เมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมาก็เป็นยามเช้าของอีกวันแล้วเบื้องหน้ามีผ้าโปร่งสีแดงตกลู่ลงมา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างนอกรางๆ“ใคร”“เจ้าตื่นแล้ว?”คนผู้นั้นหันกลับมา เปิดผ้าโปร่งขึ้น แล้วใบหน้างามสดใสก็ปรากฏในคลองสายตาของอินชิงเสวียน ซึ่งก็คือสวีจือย่วนนั่นเอง“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”อินชิงเสวียนอยากจะนั่งขึ้น แต่แล้วนางก็ตระหนักว่ามือและเท้าถูกมัดอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว“ที่นี่คือที่ไหนกันแน่”สวีจือย่วนยื่นมือออกมากดตัวอินชิงเสวียนไว้ ลงแล้วพูดด้วยกระเสียงเนิบช้า “ที่นี่คือเรือนจุ้ยหง เจ้านอนลงก่อนสักครู่เถอะ”“อินสิงอวิ๋นพาข้ามาที่นี่รึ” อินชิงเสวียนมองนาง แล้วเอ่ยถามขึ้นสวีจือย่วนพยักหน้า “อืม”คิ้วของอินชิงเสวียนขมวดเป็นปมแน่นขึ้นอีก“เจ้าก็โดนเขาจับเหมือนกันหรือ”สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก แล้วกระซิบ “ข้าขอร้องให้เขาพาข้าออกมาด้วย”อินชิงเสวียนตกตะลึง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าไม่กลัวหรือว่าถ้าออกจากวังโดยพลการ จะเดือดร้อนพ่อแม่ไปด้วย”สวีจือย่วนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “หากวันหนึ่งข้าถูกจับกลับวัง ข้าก็แค่บอกว่าข้าถูกลักพาตัว หรือบางทีเราอาจจะไปจา
“แน่นอน”อินชิงเสวียนพูดอย่างเรียบง่ายและชัดเจนอินสิงอวิ๋นมองดูนางอยู่นาน แล้วจึงพูดเรียบๆ “จดหมายฉบับนั้น เป็นของข้าจริงๆ”อินชิงเสวียนตัวสั่นไปทั้งร่าง มองไปยังอินสิงอวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อผู้ที่ใส่ร้ายตระกูลอิน คือเขา!“ท่าน...ท่านไปติดต่อกับราชวงศ์เจียงวูได้อย่างไร ท่านทำเช่นนี้ ไม่รู้สึกผิดต่อท่านพ่อบ้างหรือ”นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าเย่จิ่งเย่ากำลังใส่ร้ายตระกูลอิน แต่นางไม่คิดว่าอินสิงอวิ๋นจะยอมรับอย่างง่ายดายเมื่อคิดถึงอินจ้งที่ทุ่มเทให้กับบ้านเมือง มีความภักดีเต็มหัวใจ และพี่รองอินปู้อวี่ที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ นี่เป็นความรู้สึกของการถูกทรยศ โดยคนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดอินสิงอวิ๋นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆ “ไม่ใช่ข้าที่ติดต่อกับราชวงศ์เจียงวู แต่ราชวงศ์เจียงวูกับข้าได้ติดต่อกันมาโดยตลอด”ดวงตาคู่งามของอินชิงเสวียนเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”อินสิงอวิ๋นโน้มตัวมาทันที พูดด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “เพราะว่า ข้าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้า”“หะ!”อินชิงเสวียนตกตะลึง“ท่านเป็นใครกันแน่”อินสิ
จู่ๆ อินชิงเสวียนก็ขนลุกไปทั่วทั้งร่างพอเห็นอินสิงอวิ๋นกำลังจะจากไป นางก็ตะโกนทันที “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองขณะมองตามแผ่นหลังของเขาที่กำลังจากไป อินชิงเสวียนก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ปริมาณข้อมูลมีมากเกินไปจริงๆแต่เจ้าตัวดีนี่กลับจากไปในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของนางนั้นถูกต้อง คนผู้นี้แปลงโฉมมาจริงๆไม่คิดว่าคนในยุคโบราณจะมีวิชาแปลงโฉมที่เหมือนจริงขนาดนี้ ลักษณะท่าทาง และรูปร่างของเขาแทบจะเหมือนกับพี่ใหญ่ของเจ้าของร่างเดิมไม่ผิดเพี้ยนเลยยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากราชวงศ์เจียงวูด้วยด้วยเบาะแสเหล่านี้ การแก้ไขสถานะตระกูลอินให้ถูกต้องก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่เหตุใดอินสิงอวิ๋นตัวจริงถึงคิดก่อกบฏ และกลายไปเป็นเขยของเจียงวูให้ตายเถอะ เรื่องชักจะยุ่งยากไปกันใหญ่แล้ว!อินชิงเสวียนคิดจนหัวแทบระเบิดนางขยับโซ่ คิดจะใช้พลังแห่งมิติหลบหนีไป แต่เมื่อคิดได้ว่าทางกลับมีทางเดียวเท่านั้น นางก็ยอมแพ้คนผู้นี้มีลูกธนูอาบพิษของเจียงวูมากมาย ถ้าเกิดทำให้เขาพาลโกรธ แล้วฆ่าคนปิดป
ที่หอสุ่ยอวิ้นหมอหลวงเหลียงกำลังตรวจชีพจรของสวีจือย่วนอยู่เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ“เป็นอย่างไรบ้าง”หมอหลวงเหลียงลูบเคราแล้วพูดว่า “นายหญิงสวีเป็นกระวนกระวายใจมากจนหมดสติไป ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล กระหม่อมจะฝังเข็มให้นายหญิงสวีเดี๋ยวนี้ อีกไม่นานก็จะได้สติพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เป็นกังวลดั่งไฟแผดเผา“เช่นนั้นก็รีบหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเฒ่ารีบหยิบเข็มเงินออกจากถุงเข็ม แล้วฝังเข็มในจุดต่างๆ ของสวีจือย่วน อันได้แก่ จุดถันจง จุดหู่โข่ว รวมไปถึงจุดเหรินจงและอื่นๆหลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป สวีจือย่วนก็ค่อยๆ รู้สึกตัว เมื่อนางเห็นเย่จิ่งอวี้ นางก็หลั่งน้ำตาเป็นสาย“ฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้มาที่เตียง พูดอย่างอบอุ่นว่า “เจ้าอย่าเพื่อนตื่นตระหนกไป มีอะไรก็ค่อยๆ พูด เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”สวีจือย่วนกัดริมฝีปากพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนหม่อมฉันอยู่ว่างๆ จึงไปพบพระสนมเหยาเฟย แล้วหม่อมฉันกับพระสนมก็มาที่หอสุ่ยอวิ้น พูดคุยกันสักพัก ทันใดนั้นคนชุดดำก็บุกเข้ามา และทำให้หม่อมฉันหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในเรือนจุ้ยหงแล้ว”นางสะอื้น แล้วพูดว่า “หม่อมฉัน
ฟางรั่วยิ้มอย่างเหยียดหยาม แล้วกล่าวว่า “หญิงงาม เงินตรา และความอ่อนละมุนของสตรี บุรุษใดบ้างจะปฏิเสธได้”อินชิงเสวียนพูดอย่างหนักแน่น “พี่ใหญ่ของข้าไม่ใช่คนแบบนั้น”ฟางรั่วพูดประชด “แล้วเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนอย่างไร ซื่อสัตย์กล้าหาญ ยอมตายดีกว่ายอมจำนน? เฮอะ เขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดที่ใช้ชีวิตอย่างไร้เกียรติเท่านั้น”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว อินสิงอวิ๋นเป็นกบฏจริงๆ เพราะเหตุนี้งั้นหรือไม่ใช่หากเขาเป็นเช่นนี้จริง เจียงวูก็ส่งตัวเขากลับมาเลยสิ จะส่งอ๋องจอมปลอมมาทำไม“คนเลวทรามต่ำช้าอย่างพวกเจ้าคงทำอะไรกับเขาแน่ๆ”ฟางรั่วแค่นเสียงพูดว่า “เจ้ายกย่องเขามากเกินไปแล้ว คนตระกูลอินเป็นเพียงคนที่โลภกลัวความตายเท่านั้นแหละ”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย“เจ้าพยายามยั่วให้ข้าโกรธอยู่งั้นหรือ”ฟางรั่วพูดอย่างเย็นชา “แล้วอย่างไร ข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้า”อินชิงเสวียนยักไหล่ “คนที่ไม่ชอบขี้หน้าข้ามีเยอะแยะ มีเจ้าเพิ่มอีกคนจะเป็นไรไป”จากนั้นก็หันกลับมาแล้วถามว่า “นี่ นายท่านของเจ้าคงน่าเกลียดมากกระมัง ไม่งั้นทำไมต้องใส่หน้ากากเป็นพี่ใหญ่ของข้าอยู่อีก”ฟางรั่วโกรธทันที พูดด้
ประกายสีเงินวาววับ แล้วก็มีกระบี่ยาวแทงสวนเข้ามาจากด้านนอกประตู อินชิงเสวียนไม่กล้าแตะต้องกระบี่โดยตรง จึงถูกบังคับให้กลับเข้าไปในห้องทันทีฟางรั่วชักกระบี่ออกมาแล้วปรี่เข้าไปทันที“เจ้ากล้าหนีรึ”อาซือหลานหายแวบไปอีกด้าน หรี่ตามองไปยังอินชิงเสวียนอย่างพิจารณา เมื่อเห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างสะเปะสะปะ ไม่รู้จักการตอบโต้ด้วยกระบวนท่า อาศัยเพียงการโหมโจมตีด้วยกำลังดุร้าย ทันใดนั้นก็ทราบชัดเจนทันทีนางอาจมีแค่กำลังภายใน แต่ไม่รู้จักเพลงยุทธ์ด้วยซ้ำ เพียงแต่นางอายุเท่านี้ แต่ไปฝึกฝนกำลังภายในที่ลึกซึ้งเช่นนี้มาจากไหนกันอินชิงเสวียนก็รู้สึกกระวนกระวายใจดั่งไฟแผดเผาอยู่ครามครัน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของนางจะไม่มีประโยชน์ ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าทักษะวรยุทธ์จะดีแค่ไหนแต่ก็ต้องกลัวคนจนตรอกที่ทุ่มสุดกำลังเมื่อเห็นฟางรั่วถือกระบี่ยาวเดินกดดันเข้ามาราวกับพยัคฆ์คำรามลม อินชิงเสวียนทำได้เพียงหลบหลีกไปมา ไม่กล้าที่จะลงมือต่อสู้เลย เพราะกลัวว่าหากไม่ระวัง ฟางรั่วจะตัดแขนของตัวเองทิ้งอาซือหลานก็เห็นถึงจุดสำคัญตรงนี้เช่นกัน จึงดึงกระบี่อ่อนที่คาดเอวออกมาทันทีพวกเขาทั้งสองต่างกดดันอย่
ฟางรั่วค้นหาไปรอบๆ แล้ววิ่งออกไปด้วยใบหน้าซีดเซียวอินชิงเสวียนกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ หลังจากนั้นไม่นาน ฟางรั่วก็กลับมา และคนที่กลับมากับนางก็คือชายมีหนวดเคราคนก่อนหน้านี้ ดูท่าแล้วอ๋องขยะนั่นไม่น่าจะอยู่ที่นี่เมื่อมองดูโซ่บนเตียง ฟางรั่วทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ถามอย่างเย็นชา “เพราะเจ้าเผลอหลับไป ปล่อยให้นางแอบออกไปได้น่ะสิ”ชายที่มีหนวดเคราพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ข้าเฝ้าประตูทางออกไว้ตลอด ไม่เห็นใครผ่านมาเลย ต้องเป็นเจ้าเพราะเจ้าที่เฝ้าไม่ดี ปล่อยให้นางหนีไปที่อื่น”ฟางรั่วพูดด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง “เป็นไปไม่ได้ นางไม่มีทางรู้จักทางออกนั้น”ชายมีหนวดเคราพ่นหายใจขึ้นจมูก แล้วพูดว่า “แล้วเจ้าคิดว่าคนหายไปไหนล่ะ”เขาเหลือบมองฟางรั่ว แล้วพูดเยาะเย้ย “หรือเจ้ากลัวจริงๆ ว่านายท่านจะพานางกลับไปที่เจียงวู เจ้าจึงแอบปล่อยนางไป”ฟางรั่วโกรธขึ้นมาทันที“ปล่อยบ้านเจ้าน่ะสิ ข้าแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้เสียเมื่อไหร่”ชายที่มีหนวดเคราพูดว่า “เรื่องนี้ก็บอกไม่ได้หรอก ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าชอบนายท่าน”ฟางรั่วชักกระบี่ออกมาทันที ตะโกนอย่างดุเดือด “เจ้าลองพูด
เย่จิ่งอวี้คว้าคอเสื้อของหลี่เต๋อฝูแล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นางอยู่ไหน นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”หลี่เต๋อฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งรีบร้อน พระสนมยังมีชีวิตอยู่แน่นอน ตอนนี้นางอยู่ในจวนจิ้งอ๋อง ท่านอ๋องส่งคนมาส่งข่าวเมื่อสักครู่นี้ บอกว่าพระสนมเรียบร้อยดีทุกอย่าง เพียงแค่ตกใจเล็กน้อย”เย่จิ่งอวี้ตื่นเต้นมาก พร่ำพูดว่า “ดี ดีมาก!”จากนั้นจึงกล่าวว่า “แล้วเหตุใดนางจึงไม่เข้าวังมาเลย”หลี่เต๋อฝูกล่าวว่า “พระสนมบอกว่าไม่มีหลักซานยืนยันใดๆ ติดตัว กลัวว่าองครักษ์จะไม่ยอมให้นางเข้าวัง จึงไปหาท่านอ๋องสิบสามพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “ที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผล ข้าจะไปรับนางที่จวนจิ้งอ๋องเอง”เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทองค์น้อยที่เศร้าโศกมาหลายวันในที่สุดก็ยิ้มได้ ใบหน้าของหลี่เต๋อฝูก็เบิกบานเช่นกัน“กระหม่อมจะไปกับฝ่าบาทด้วย”“ข้าอนุญาต รีบไปพาเฟยมั่วของข้ามาเร็วๆ”ทันทีที่เย่จิ่งอวี้พูดจบ ไป๋เสวี่ยก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอกเหมือนมันจะรู้ว่าพวกเขากำลังจะไปหาอินชิงเสวียน มันใช้อุ้งเท้าชี้ไปที่เย่จิ่งอวี้ทันที พร้อมกับส่งเสียงครวญครางในลำคอเย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ลูบหัวใหญ่
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะทำนายดูอีกครั้ง”นักพรตเทียนชิงหยิบเหรียญอีแปะและกระดองเต่าออกมา เขย่าหกครั้ง ค่อยๆ จัดเรียงเหรียญทีละเหรียญ เขามองดูพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ลูบหนวดเคราแล้วพูดว่า “ภาพทำนายไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย คุณชายน้อยเย่...”“เป็นอย่างไรบ้าง เขากลับมาไม่ได้กระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจ“พูดยาก ทุกสิ่งในตัวเขาไม่แน่นอนมาก ดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้ หมอกก็ไม่ใช่หมอก เหมือนมองดอกไม้ในสายหมอก ยากที่จะเห็นภาพที่แท้จริง ข้าไม่เคยเห็นภาพทำนายเช่นนี้มาก่อน”นักพรตเทียนชิงมองดูเหรียญอีแปะด้วยสีหน้าประหลาดใจมากอินชิงเสวียนถอนหายใจ“เอาเถอะ ถ้าเขาสามารถกลับไปยังที่ที่เขาอยู่ได้จริงๆ ก็คงจะดี”เดิมทีเย่จิ่งหลานไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของยุคนี้มากนัก แทนที่จะเป็นแบบนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เขาไปในที่ที่เขาต้องการไปดีกว่าเขาเป็นคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสร้างประโยชน์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้นักพรตเทียนชิงไม่ได้พูด บรรยากาศอึมครึมอยู่พักหนึ่งอินชิงเสวียนรู้สึกเศร้า จากนั้นทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาและถามว่า “ท่านนักพรตสามารถทำนายได้หรือไม่ว่าชิงฮุยอยู่ที่ไหน”นัก