เย่จิ่งอวี้คว้าคอเสื้อของหลี่เต๋อฝูแล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นางอยู่ไหน นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”หลี่เต๋อฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งรีบร้อน พระสนมยังมีชีวิตอยู่แน่นอน ตอนนี้นางอยู่ในจวนจิ้งอ๋อง ท่านอ๋องส่งคนมาส่งข่าวเมื่อสักครู่นี้ บอกว่าพระสนมเรียบร้อยดีทุกอย่าง เพียงแค่ตกใจเล็กน้อย”เย่จิ่งอวี้ตื่นเต้นมาก พร่ำพูดว่า “ดี ดีมาก!”จากนั้นจึงกล่าวว่า “แล้วเหตุใดนางจึงไม่เข้าวังมาเลย”หลี่เต๋อฝูกล่าวว่า “พระสนมบอกว่าไม่มีหลักซานยืนยันใดๆ ติดตัว กลัวว่าองครักษ์จะไม่ยอมให้นางเข้าวัง จึงไปหาท่านอ๋องสิบสามพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “ที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผล ข้าจะไปรับนางที่จวนจิ้งอ๋องเอง”เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทองค์น้อยที่เศร้าโศกมาหลายวันในที่สุดก็ยิ้มได้ ใบหน้าของหลี่เต๋อฝูก็เบิกบานเช่นกัน“กระหม่อมจะไปกับฝ่าบาทด้วย”“ข้าอนุญาต รีบไปพาเฟยมั่วของข้ามาเร็วๆ”ทันทีที่เย่จิ่งอวี้พูดจบ ไป๋เสวี่ยก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอกเหมือนมันจะรู้ว่าพวกเขากำลังจะไปหาอินชิงเสวียน มันใช้อุ้งเท้าชี้ไปที่เย่จิ่งอวี้ทันที พร้อมกับส่งเสียงครวญครางในลำคอเย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ลูบหัวใหญ่
สีหน้าของทุกคนซีดเผือด นี่คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน ถ้าเกิดเป็นอะไรไป คนที่เหลือก็ไม่ต้องมีใครมีชีวิตรอดอีกแล้ว ฉินเทียนกับหลี่ชีตกใจจนตัวสั่นสะท้าน มองดูเย่จิ่งอวี้โดยที่ไม่กล้าขยับตัวเย่จั้นผลักทั้งสองคนออกไป แล้วอุ้มเย่จิ่งอวี้ขึ้นรถม้าเขาสั่งอย่างเร่งรีบ “เข้าวังทันที! ส่วนพวกเจ้าไปที่สำนักหมอหลวงก่อน บอกเรื่องนี้ให้หมอหลวงเหลียงทราบ”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินเทียนกับหลี่ฉีกระโดดขึ้นหลังม้า ทันทีที่แตะท้องม้าพวกเขาก็วิ่งหน้าตั้งไปยังวังหลวงอย่างสุดชีวิต เย่จั้นกอดเย่จิ่งอวี้ไว้ในอ้อมแขน แขนเสื้อสีขาวเหมือนหิมะก็ถูกย้อมเป็นสีแดงทันทีระเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าก็มาถึงประตูวังหลวง เหล่าทหารองครักษ์กำลังจะเข้ามาขวาง แต่ถูกทหารหน่วยเปลวเพลงสีชาดเตะไปอีกด้าน“ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ใครกล้าขวาง ฆ่าไม่เว้น!”ทหารหน่วยเปลวเพลงสีชาดตะโกนไปตลอดทาง คุ้มกันรถม้าจนกระทั่งไปถึงวังหลังหมอหลวงเหลียงที่กำลังปรุงยาอยู่ เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บ สิ่งที่อยู่ในมือก็ร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ“ฝ่าบาท...ฝ่าบาทอยู่ที่ใด”ฉินเทียนดึงเขาขึ้นไปบนหลังม้า“ตามข้าไปที่ตำหนักเฉิงเทียน”ณ ต
“ไม่รู้ชั่วดี เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เอง”เย่จั้นค่อยๆ ดึงกระบี่ยาวของเขาออกมา กระบี่นั้นงามราวกับน้ำ สดใสแต่ไม่แวววาว สามารถบอกได้ทันทีว่ามันไม่ใช่กระบี่ธรรมดาอินชิงเสวียนไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้แล้วตอนที่นางทะลุมิติมา เดิมทีนางต้องการที่จะสละความรับผิดชอบทั้งหมด ออกจากวังเย็น คนร่ำรวยผู้เกียจคร้านแต่เมื่อรู้ว่าตระกูลอินมีโอกาสพ้นความผิด นางก็เปลี่ยนใจเนื่องจากนางใช้ร่างของเจ้าของร่างเดิม จึงต้องทำอะไรเพื่อตระกูลอิน หลังจากที่นางตัดสินใจได้แล้ว นางก็ทำงานอย่างหนักเพื่อให้อินจ้งกลับเมืองหลวงได้ ตอนนี้งานใหญ่กำลังจะประสบความสำเร็จ กลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ว่าจะเพื่อตระกูลอินก็ดี เย่จิ่งอวี้ก็ช่าง นางต้องเข้าไปในวังหลวงให้ได้ถ้าเย่จิ่งอวี้ตาย ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า!ทันใดนั้นนางก็คิดถึงภาพพักหน้าจอโทรศัพท์ แล้วหัวใจก็รู้สึกขมขื่นอีกครั้งสิ่งดีๆ ที่เย่จิ่งอวี้ทำเพื่อนาง ไม่เคยปิดบังอำพราง แม้ว่านางมักจะปลอบใจตัวเองว่าเสมอกันแล้ว แต่หนี้บุญคุณ จะทำให้เสมอกันได้อย่างไรเขาปกป้องนางหลายครั้ง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับนักฆ่า หรือเผชิญหน้ากับไทเฮาและเหล่าขุนนางราชสำนัก
หลังจากออกจากตำหนักเฉิงเทียนแล้ว ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ“ข้าได้ยินมาว่าเย่จิ่งอวี้ไม่เพียงแต่ถูกแทงที่ส่วนสำคัญเท่านั้น แต่ที่มีดสั้นยังอาบยาพิษไว้อีกด้วย คราวนี้เขาหนีความตายไม่พ้นแน่ โอกาสหายากเช่นนี้ เจ้าต้องใช้ป้ายทองที่เสด็จพ่อเจ้าทิ้งไว้ให้ทันที ให้เย่จั้นเคลื่อนทัพเพื่อเจ้า”เย่จิ่งเย่าพูดอย่างขมขื่น “ถ้ายังมีป้ายตราคำสั่งอยู่ ลูกคงเอาออกมานานแล้ว หลายวันก่อนจวนอ๋องถูกขโมย ป้ายตราคำสั่งก็ถูกขโมยไปด้วย”ไทเฮาหยุดเดิน ถามด้วยความโกรธว่า “อะไรนะ ของสำคัญเช่นนี้กลับถูกขโมยไปแล้วหรือ”เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่จิ่งเย่าก็อารมณ์เสียเช่นกัน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะให้ข้าแขวนป้ายคำสั่งทองไว้รอบคอได้ทุกวันได้อย่างไร องครักษ์เงาของเย่จิ่งอวี้ทำตัวลึกลับซับซ้อน จะต้องเป็นฝีมือของพวกเขาแน่ๆ”ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิว่า “เจ้าคนไม่เอาไหน ข้าอุตส่าห์รอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีโอกาสแล้ว เจ้ากลับทำป้ายทองนั้นหาย?”เย่จิ่งเย่าพูดอย่างฉุนเฉียว “ข้าก็ไม่อยากทำหาย แต่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไรได้”ไทเฮาจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง “ไม่ว่าองครักษ์เงาของเย่จิ่ง
“ฮะ!”อินชิงเสวียนอุทานอย่างอดไม่ได้“แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”เย่จั้นพูดด้วยใบหน้าเหยเกอย่างเจ็บปวด “ลมหายใจรวยริน”ดวงตาของอินชิงเสวียนแดงก่ำด้วยความวิตกกังวล นางยื่นมือออกมาจับแขนเสื้อของเย่จั้น“แล้วเหตุใดถึงต้องรอจนฟ้ามืดเล่า ท่านอ๋องไม่กลัวเกิดเหตุร้ายขึ้นกับฝ่าบาทหรือ”เย่จั้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ตอนนี้เจ้าคือนักโทษคนสำคัญที่ลอบสังหารฝ่าบาท ในเมื่อไทเฮารู้เรื่องนี้แล้ว คิดว่าอีกไม่นานเหล่าขุนนางก็จะทราบเรื่อง หากเจ้าถูกใครพบตัวในเวลานี้ จะมีไม่มีทางรอดแน่นอน แม้ว่าฝ่าบาทจะดีต่อเจ้า แต่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”อินชิงเสวียนเซไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จนเกือบจะล้มลงกับพื้นในตอนนี้นางเกลียดอาซือหลานมากถ้าไม่ใช่เพราะเขา นางคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้เมื่อก่อนนางเห็นเขาเป็นพี่ใหญ่มาโดยตลอด สุดท้ายแล้วความรักทั้งหมดที่มอบให้กลับมอบให้สุนัขเสียได้เมื่อนึกถึงสุนัข อินชิงเสวียนก็ฉุกนึกถึงบางอย่างได้ครั้งล่าสุดที่ได้เจออาโฉ่ว ไป๋เสวี่ยก็ดูใกล้ชิดเขามากเป็นพิเศษในเวลานั้นคิดว่าไป๋เสวี่ยดมกลิ่นรู้ว่าเขาเป็นญาติของนาง แต่ตอนนี้อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็ถึงบางอ้อ ไป๋เ
ซึ่งเวลานี้ ในตำหนักจินหวูกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวายหลายอึดใจก่อน ไทเฮาประกาศว่าอินชิงเสวียนได้ลอบสังหารฝ่าบาท ทุกคนในวังล้วนตกอยู่ในความระแวดระวัง เป็นที่ตื่นตระหนกกันไปทั่วทุกแห่งหนหรือว่าเรื่องที่ฝ่าบาทจะทำการสังหารหมู่ในตำหนักจินหวู กำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้วเดิมทีทุกคนคิดว่าจะสามารถมีวาสนาไปกับเจ้านายที่ได้รับความโปรดปราน แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน พระสนมเหยาเฟยผู้นี้ก็กลายเป็นนักฆ่า แถมยังลอบสังหารฝ่าบาทอีกด้วยหากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ พวกเขาคงจะถูกตัดหัวแน่ในวังหลวงแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยคนที่ประจบผู้มีฐานะสูงและเหยียบย่ำผู้ที่ตกต่ำ เมื่อก่อนพวกขันทีนางกำนัลเหล่านี้มีแต่จะมาประจบประแจงยกยอปอปั้นอวิ๋นฉ่าย ยายหลี่ และเสี่ยวอานจื่อ บัดนี้พระสนมเกิดโชคร้าย อยู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกขัดตาขึ้นมาเสียงอย่างนั้นตอนแรกเสี่ยวอานจื่ออยากส่งคนไปหาข่าวสักคน แต่กลับไม่สามารถใช้งานใครได้ จึงอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าและสาปแช่งด้วยความโกรธขันทีน้อยต่างก็คิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาจะต้องตายกันหมดอยู่แล้ว ไยจึงต้องมาทนกับอารมณ์โมโหร้ายนี้ด้วย จึงไม่ทำตามคำสั่งของเสี่ยวอานจื่อ แถมทั้งหมดยังช่วยกันรุ
ณ ตำหนักเฉิงเทียนอินชิงเสวียนป้อนน้ำพุวิญญาณจนหมดขวด สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การสะท้อนขึ้นลงของหน้าอกดูมีแรงขึ้นเมื่อมองดูเส้นสีเขียวบนข้อมือของเขา ก็ดูดีขึ้นมากแล้วอินชิงเสวียนเช็ดปาก แล้วพูดกับเย่จั้น “พิษของฝ่าบาทน่าจะถูกขจัดไปเกือบหมดแล้ว”เย่จั้นวางนิ้วบนข้อมือของเย่จิ่งอวี้ทันที เมื่อเห็นว่าชีพจรเริ่มเต้นแรงแล้ว เขาก็พยักหน้า“ข้าจะตามหมอหลวงเข้ามาตรวจดู”“ดี”อินชิงเสวียนประคองเย่จิ่งอวี้ให้เขานอนหนุนหมอนอย่างเบามือ เมื่อมองดูคิ้วที่ขมวดมุ่น นางก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวนางจับมืออันเย็นชื้นข้างนั้น พร่ำกระซิบในใจไม่หยุดทุกอย่างต้องเรียบร้อยดี!เย่จิ่งอวี้ ท่านจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอก อินชิงเสวียนก็ปล่อยมืออย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะลงแล้วก้าวออกไปอยู่ข้างๆหมอหลวงเหลียงรีบเดินเข้าไปในห้อง แล้วคุกเข่าข้างเตียงเพื่อตรวจชีพจรของเย่จิ่งอวี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งแววตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจเขาพูดด้วยความประหลาดใจระคนยินดี “พิษของฝ่าบาทถูกขจัดไปแล้วจริงๆ นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร”ว่ากันว่าเมื่อดีนกยูงได้เข้าสู่ร่างก
นางยอมให้คนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นตัวเอง ยังดีเสียกว่าที่ต้องมาเห็นเย่จิ่งอวี้ถูกทำร้ายแบบนี้!แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไปแล้ว นางทำได้เพียงอธิษฐานต่อสวรรค์ ขอให้เย่จิ่งอวี้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็วน้ำตาร่วงเผาะๆ ลงบนหลังมือของเย่จิ่งอวี้ ตอนนี้ราวกับว่าน้ำทั้งหมดในร่างกายเหมือนจะทะลักออกมาจากดวงตาอินชิงเสวียนไม่อยากร้องไห้ นางไม่เคยเป็นคนอ่อนแอเจ้าน้ำตาเช่นนี้มาก่อน แต่นางก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เช็ดน้ำตาชุดเดิมที่ไหลรินออกมาแล้ว ก็ยังมีน้ำตาระลอกใหม่ไหลออกมาอีก อินชิงเสวียนเช็ดดวงตาอย่างแรง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง จึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดตา“ท่านอ๋อง ท่านกลับมาแล้ว”ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างหลังก็หยุดลง แล้วน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็พูดอย่างตื่นเต้น “พระสนม เป็นท่านจริงๆ!”อินชิงเสวียนหันกลับมาทันที จึงได้เห็นเสี่ยวอานจื่อที่ใบหน้าและจมูกบวมช้ำ“เสี่ยวอานจื่อ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”เสี่ยวอานจื่อเดินเร็วๆ ไปหลายก้าว แล้วมาคุกเข่าอยู่หน้าเตียง กล่าวด้วยกระแสเสียงที่ผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย“พระสนม ท่านไม่เป็นอะไรช่างดีจริงๆ ฝ่าบาท...พระองค์ทรงไม่สบายจริงหรือ”
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี