เย่จิ่งอวี้ฮึมฮัมในลำคอเบาๆ“คราวนี้ดูแลเฉพาะดอกไม้ใบหญ้าเสียแล้ว ปากของเจ้าจะพูดความจริงบ้างได้หรือไม่”อินชิงเสวียนรีบเอ่ยขึ้น “เรื่องที่กระหม่อมเป็นขันที เป็นเรื่องสัตย์จริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเนิบ “ถ้าเช่นนั้นก็เลิกยืดยาดได้แล้ว”อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอดอาภรณ์ของเขาออกทีละชิ้น แต่นิ้วเจ้ากรรมก็ดันไปแตะต้องกับผิวกายของเย่จิ่งอวี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรู้สึกได้ว่าผิวนั้นแน่นและเรียบเนียน โดยเฉพาะแนวท่อนแขนอันเรียบเนียน ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งในอัตลักษ์ของความเป็นของบุรุษเพศอินชิงเสวียนหายใจเร็วอย่างอธิบายไม่ได้ ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกเย่จิ่งอวี้ก้มหน้าพิจารณาดูนางแต่งงานมีลูกแล้วแท้ๆ ยังจะเขินอายอะไรเช่นนี้แต่หารู้ไม่ว่าอินชิงเสวียนนั้นไม่เคยแม้แต่จะคุยเรื่องความรักกับชายใดด้วยซ้ำ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนี้ นางก็เกือบจะเป็นลมอยู่แล้ว แล้วจึงรีบอุ้มเสื้อคลุมไปแขวนไว้ข้างๆปากก็พึมพำเงียบๆ “ฝ่าบาท พระองค์คงไม่ต้องให้กระหม่อมถอดกางเกงให้ด้วยกระมัง”เสียงแผ่วเบาของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากด้านหลัง“ต้อง
อินชิงเสวียนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็จะได้ไปเสียที นางแทบจะหลับอยู่แล้วทันใดนั้นนางก็นึกถึงอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปวังเย็น หาน้องสาวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “ไปเถอะ แต่ต้องกลับมาก่อนยามซู”อินชิงเสวียนรีบโค้งคำนับอย่างตื่นเต้น“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ได้ก้าวออกไปแล้วระหว่างทาง หลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างขมขื่น “ฝ่าบาทพระทัยดีกับเสี่ยวเสวียนจื่อเกินไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง“แล้วเราไม่ดีต่อเจ้ารึ”หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ฝ่าบาทย่อมดีต่อกระหม่อมอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้เอนตัวพิงราชรถ หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าจะปวดใจไปไย”หลี่เต๋อฝูเป็นขันทีที่รับใช้เย่จิ่งอวี้มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ว่าเขาจะพูดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เป็นครั้งคราว ทว่าเย่จิ่งอวี้ก็มิได้มีข้อห้ามมากนัก ถึงจะเป็นนายกับบ่าว แต่ในความรู้สึกกลับเป็นเหมือนญาติสนิทไปแล้วหลี่เต๋อฝูยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงคิดว่าเสี่ยวเสวียนจื่อปลิ้นปล้อน วาจาเป็น
ยายหลี่รีบอุ้มเจ้าหมาน้อยแล้วโยกตัวไปมา“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะ!”แต่เจ้าหมาน้อยกลับยังร้องไห้ไม่หยุด ร่างกายเล็กๆ เหยียดตัวตรง ขาป้อมๆ เตะไปมา อารมณ์ร้ายไม่เบาอินชิงเสวียนทนไม่ไหว เอื้อมมือไปรับเขามา“ไม่ร้องไห้นะลูก ไม่ใช่ว่าแม่ของเจ้าจะไม่กลับมาอีก”ทันทีที่อยู่ในมือของอินชิงเสวียน เจ้าหมาน้อยก็หยุดร้องไห้ จ้องมองนางด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเมื่อมองดูปากเล็กๆ ของเขาพร้อมน้ำตาหยดเล็กๆ บนแพขนตา อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความรักของแม่ที่ล้นเหลือ นางจูบดวงแก้มเล็กๆ ของเขาด้วยความทุกข์ใจ“อย่าร้องไห้นะลูกรัก แม่ไปหาเทพเซียนเอาของเล่นมาให้เจ้า”เจ้าหมาน้อยยังคงมองอินชิงเสวียนด้วยตาโต ศีรษะเล็กๆ ส่ายอย่างแรง ส่ายกระแทกหน้าของอินชิงเสวียน แล้วเริ่มกัดใบหน้าของนางอินชิงเสวียนถูกกัดรู้สึกเจ็บๆ คันๆ จนอดหัวเราะไม่ได้เจ้าหมาน้อยก็โบกไม้โบกมือตามนาง ดวงตาสีเข้มเล็กๆ ของเขาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวเล็กๆ สองวงช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่น่ารักจริงๆ!อินชิงเสวียนชอบเด็กๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งเป็นเจ้าหมาน้อยผู้น่ารักน่าเอ็นดู ความคิดแวบหนึ่งยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากจากไปที่ใด
ทันใดนั้นดวงตาของอินชิงเสวียนก็เป็นประกายวาว นางก็รีบหยิบหยวนเป่าทองคำทันที“ขอบพระทัยองค์หญิง”นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสหยวนเป่าทองคำ ก้อนทองมีขนาดประมาณฝ่ามือ หนักสองเหลี่ยง[footnoteRef:1] ยามที่สัมผัสนั้นให้ความรู้สึกเรียบและกะทัดรัด ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก [1: เหลี่ยง 1 เหลี่ยง เท่ากับ 50 กรัม] เย่ไห่ถังหัวเราะเบาๆ“ไม่ต้องเกรงใจ หากเจ้ามีอะไรสนุกๆ หรือมีประโยชน์ ข้าก็จะซื้อจากเจ้าอีก”อินชิงเสวียนรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “ตอนนี้กระหม่อมก็มีของดีจริงๆ เช่นนั้นก็ขอถวายให้องค์หญิงเลย”นางหยิบชาดทาปากออกมาจากอกเสื้อ เดิมทีนางต้องการให้เย่จิ่งอวี้ช่วยขาย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาคือฮ่องเต้ การค้านี้เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เช่นนั้นก็มอบให้องค์หญิงเลยดีกว่า“นี่คือชาดทาปากรูปแบบใหม่ เป็นสิ่งที่พี่ชายของกระหม่อมนำมาจากแคว้นฮว๋าเซี่ยเช่นกัน หวังว่าองค์หญิงจะรับไว้พ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนเปิดฝาออก แล้วหมุนแท่งชาดทาปากออกมาดวงตาคู่งามของเย่ไห่ถังเบิกกว้าง นางมองดูชาดทาปากด้วยความประหลาดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดเจ้าสิ่งนั้นถึงค่อยๆ โผล่ออกมาได้เมื่อมองดูสีแดงสดซึ่งงดงามกว่าชาดทาปากที่ตั
ณ สุสานหลวงชายผู้หนึ่งในชุดผ้าแพรสีฟ้ากำลังมองไปในทิศทางของวังหลวงด้วยท่าทางน่ากลัวชายผู้นี้อายุสิบเจ็ดสิบแปดปีโดยประมาณ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดวงตายาวเรียว แววตามืดมนเล็กน้อยซึ่งบุคคลผู้นี้ก็คือน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อันผิงอ๋อง ผู้ที่ซึ่งมีนามว่าเย่จิ่งเย่าหนึ่งปีก่อน ตอนที่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาถูกส่งไปยังสุสานหลวงในนามการไว้ทุกข์แทนฮ่องเต้พระองค์ใหม่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตทุกๆ เรื่องราว ความเกลียดชังในแววตาของเย่จิ่งเย่าพลันแข็งกร้าวขึ้นถ้าตาเฒ่าอินจ้งยอมช่วยเขาในวันนั้น บัลลังก์ก็จะเป็นของเขา...ยามนี้ก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ในวังหลวงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เห็นชัดว่าเจ้าลูกสุนัขเย่จิ่งอวี้ผู้นี้ กลัวเขากลับราชสำนักนิ้วมือค่อยๆ รวบเข้าหากัน เสียงข้อต่อหักดังกรอบหากเขาสามารถกลับราชสำนักได้ เขาจะชำระหนี้แค้นนี้แน่นอนขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งจากไกลๆ ในใจจิ่งเย่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเพียงชั่วพริบตา หลี่เต๋อฝูและเสนาบดีกรมพิธีการก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเสนาบดีกรมพิธีการพลิกกายลงจากม้า ยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้น“กระ
อินชิงเสวียนขยิบตากับเสี่ยวอานจื่อ จากนั้นก็ติดตามทั้งสองคนไปเสี่ยวอานจื่อลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งไปที่ห้องหนังสือลู่จิ้งเสียนปรายตามองข้างๆ เมื่อนางเห็นอินชิงเสวียนติดตามมา รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏบนริมฝีปากของนางเมื่อใดที่เข้าไปในวังจิ้งอานของตนเอง ยังตามใจผู้อื่นได้อีกงั้นหรือฝ่าบาทเสด็จมาแล้วอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ไทเฮาทรงอนุญาตด้วยองค์เองเมื่อนึกได้ว่าขันทีน้อยผู้นี้ถือชาดทาปากที่ฝ่าบาทขายให้ตนเอง โทสะในอกพลันลุกโชนอีกคราบ่าวชั้นต่ำ จะได้รับของที่ฝ่าบาทประทานให้ได้อย่างไรบางทีเขาอาจจะขโมยไปยิ่งลู่จิ้งเสียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น และอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าของนางทางด้านอินชิงเสวียนก็กลอกตาครุ่นคิดอย่างรวดเร็วที่ลู่จิ้งเสียนต้องการตัวเองไปนั้น คิดว่านางคงมีเจตนาไม่ดี ต้องเป็นเพราะถูกเย่จิ่งอวี้คุมขังอยู่หลายวัน จึงรู้สึกอยากแก้แค้นแต่นางก็ไม่กลัวมากนัก ถ้านางกล้าทำอะไรตัวเอง นางก็จะเข้าไปซ่อนในมิติ นางจจะยังสามารถตามเข้าไปจับตัวเองไดในมิติกระนั้นหรือเมื่อคิดถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็สงบลงทันทีชุ่ยจู๋เหลือบมองข้างๆ ในใจเก
อินชิงเสวียนติดตามเย่จิ่งอวี้ออกจากตำหนัก โดยก้มหน้าก้มตามองดูนิ้วเท้าของตัวเองไปตลอดทางแต่ในใจกลับคิดว่าฮ่องเต้นั้นไร้หัวใจจริงๆหากสตรีที่อยู่ในวังหลังไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อใดที่เขาไม่ถูกใจ ทุกสิ่งก็จะสูญหายโชคดีที่นางไม่ได้เลือกที่จะต่อสู้ในวังอย่างโง่เขลา ซึ่งการทำเช่นนั้นรัแต่จะเหนื่อยและเปลืองสมองเมื่อเห็นเสียนเฟยถูกลดตำแหน่งอยู่ในขั้นผิน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะปรารถนาชีวิตนอกวังหลวงมากยิ่งขึ้นอาศัยที่มีผลไม้และธัญพืชอยู่ในมิติของนาง เรื่องการหาเงินก็ไม่ใช่ปัญหา ถือโอกาสขายเครื่องประทินโฉมไปด้วย ขณะเดียวกันก็ทำไร่ทำนา อินชิงเสวียนทำราวกับเห็นชีวิตของตัวเองมีบ่าวไพร่ตามเป็นโขยง มีเงินทองให้ใช้สอยไม่ขาดมือ ตลอดทางก็ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย แต่พอรู้ตัวอีกที ก็เดินมาถึงห้องหนังสือแล้วเย่จิ่งอวี้เดินก้าวอาดๆ เข้าไปในห้อง ใบหน้าหล่อเหลาของเขามืดมนอินชิงเสวียนเดินตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว ข้างนอกร้อนมาก ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ข้างถังน้ำแข็งหลี่เต๋อฝูที่ค้อมตัวมาถึงโต๊ะ เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท เลยยามบ่ายแล้ว จัด
ณ วังเย็นไม่มีทหารองรักษ์เฝ้าอยู่ที่ประตูบางทีอาจเป็นเพราะอินชิงเสวียนเสียชีวิต เย่จิ่งอวี้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองกำลังคนอินชิงเสวียนหยิบกุญแจที่ได้มาจากพี่น้องตระกูลหวัง แล้วพูดกับหลี่เต๋อฝู “ในนั้นมีสิ่งชั่วร้ายมากมาย หลี่กงกงไม่ควรเข้าไปดีกว่า ได้ยินจากน้องสาวว่ามีนางสนมฆ่าตัวตายขณะตั้งครรภ์ มักจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้อยู่ในนั้น”หลี่เต๋อฝูถอยไปสองก้าวทันที ถามด้วยสีหน้าลำบากใจ “เป็นเรื่องจริงหรือ”ขันทีน้อยสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้ากังวลและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดอินชิงเสวียนพูดอย่างจริงจัง “จะไม่ใช่ได้อย่างไร ถ้าหลี่กงกงไม่เชื่อ ไปถามผู้อาวุโสในวังก็รู้แล้ว นอกจากนี้นะ สองพี่น้องตระกูลหวังก็ถูกทุบตีจนตายที่ประตูนี้”“อา!”หลี่เต๋อฝูถอยหลังไปอีกหลายก้าว เหล่าขันทีน้อยก็เริ่มลนลาน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อฝูอินชิงเสวียนเปิดประตูเสร็จแล้ว ทันทีที่หลี่เต๋อฝูรู้สึกถึงอากาศเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้า เขาก็ออกวิ่งไปไกลอีกหลายก้าว“เจ้ารีบไปเอาเถอะ ที่นี่ไม่ต้องมาบ่อยๆ จะดีกว่า”เมื่อเห็นสีหน้าหลี่เต๋อฝูกลายเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความกลัว อินชิงเสวียนก็แอบหัวเราะเ
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง