อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า นางไม่เพียงสามารถเข้าชมมิติจากด้านนอกได้ แต่นางยังสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลจากความคิดของนางได้อีกด้วยเมื่อมองดูธัญพืชและผักผลไม้ที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อก่อนจะทำสิ่งใดก็ต้องเข้าไปในมิติ ซึ่งมีความยุ่งยากจริงๆและเมื่อเห็นสองหมื่นคะแนนที่แสดงอยู่ในระบบ อินชิงเสวียนก็ดีใจจนแทบกรี๊ดออกมาก่อนหน้านี้นางใช้แรงในการเล่นพิณ แต่ก็ไม่ได้รับรางวัล หากไม่ใช่เพราะเนื้อเพลง ก็ต้องเป็นเพราะความแตกต่างของพิณการเวก ครั้งนี้นับว่ามาถูกทางแล้วตอนนี้นางได้เข้าใจความรู้สึกของคนรวยยุคใหม่เสียที และนางก็อยากไปที่ร้านค้าสะสมคะแนนเป็นพิเศษ เพื่อแลกเนื้อเสียบไม้ย่างมาลองชิมดูทักษะการกระโดดสุดขีดก็ค่อนข้างมีประโยชน์มากทีเดียว หากนางใช้ทักษะนี้ได้ตั้งนาน วันนั้นคงไม่ปล่อยให้อาซือหลานจับตัวเสี่ยวหนานเฟิงไปได้แน่เพียงแต่... ห้าสิบห้าสิบนี่คืออะไรกัน?ด้านล่างทักษะไม่ได้ระบุอะไรไว้อย่างละเอียด อินชิงเสวียนคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจความหมาย นางจึงล้มเลิกความคิดไปไม่นาน ขอบฟ้าก็ขาวสว่างขึ้นราวกับท้องปลาเสี่ยวหนานเฟิงพลิกตัว
ชายผมขาวไม่ได้สนใจเขา และพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ไปเล่นเพลงหยกรัตติกาล”“เจ้าค่ะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองต่งจื่ออวี๋และเดินเข้าไปในบ้านจากนั้นก็นั่งลงข้างพิณ แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าสิ่งที่นางจินตนาการได้มีเพียงภาพมหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง และลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งแผดเสียงก้อง หากต้องการให้นางบรรเลงดนตรีจากสิ่งเหล่านี้ นางก็ไม่รู้จะเริ่มจากที่ใดเมื่อนั่งอยู่นาน อินชิงเสวียนก็พูดอย่างเบื่อหน่าย “ผู้เยาว์ยังคงจับใจความไม่ได้”ชายผมขาวผิดหวังเล็กน้อย“เช่นนั้นก็จำใจหินผาให้ดีก่อน”พูดจบก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกไปเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงตรงในตำหนักจินหลวน หลี่เต๋อฝูตะโกนเพื่อเลิกการประชุมราชวงศ์เย่จิ่งอวี้กดมือลงบนที่เท้าแขนหัวมังกร และลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกรเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสทำให้เขาดูหล่อเหลาและเต็มไปด้วยบารมี ดวงตาคมอันเฉียบแหลมของเขากวาดสายตาไปเหนือเหล่าขุนนาง ทำให้เขาน่าเกรงขามมากทีเดียวทุกคนต่างก้มศีรษะลง น้อมตัวถอยออกไปจากตำหนักจินหลวน ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองเย่จิ่งอวี้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง
เมืองซุ่ยหานแจ้งขอความช่วยเหลือด่วน เย่จั้นกลัวเพียงว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ชายแดน เขาจึงสั่งให้เดินทางอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ทหารม้าก็ออกเดินทางได้หนึ่งร้อยกว่าลี้แล้วตรงไปด้านหน้า จะเป็นเส้นทางภูเขาช่องผาแคบที่มีชื่อเสียงของต้าโจวทางภูเขาเส้นนี้มีความคับแคบ ด้านบนมีเพียงรอยแยกเล็กๆ เพียงเส้นเดียว รวมระยะทางกว่าสามลี้กลุ่มภูเขาปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ที่เข้าสู่หุบเขา และแสงก็สลัวลงทันทีกองทหารล้วนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยสนามรบ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมพร้อมทันทีเสียงร้องของนกกางเขนปลุกนกจำนวนมากที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้าเย่จั้นเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ยอดเขา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปิ้วที่แผ่วเบา และลูกธนูยาวเรืองแสงสีเขียวหนึ่งดอกก็พุ่งตรงมาหาเขา“ท่านอ๋อง!”เหล่าทหารถือดาบกั้นลูกธนูไว้ ดาบกว้างหลายเล่มร้อยเรียงกันเป็นตาข่ายหนึ่งผืน ลูกธนูยาวกระทบกับดาบเสียงดังกริ๊ง เมื่อตกลงมา ควันหนาทึบก็ปรากฏขึ้นจากพืชชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ลูกธนูเหล่าทหารรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้“ลูกธนูดอกนี้มีพิษร้ายแรง”ไม่ทันสิ้นเสียง ลูกธนูยาวจำนวนมากก็ตกล
“พ่ะย่ะค่ะ”ทหารเปลวเพลิงแดงนายหนึ่งขานรับและปีนลงจากหน้าผาชาวเจียงวูเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตเพียงถูกมัดไว้ด้วยเชือก ทหารสองสามนายคุมตัวพวกเขาไปยังเมืองหลวง ส่วนคนอื่นที่เหลือเริ่มการจัดทัพใหม่ และเคลื่อนทัพออกนอกหุบเขาเย่จั้นเก็บดาบยาวกลับคืน และสำรวจตัวเองอย่างละเอียด ร่างกายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ต้องเป็นเพราะอาซือหลานเจตนาพูดให้ตกใจกลัว เพื่อขู่ตัวเองเขาถอดชุดคลุมสีขาวที่เปื้อนเลือดออกด้วยความรังเกียจ พร้อมกับเปลี่ยนชุดตัวใหม่ เมื่อเหยียบโกลนม้าก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า“ไป!”ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น ม้าพันธุ์ดีก็ควบฝีเท้าตะบึงอย่างบ้าระห่ำ เพื่อนำกองทัพไปทางเหนือณ พระราชวังเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ที่ห้องหนังสือ แม้จะถือสาส์นกราบทูลไว้ในมือ แต่จิตใจกลับไม่สามารถสงบนิ่งได้แม้ไทเฮาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ยังกำจัดเย่จิ่งเย่าไม่ได้ นี่คือเหตุผลแรกสงครามที่เจียงวูก็ตึงเครียดมากเช่นกัน เย่จิ่งอวี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอดทนได้หรือไม่ เพื่อรอให้ดินปืนส่งถึงด่านถงกู่ นี่คือเหตุผลที่สองเหตุผลที่สามคือเมืองซุ่ยหาน ตอนนี้แม่ทัพของเป่ยมู่ต๋ารู้แล้วว่าเย่จั้นไม่ได้อยู่ที่เมือง เขาจะต้
หลังจากทหารเปลวเพลิงแดงออกไปแล้ว องครักษ์เงาหลายนายก็ออกเดินทางจากวัง และมุ่งหน้าไปยังช่องผาแคบผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าสวมใส่หน้ากากของฟางรั่วนางกล่าวอวยพร และพูดขึ้นด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังจำเป็นต้องออกนอกวังหรือไม่เพคะ?”เย่จิ่งอวี้พูดขึ้น “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ใส่หน้ากากนี้ไว้ให้ดี ออกไปเถอะ”“เพคะ”ผู้หญิงโน้มตัวทูลลา ความคิดของเย่จิ่งอวี้เริ่มผันผวนอีกครั้งในทางสติปัญญา เขาเชื่อมั่นใจตัวของอินชิงเสวียน ในทางความรู้สึกกลับอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ในขณะที่จิตใจสับสนวุ่นวาย คนที่ไม่สมควรตายดีอย่างเย่จิ่งเย่าก็เดินเข้ามาอีกแล้วเจ้านี่แทบไม่เคยดูอารมณ์ผู้อื่นก่อน ทันทีที่เข้าประตูมาก็พูดว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจัดเตรียมทหารม้าให้กระหม่อมแล้วหรือไม่ ตอนนี้จิ้งอ๋องก็ออกไปแล้ว กระหม่อมจะได้เตรียมตัวออกเดินทาง”เย่จิ่งอวี้รู้สึกรำคาญ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานเย่จิ่งเย่าก็จะไปอยู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ผู้เป็นที่รัก เขาก็ระงับไฟที่เกิดขึ้นมาลงไปในลำคอเขากระตุกยิ้มที่มุมปาก หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คืนนี้ทหารม้าจะถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย หากอันผิง
“ข้ามาตามหาภรรยา ไม่ทราบว่าน้องชายพอจะผ่อนปรน ยอมให้ข้าพบนางได้หรือไม่”เย่จิ่งอวี้ประกบมือคำนับ ทุกท่วงท่าอากัปกิริยาคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์“ภรรยาของท่าน? ภรรยาของท่านคือผู้อาวุโสไม่ใช่รึ แต่สตรีข้างในไม่ใช่ผู้อาวุโส ท่านจำผิดคนกระมัง”ต่งจื่ออวี๋มองไปยังเย่จิ่งอวี้ด้วยสีหน้างุนงงเย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นางเป็นภรรยาของข้า ที่นางได้พบเจ้าก่อนหน้านี้ เป็นใบหน้าตอนที่นางแปลงโฉม”“แปลงโฉม?”ต่งจื่ออวี๋หันกลับไปมอง แล้วถามว่า “อาจารย์อา มีคนต้องการพบผู้อา...เอ่อ สตรีผู้นั้น”เขากำลังจะเรียกว่าผู้อาวุโส แต่รู้สึกว่าไม่ดีที่จะเรียกหญิงสาวแบบนั้นต่อหน้าอาจารย์อา เขาจึงเปลี่ยนคำเรียก“ภายในเจ็ดวันนี้ นางจะไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”กระแสเสียงอันเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังมาจากในห้อง เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ผู้อาวุโส...”“กลับไปเถอะ”พลังอันอ่อนนุ่มชนิดหนึ่งพุ่งออกมาจากในเรือน ผลักเย่จิ่งอวี้ให้ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอินชิงเสวียนก็ได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้แล้ว นางลังเลก่อนจะพูดว่า “ผู้อาวุโสโปรดอำนวยความสะดวกด้วย ให้ข้าได้คุยกับเขาสักสองสามคำ ถ้าเขายังคงมาอยู่ตลอ
วันถัดมาเย่จิ่งเย่าสวมชุดเกราะอ่อนมุ่งหน้าไปยังสนามฝึก ตามไปด้วยพระชายาเจียงซิ่วหนิงที่อยู่ในสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะไม่รู้ว่าบิดาที่อยู่เจียงวูจะเป็นหรือตาย เจียงซิ่วหนิงจึงไม่อยากออกจากเมืองหลวงแต่จะทำอย่างไรได้เพราะสตรีในยุคโบราณต้องติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีสิทธิ์เป็นอิสระ พอคิดว่าจะต้องเดินทางไกลไปที่เขตเมืองหวยหนาน ไม่รู้ว่าจะต้องกลับมาเมื่อใด ขอบตาของเจียงซิ่วหนิงพลันแดงก่ำทว่าเย่จิ่งเย่ากลับวางท่าผยองด้วยความยินดีปรีดา เพราะทหารม้าจำนวนห้าหมื่นนายที่ได้มานั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยตอนแรกคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ต้องต่อรองกับเขา ให้ทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็รู้สึกขอบคุณอย่างสูง ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตกลงง่ายๆ ขนาดนี้เมื่อคิดว่าตัวเองจะมีเขตการปกครองเป็นของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจครั้นเห็นเจียงซิ่วหนิงเช็ดน้ำตาไม่หยุด ก็ตวาดอย่างอดไม่ได้ “ร้องไห้อะไรกัน ที่ข้าพาเจ้าไปเขตเมืองหวยหนานด้วย ก็เป็นถือเป็นบุญคุณมากแล้ว เจ้าไม่ซาบซึ้งในบุญคุณของข้า แต่เจ้ามาทำหน้าเศร้าหมองร้องไห้ใครดูกัน”เจียงซิ่วหนิงทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋อง ท่านพ่
เย่จิ่งอวี้หันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นถามว่า “อันผิงอ๋อง? ตายแล้ว?”หลี่เต๋อฝูจีบไม้จีบมือชี้ไปข้างนอก“แม่ทัพซุน ซุนมู่ถงบอกมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าเขาสิ้นพระชนม์ที่ถนนเทียน แม่ทัพซุนกำลังรอเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ด้านนอกตำหนัก”เย่จิ่งอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมา ค่อยๆ จิบอย่างไม่รีบร้อน“ให้เขาเข้ามา”กวนเมิ่งถิงกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดเรื่องของอาซือหลานอาจเป็นเรื่องปลอมได้ แต่ซุนมู่ถงอยู่ฝ่ายเดียวกับอันผิงอ๋อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเล่นเมื่อนึกถึงฝ่าบาทที่เชิญเขามาเล่นหมากรุก เขาก็เข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่การเดินหมาก แต่เป็นคำเตือนฝ่าบาทเตือนตัวเองว่า มีเขาเพียงคนเดียวที่กุมการเดินหมากเอาไว้!และนอกจากองครักษ์เงาของฝ่าบาทแล้ว จะมีใครอีกที่สามารถสังหารอันผิงอ๋องอย่างโจ่งแจ้งได้เมื่อนึกถึงตรงนี้ กวนเมิ่งถิงก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นซุนมู่ถงล้มลุกคลุกคลานเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้ว บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม“ฝ่าบาท อันผิงอ๋องถูกลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ที่นั่งบนเก้าอี้ไม้แดง ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าได้ยินแล้ว ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”“กระหม