“เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่ทำร้ายเจ้า”กระแสเสียงอันทรงพลังดังมาจากด้านหลังอินชิงเสวียน ซึ่งก็คืออินจ้งผู้ที่ปลอมตัวเป็นองครักษ์จูอวี้เหยียนมองดูเขา รู้สึกว่าชายชราผู้นี้มีเค้าโครงคล้ายกับอินสิงอวิ๋นอยู่หลายส่วน นางจึงคาดเดาตัวตนของเขาได้เกือบจะในทันที“ท่านก็คืออินจ้ง?”อินจ้งพยักหน้า“คุณหนูจู ข้า...ขอคุยกับเจ้าตามลำพังได้หรือไม่”ดวงตาของจูอวี้เหยียนหันไปมองใบหน้าของอินจ้ง จากนั้นนางก็หัวเราะเบาๆ “ได้สิ เช่นนั้นก็ให้นางออกไป”อินจ้งหันไปมองอินชิงเสวียน“ชิงเสวียน...”อินชิงเสวียนกลับมองไปที่จูอวี้เหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทางที่ดีเจ้าอย่าคิดเล่นลูกไม้ ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรท่านพ่อของข้า แม้ข้าต้องกลายเป็นหยกที่แตกละเอียด ก็ไม่ยอมปล่อยให้เจ้ามีชีวิตแน่”จูอวี้เหยียนแค่นเสียงหึขึ้นจมูก“ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันตามลำพัง พวกเจ้าไปเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าจะให้คนไปแจ้งฝ่าบาท แม้ว่าท่านจะเป็นขุนนางอาวุโส แต่ความผิดฐานบุกรุกวังหลังโดยพลการเกรงว่าท่านจะรับไม่ไหว”“ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามคำเหล่านี้ ทางด้านฝ่าบาท ข้าจะอธิบายให้ฟังเอง ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้
จูอวี้เหยียนมองอินจ้งอย่างดูถูกเหยียดหยาม กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้มีดสั้นแก่ท่าน ให้ท่านตายต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้ เมื่อใดที่ท่านตาย ข้าจะให้ยาถอนพิษแก่อินสิงอวิ๋น”ใบหน้าของอินจ้งเหยเกบิดเบี้ยว“ข้ากับแม่นางไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดแม่นางต้องทำถึงเพียงนี้ด้วย”จูอวี้เหยียนเหยียดยิ้มอย่างเย็นชา“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ากับท่านไม่มีความแค้นต่อกัน ในโลกนี้ ไม่มีใครเกลียดตระกูลอินมากไปกว่าข้าแล้ว”อินจ้งมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นในหัว ถามทันทีว่า “ทำไม”จูอวี้เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ท่านก็กล่าวถึงตงเหอหยวนแล้ว รู้แล้วยังจะถามอีก หลังจากท่านจากไป หญิงแซ่จูผู้นั้นก็โศกเศร้าไม่เสื่อมคลาย จนเสียชีวิตบนเตียง นี่เป็นหนี้ของหนึ่งชีวิต หรือท่านไม่สมควรชดใช้กระนั้นหรือ”อินจ้งถามด้วยความประหลาดใจ “ความจริงแล้วเจ้าก็คือ...”จูอวี้เหยียนกล่าวอย่างรุนแรง “ไม่ ข้าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอินของท่าน อินจ้ง ออกไปซะ ข้าจะทำให้ลูกชายคนโตของท่านค่อยๆ ตาย แล้วมองดูลูกสาวของท่านถูกฝ่าบาทปลดออกจากฐานะสนม ข้าต้องการทำให้ตระกูลอินของพวกท่านตายไม่เหลือซาก เพื่อปลอบขวัญวิญญาณของหญิงแซ่จ
ดูเหมือนว่าชิงเสวียนไม่ได้โกหกเขา น้ำนี้ไม่ฤทธิ์ธรรมดาจริงๆนางได้สิ่งนี้มาจากที่ใดเมื่อคิดถึงเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นที่ตัวเองไม่เคยได้ยินมาก่อน อินจ้งก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พอนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียด อินชิงเสวียนในวันนี้ แตกต่างจากลูกสาวคนก่อนจริงๆอินชิงเสวียนในอดีตชื่นชอบเพลงดนตรี มีนิสัยชอบเก็บตัว วันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่สนใจเรื่องอื่นเป็นเพราะเรื่องของตระกูลอินที่ทำให้นางเติบโตจนเป็นเช่นในวันนี้ หรือเกิดอะไรขึ้นถึงได้กลับตาลปัตรเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอินชิงเสวียนจะเปลี่ยนไปอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิม และนั่นคือความรู้สึกของนางที่มีต่อพวกเขาเมื่อนึกถึงตรงนี้ อินจ้งก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ ลำบากลูกๆ แล้วอายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ต้องมาแบกรับภาระชีวิตที่ไม่ควรจะมี และเขาในฐานะพ่อ กลับไม่สามารถปกป้องลูกๆ ได้ ช่างน่าละอายใจต่อพวกเขาเหลือเกินในขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ อินปู้อวี่ก็ล้างเนื้อล้างตัว แล้วเดินออกจากอ่างน้ำแล้วอินจ้งรีบหยิบเสื้อผ้ามาคลุมตัวให้อินปู้อวี่“รีบใส่เสื้อผ้าเร็ว อย่าให้เป็นหวัด”อินปู้อวี่ตบอกผาง แล้วพูดว่า “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ลูกไม่เป
สิบห้านาทีต่อมา ฟางรั่วก็มาถึงกำแพงด้านหลังของตำหนักจินหวูนางวางจานในมือลง มองไปรอบๆ แล้วเหาะเหินขึ้นไปบนหลังคานางหมอบอยู่บนหลังคา สังเกตการเคลื่อนไหวภายในเรือนอย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยๆ เปิดกระเบื้องออกแผ่นหนึ่งภายในห้องอินชิงเสวียนกำลังเอนตัวพิงเตียง มองดูวัตถุสีดำที่ถืออยู่ในมือ เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มดวงนั้น ฟางรั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคียดแค้นถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตัวเองคงไม่ถูกนายท่านลงโทษแบบนี้ พอหวนนึกถึงความน่ากลัวของม้าไม้ ฟางรั่วก็อดตัวสั่นไม่ได้หากไม่ใช่เพราะจูอวี้เหยียนให้นางนำดีนกยูงมาลองทดสอบอินชิงเสวียนอีกครั้ง นางคงจะ...ขณะที่ในใจกำลังโกรธแค้น ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็เงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มมายังตำแหน่งที่นางหมอบอยู่ฟางรั่วหดคอโดยไม่รู้ตัว ทว่ารู้สึกถึงเสียงเสื้อผ้าที่กระพือพลิ้วอยู่ข้างหลัง เมื่อหันกลับมา อินชิงเสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังราวกับภูตผีฟางรั่วตกตะลึงพรึงเพริด อยากจะกระโดดลงไปในห้อง แต่การเคลื่อนไหวของอินชิงเสวียนนั้นรวดเร็วปานอสุนีบาต นิ้วมือเรียวยาวได้บีบลำคอของนางไว้แล้ว“เจ้า...”“ที่นี่ไม่มีที่สำหรับให้เจ้าพูด”อินชิงเสวียนออกแรง
วันต่อมาอินชิงเสวียนมาถึงสำนักศึกษาหลวงตามปกติ ฉางจี้จิ่วและขุนนางอาวุโสหลายคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วทุกคนวางตำราเรียนไว้ข้างหน้า นั่งหลังตรงเหมือนนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่เพิ่งเริ่มเข้าโรงเรียนหลังจากผ่านมาหลายวันแล้ว ทัศนคติของบัณฑิตเฒ่าทุกคนที่มีต่ออินชิงเสวียนก็เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกันตอนแรกคิดแค่ว่าอินชิงเสวียนได้เข้ามารับหน้าที่นี้เพราะอาศัยเส้นสาย เหล่าผู้เฒ่าที่ยกตนว่าเป็นผู้ยึดมั่นในคุณธรรมเหล่านี้ จึงไม่มีผู้ใดเห็นนางอยู่ในสายตาจนกระทั่งอินชิงเสวียนนำตำราเหล่านี้ออกมา ทำให้พวกเขาได้รับความรู้มากมายที่พวกเขาคิดไม่ถึง ทุกคนจึงเปลี่ยนมุมมองต่ออนุชนรุ่นหลังคนนี้ อาจารย์อินเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถ้าเขาสามารถอยู่ในสำนักศึกษาหลวงได้ตลอดไป ก็จะเป็นสิ่งดีที่เป็นประโยชน์ต่อใต้หล้าอย่างแท้จริงฉางจี้จิ่วได้เตรียมที่จะกราบทูลต่อฝ่าบาท ให้อาจารย์อินอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงต่อเมื่อเผชิญกับความกระตือรือร้นของผู้อาวุโสหลายคน อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องทำตัวให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ลืมเรื่องยุ่งๆ เหล่านั้นไปชั่วคราว และบรรยายวิชาเรียนของวันนี้ระหว่างพักเที่ยว ชายช
“หรือว่าท่านพ่อมีความหลังอะไรกับจูอวี้เหยียนหรือเจ้าคะ”อินชิงเสวียนเป็นคนที่เก็บคำพูดไม่อยู่ ใจคิดอย่างไรก็พูดออกมาตามนั้นอินจ้งที่กำลังดื่มน้ำ พอได้ยินก็สำลักทันที“ข้าจะไปมีความหลังอย่างไรกับนาง เจ้าอย่าคิดมาก พ่อแค่ไม่อยากให้หญิงสาวอายุน้อยอย่างนางต้องลำบากใจ ที่นางทำมาถึงทุกวันนี้ คงมีเรื่องราวลำบากที่ไม่มีใครรู้ได้ ไม่อย่างนั้นหญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง คงไม่กลายเป็นคนเลวทรามขนาดนี้”เห็นได้ชัดว่าเป็นการพยายามกลบเกลื่อนเรื่องบางอย่างถ้าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจูอวี้เหยียน ไยต้องพูดแทนนางด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นคนที่ทำร้ายอินสิงอวิ๋น“ท่านพ่อไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าคนน่าสงสารต้องมีส่วนที่น่ารังเกียจหรือไม่เจ้าคะ ในโลกนี้มีคนที่น่าสังเวชมากมาย ก็ไม่เห็นว่าทุกคนจำเป็นต้องไปแก้แค้นผู้อื่น เหตุผลที่เจียงวูก่ออาชญากรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องมีนางอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ หญิงชั่วช้าเช่นนี้ สมควรประหารชีวิต”อินชิงเสวียนคิดว่า ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอินจ้งและจูอวี้เหยียนจะเป็นอย่างไร ในสายตาของนาง คนมีเพียงสองประเภทเท่านั้นคือดีและเลวหากจะพูดถึงเหตุผล ไทเฮาก็ทำเพื่อความสัมพันธ์เ
เมื่อได้ยินว่าซูฉ่ายเวยเป็นพระสนม จูอวี้เหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองพอเห็นว่าซูฉ่ายเวยสวมกระโปรงรัดอกผ้าแพรไหมสีชมพู ปักลวดลายดอกไม้สีแดงสด บนศีรษะปักปิ่นหยกสลักหลากสี ดูสูงส่งมีเกียรติ ก็รู้ว่านางจะต้องเป็นซูฉ่ายเวยถึงอย่างไรในวังหลังแห่งนี้ก็มีพระสนมเพียงสองคน แค่สอบถามดูคร่าวๆ ก็รู้เรื่องแล้ว นางรู้ด้วยว่าซูฉ่ายเวยไม่ได้รับความโปรดปราน อดไม่ได้ที่จะมองอย่างดูถูก ทว่ายังคงโค้งคำนับย่อยๆ“สาวใช้ของข้าไม่เข้าใจกฎ หวังว่าพระสนมจะยกโทษให้ด้วย”ถ้าเป็นคนอื่น เรื่องนี้คงจบไปง่ายๆ เช่นนี้ซูฉ่ายเวยในตอนนี้ไม่ได้วางท่าใหญ่โตดังเช่นตอนที่เพิ่งเข้าวังแล้ว บัดนี้นางคิดแค่เรื่องหาเงิน ไม่อยากยุ่งยากใจกับผู้อื่นทว่าอีกฝ่ายเป็นคนเจียงวู ซูฉ่ายเวยก็อดไม่ได้ที่จะระบายความโกรธแทนอินชิงเสวียนดวงตาของนางเย็นชาเล็กน้อย“ในเมื่อไม่เข้าใจกฎ ข้าก็จะให้เซียงหลานสั่งสอนพวกเจ้าให้ดีเอง เซียงหลาน ตบปาก”เซียงหลานเดินปรี่เข้าไปตบหน้าสาวใช้สองครั้งทันทีดวงตาของสาวใช้เปลี่ยนเป็นเย็นชา กำลังจะลงมือ แต่จูอวี้เหยียนลอบส่ายศีรษะให้ สาวใช้ผู้นั้นจึงต้องอดทนเซียงหลานตบหน้านางอีกหลายครั้ง แล้วพูดอย
“ช้าก่อน”เสียงที่ใสกังวานดังมาจากด้านหลังทุกคนสตรีคนหนึ่งสวมกระโปรงรัดอกสีฟ้า ค่อยๆ เยื้องกรายออกมาจากด้านหลังขันทีสตรีผู้นี้มีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้างามแฉล้ม เรือนผมดำขลับปักไว้เพียงปิ่นหยกดอกไม้สีน้ำเงินสองดอก กิริยาเรียบง่ายสง่างาม ทุกอิริยาบถสะท้อนถึงความเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์ของผู้ที่เหนือกว่า“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้หันกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ แต่นอกเหนือจากนั้นสายตาก็ไม่ปรากฏความรู้สึกอื่นใดอีก เมื่อมองเรียวตาหงส์คู่นั้นที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่วันนี้กลับดูเฉยเมยอย่างน่ากลัว อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจวันหนึ่งเย่จิ่งอวี้จะปฏิบัติต่อนางแบบเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อซูฉ่ายเวยหรือไม่เมื่อนึกถึงความอบอุ่นในอดีต อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างจนใจ โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เดิมทีหม่อมฉันอยากไปเยี่ยมหลิงเฟย แต่ไม่นึกว่าจะได้พบนางที่นี่ เพราะนับตั้งแต่หลิงเฟยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นสนมขั้นเฟย นางก็ขยัน ประหยัด มีคุณธรรมและสร้างความปรองดองในวังหลังเสมอมา ไม่เคยละเลยหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่หน้าหม่อมฉัน โปรดให้อภัย
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี