสิงอวิ๋นให้นางทราบนางจึงรีบเข้าไปปลอบว่า “ท่านแม่รองไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าต้องไม่เป็นอะไร”ซูหมิงหลานสูดจมูกแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผ่านด่านยากมากมายแล้ว ในที่สุดครอบครัวของเราก็ทนลำบากจนมามีความสุข แต่พี่ใหญ่ของเจ้ากลับเป็นโรคประหลาด น่าเป็นห่