ขณะนี้ อินชิงเสวียนได้นำไป๋เสวี่ยออกจากวังแล้วนางรู้ว่าวันนั้นเจ้าสุนัขดื่มน้ำพุวิญญาณ จึงสามารถเลียตุ่มบนตัวของเสี่ยวหนานเฟิงจนหายดีได้ แต่ว่าเย่จิ่งอวี้ไม่รู้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาสงสัย จึงทำได้เพียงให้มันตามไปด้วยไป๋เสวี่ยไม่ค่อยได้ออกจากวัง และเมื่อได้ออกมากับอินชิงเสวียน จึงอดไม่ได้ที่จะกระโดดไปข้างหน้าและข้างหลังด้วยความดีใจ จนม้าของอินชิงเสวียนร้องครางเสียงยาว และแทบทำให้นางไหลตกลงไปไป๋เสวี่ยเห่าเสียงโฮ่งไปที่ม้าทันที ม้าหยุดฝีเท้าหน้าลงราวกับมันฟังเข้าใจ และบรรทุกอินชิงเสวียนไว้อย่างระมัดระวังอินชิงเสวียนกลัวว่ามันจะทำให้ผู้อื่นตกใจ จึงตำหนิในทันที “อย่าวิ่งเพ่นพ่าน ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับไป”ไป๋เสวี่ยครางหงิงๆ และเดินตามม้าของอินชิงเสวียนอย่างเชื่อฟังฉินเทียนและหลี่ฉีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ทั้งสองต่างพูดว่าไป๋เสวี่ยดุร้ายและเลี้ยงยาก แต่กลายเป็นลูกแมงทันทีที่อยู่ข้างกายเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงทรงมีวิธีจริงๆ ด้วยในระหว่างที่ครุ่นคิดก็ได้เข้ามายังถนนเทียนเจียครั้งที่ออกจากวังก่อนหน้านี้ เหล่าราษฎรยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้กลับมีคนจำนวนไม่น้อยนอนร้องโหยหวนอย
ขณะนี้ พระอาทิตย์ได้ตกดินแล้วผู้คนที่ทำการค้าขายบนถนนเทียนเจียต่างก็เก็บแผงขายของหมดแล้ว ถนนดูว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้ยืนอยู่ตรงกลางของถนน ซึ่งให้ความรู้สึกสูงตระหง่านแปลกตาเล็กน้อยไป๋เสวี่ยยืนห่างจากเขาห้าก้าว รอให้ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเขาอินชิงเสวียนรีบตะโกนขึ้น “ไป๋เสวี่ย กัดคนมั่วซั่วไม่ได้นะ!”ไป๋เสวี่ยกลับเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว คนคนนั้นก็ค่อยๆ ก้มหัวลงและมองไปที่ไป๋เสวี่ยอินชิงเสวียนอดตื่นตกใจไม่ได้ จึงรีบลงจากหลังม้า และก้าวเท้าไปยังข้างตัวไป๋เสวี่ยด้วยความว่องไวไป๋เสวี่ยดมกลิ่นจากตัวของคนคนนั้น จู่ๆ ก็แลบลิ้นออกมาและเลียบนมือของเขาหนึ่งทีอินชิงเสวียนแปลกประหลาดใจเล็กน้อย ไป๋เสวี่ยแสดงความเป็นมิตรกับคนแปลกหน้างั้นหรือ?นางเงยหน้ามองไปที่คนคนนั้น หลับเห็นว่าคนคนนั้นก็กำลังมองนางเช่นกัน ดวงตาที่ลุกโชน ทำให้อินชิงเสวียนยากที่จะรับมือนางรีบถอดสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว กำหมัดและพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ อย่าได้กลัวไปเลย ไป๋เสวี่ยไม่ได้มีเจตนาร้ายกับท่าน”จู่ๆ คนคนนี้ก็คว้ามือนางไปจับไว้“ชิงเสวียน นี่ข้าเอง!”เสียงที่คุ้นเคยทำให้อินชิงเสวียนสั่นเท
เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าลง“สวีจือย่วนเป็นอะไร?”เห็นได้ชัดว่าหานปิงไม่รู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่ด้วย สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย“หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท พระสนมนาง... นางปวดท้องนิดหน่อยเพคะ”เย่จิ่งอวี้ควบตาคมแน่น พูดขึ้นเสียงเรียบ “ในเมื่อไม่สบาย เจ้าก็ควรไปหาหมอหลวง เหตุใดจึงต้องมาหาเหยาเฟย?”สายตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความกดดัน หานปิงจึงมีเหงื่อไหลเต็มตัวในทันที“พระสนมบอกว่าอยากพบเหยาเฟย หม่อมฉัน... หม่อมฉันจึงรีบมาแจ้งข่าวเพคะ”อินชิงเสวียนเหลือบมองหานปิง จู่ๆ สวีจือย่วนจึงนึกขึ้นได้ว่านางเคยเชิญพี่ใหญ่ไปยังที่พักของนาง และวันนี้นางก็ได้พบกับพี่ใหญ่พอดี หรือว่า... เขามางั้นหรือ?เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ค้อมตัวลงและพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไปดูดีกว่าเพคะ”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไปด้วยกันสิ เสี่ยวอานจื่อ ไปตามหมอหลวงมา”สีหน้าของหานปิงผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้อินชิงเสวียนมั่นใจในความคิดของตัวเอง“ฝ่าบาททรงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักอยู่ที่ตำหนักจินหวูก่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันไปเดี๋ยวเดียวก็จะกลับ”อินชิงเสวียนคิดจะไป กลับถูกเย่จิ่งอ
แสงจันทร์สีซีดสะท้อนดวงตาสีเข้มของเย่จิ่งอวี้ให้เป็นประกายยิ่งขึ้น ราวกับว่าซ่อมทะเลแห่งดวงดาวไว้ด้านใน ทำให้ผู้คนมัวเมาอย่างอดไม่ได้อินชิงเสวียนหลงกลเล็กน้อย จึงพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสารและพูดขึ้นว่า “เป็นความจริงแน่นอนเพคะ”เย่จิ่งอวี้มองนางและยิ้มออกมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คลายลง “นั่นเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดว่านั่นคือความโปรดปราน จู่ๆ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ความรักที่มีต่อเจ้า ไม่เหมือนที่มีต่อนางเลยสักนิด”อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะในใจ ความรู้สึกของเย่จิ่งอวี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อย ทุกคนต่างก็พอๆ กัน อย่าได้มีใครหัวเราะเยาะกันเลย“หม่อมฉันยังนึกว่าฝ่าบาทตกหลุมรักแรกพบกับพระสนมสวีเสียอีก ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงรีบร้อนช่วยนางในวันนั้นเพคะ”“ข้าช่วยนาง เป็นเพราะข้าเห็นปานที่หัวไหล่ของนาง”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าอายุยังน้อย ข้าเคยแอบหนีออกนอกวังกับเสร็จอาสิบสาม จากนั้นก็เจอคนตามฆ่าและพลัดหลงกับเสด็จอา ตอนนั้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งช่วยข้าไว้ และพาข้าไปซ่อนไว้ที่วัดร้างแห่งหนึ่ง และรอการช่วยเหลือจากทหารองครักษ์ ข้
วันต่อมาตอนที่อินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้ก็ออกไปแล้วนางหาวและลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงียอวิ๋นฉ่ายยกน้ำเข้ามาจากด้านนอกพอดี“พระสนม ตื่นแล้วหรือเพคะ?”“ใช่ ฝ่าบาทออกไปตอนไหนกัน?”อินชิงเสวียนบิดขี้เกียจ และลงจากเตียงอวิ๋นฉ่ายเม้มปากหัวเราะ “ออกไปได้หนึ่งชั่วยามแล้วเพคะ และยังกำชับพวกเราอีกว่า อย่ารบกวนการนอนของพระสนม ฝ่าบาทช่างดีต่อพระสนมจริงๆ”จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงคำพูดเมื่อคืนนี้ของเย่จิ่งอวี้ และหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมานางรีบส่ายหัวในทันที ไม่จริง ไม่ใช่เรื่องจริงต้องเป็นเพราะบรรยากาศที่น่าหลงใหลยามค่ำคืน เขาจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาเดินไปที่อ่างล้างหน้าและล้างหน้า ทันใดนั้นก็เห็นเงาสีขาวผ่านเข้ามาอวิ๋นฉ่ายร้องขึ้นมาในทันที “อ๊าย ไป๋เสวี่ย เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”ไป๋เสวี่ยยืนขึ้น ต้องการที่จะไปดื่มน้ำในอ่างล้างหน้า มันเข้าไปใกล้และสูดดม จากนั้นก็ถอยออกไปสุนัขตัวนี้จมูกดีเสียจริง คงรู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำพุวิญญาณในระหว่างที่คิด ก็ได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวอานจื่อ “เหนียงเหนียง คนของตำหนักเฉิงเทียนมาตามหาไป๋เสวี่ยพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋เสวี่ยรีบไปซ่อนตัวอยู
อินชิงเสวียนยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ซื้อขาย ซื้อขาย ถ้าไม่มีคนซื้อ จะมีคนขายได้อย่างไร สนมฉู่ก็เคยได้รับผลประโยชน์ด้วยไม่ใช่หรือ แค่ไม่กี่วันก็ลืมแล้วงั้นหรือ?”ฉู่หลิงอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “อย่างไรผู้อื่นก็ซื้อด้วยเช่นกัน เหตุใดข้าจะซื้อบ้างไม่ได้”น้ำเสียงของอินชิงเสวียนเย็นชา และพูดออกมาทีละคำ “ในเมื่อซื้อไปแล้ว ก็อย่าได้พูดจาไร้สาระเลย ข้าจะขายหรือไม่ขาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลยสักนิดเดียว”ทว่าเมื่อฉู่หลิงอวี้พูดออกมาเช่นนี้ ทำให้นางนึกขึ้นได้เรื่องที่จะทำการขายผ้าอนามัยเสี่ยวอานจื่อหันหลังกลับมา และจ้องฉู่หลิงอวี้ด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงแหลม “เรื่องบ้าบอของท่านช่างมากมายเสียเหลือเกิน”“เจ้า...”ฉู่หลิงอวี้โมโหจนหน้าซีดขาวเสี่ยวอานจื่อเป็นคนของอินชิงเสวียน นางไม่กล้าสั่งสอนอย่างแน่นอน ทำได้เพียงจ้องท้ายทอยของเสี่ยวอานจื่อด้วยความโกรธเคือง หากมีสักวันที่ข้าได้รับความโปรดปราน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน“เราไปกันเถอะ”อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปากนางมีตำแหน่งเป็นถึงเหยาเฟย จะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้ บางคำพูดก็ไม่ควรพูดแรงเกิ
ไม่สนว่าจะได้ผลหรือไม่ ผูกสัมพันธ์ที่ดีไว้ก่อนจะดีกว่าอย่างไรเสียฝ่าบาทก็มาที่ตำหนักจินหวูทุกวัน อีกครู่หนึ่งก็จะออกจากราชสำนักแล้ว ซูฉ่ายเวยมาที่นี่ก็เพื่ออยากลองเสี่ยงดู“ไม่มีปัญหา ตามข้าเข้ามาในตำหนักสิ” อินชิงเสวียนตอบรับอย่างสบายๆหากเมินเฉยต่อการหาเงินถือเป็นคนโง่ หนึ่งหรือสองตำลึงก็นับเป็นเงินยายหลี่รีบเข้าไปรับตัวเสี่ยวหนานเฟิง เพราะว่ามีไป๋เสวี่ย วันนี้เจ้าเด็กดื้อตัวน้อยจึงไม่ค่อยร้องหาอินชิงเสวียนมากเท่าไรทั้งสองกำลังเดินเข้าตำหนัก กลับได้ยินเซียงหลานร้องตะโกนด้วยความตกใจ “เหนียงเหนียง กระโปรงของท่าน”“ทำไมงั้นหรือ?”ซูฉ่ายเวยขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ และอดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าตื่นตกใจ“มีอะไรไหลออกมาใช่หรือไม่?”เซียงหลานพยักหน้าซูฉ่ายเวยรีบถกกระโปรงผ้าแพรของตัวเองขึ้น และได้เห็นรอยเลือดอยู่บนนั้นทันที ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมา“ข้าขอตัวกลับก่อน วันอื่นค่อยมาใหม่”อินชิงเสวียนกำลังอยากขายผ้าอนามัยพอดี จะปล่อยนางไปได้อย่างไร จึงรีบคว้าแขนของซูฉ่ายเวยเอาไว้“ไม่เป็นไร ข้าจะนำของดีมาให้เจ้า รับรองว่าเจ้าจะสบายตัวไปทั้งวัน และนอนหลับอย่างดีทั้ง
อินชิงเสวียนเรียกอวิ๋นฉ่ายเข้ามา ให้นางนำสาวใช้และแป้งมาด้วย ส่วนตัวเองก็เข้าไปในมิติและเก็บเงินให้ดีตอนนี้นางเก็บสะสมเงินได้ไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ความปรารถนาของคนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยพึงพอใจกับความต้องการในเงินตรา ตอนที่มีร้อยตำลึงก็อยากได้พันตำลึง เมื่อมีพันตำลึงก็ขวนขวายจะเอาหมื่นตำลึง ตอนนี้อินชิงเสวียนก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินนับหมื่นตำลึง แต่กลับอยากได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะไข่มุกที่ส่องประกายเหล่านั้น เพียงแค่มองก็หาได้ยากยิ่งอินชิงเสวียนกอดไข่มุกเม็ดโตของนางแล้วจูบมันสองครั้ง จากนั้นก็เก็บเกี่ยวพืชผลเป็นชุด เนื่องจากนางต้องการขายเมล็ดพันธุ์ อินชิงเสวียนไม่ได้แปรรูปสินค้าในรอบนี้ จากนั้นก็ได้ค้นพบข้อดี การเก็บเกี่ยวที่ดินหลังจากที่ได้อัพเกรด จะได้คะแนนสะสมถึงห้าร้อยแต้มหากอัพเกรดอีกสองสามครั้ง คะแนนสะสมก็จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย ดูเหมือนว่าความต้องการที่จะซื้อปืนก็มีความเป็นไปได้บ้างแล้ว บางทีอาจจะสามารถเอารถถังขับออกไปได้เดิมทีนางปล่อยให้มิติทำงานตามอิสระ จู่ๆ ตอนนี้นางกลับมีความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้งอินชิงเสวียนปลูกพืชผลด้วยความดีใจ หลังจากรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณแล้ว
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะทำนายดูอีกครั้ง”นักพรตเทียนชิงหยิบเหรียญอีแปะและกระดองเต่าออกมา เขย่าหกครั้ง ค่อยๆ จัดเรียงเหรียญทีละเหรียญ เขามองดูพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ลูบหนวดเคราแล้วพูดว่า “ภาพทำนายไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย คุณชายน้อยเย่...”“เป็นอย่างไรบ้าง เขากลับมาไม่ได้กระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจ“พูดยาก ทุกสิ่งในตัวเขาไม่แน่นอนมาก ดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้ หมอกก็ไม่ใช่หมอก เหมือนมองดอกไม้ในสายหมอก ยากที่จะเห็นภาพที่แท้จริง ข้าไม่เคยเห็นภาพทำนายเช่นนี้มาก่อน”นักพรตเทียนชิงมองดูเหรียญอีแปะด้วยสีหน้าประหลาดใจมากอินชิงเสวียนถอนหายใจ“เอาเถอะ ถ้าเขาสามารถกลับไปยังที่ที่เขาอยู่ได้จริงๆ ก็คงจะดี”เดิมทีเย่จิ่งหลานไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของยุคนี้มากนัก แทนที่จะเป็นแบบนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เขาไปในที่ที่เขาต้องการไปดีกว่าเขาเป็นคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสร้างประโยชน์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้นักพรตเทียนชิงไม่ได้พูด บรรยากาศอึมครึมอยู่พักหนึ่งอินชิงเสวียนรู้สึกเศร้า จากนั้นทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาและถามว่า “ท่านนักพรตสามารถทำนายได้หรือไม่ว่าชิงฮุยอยู่ที่ไหน”นัก