ไม่สนว่าจะได้ผลหรือไม่ ผูกสัมพันธ์ที่ดีไว้ก่อนจะดีกว่าอย่างไรเสียฝ่าบาทก็มาที่ตำหนักจินหวูทุกวัน อีกครู่หนึ่งก็จะออกจากราชสำนักแล้ว ซูฉ่ายเวยมาที่นี่ก็เพื่ออยากลองเสี่ยงดู“ไม่มีปัญหา ตามข้าเข้ามาในตำหนักสิ” อินชิงเสวียนตอบรับอย่างสบายๆหากเมินเฉยต่อการหาเงินถือเป็นคนโง่ หนึ่งหรือสองตำลึงก็นับเป็นเงินยายหลี่รีบเข้าไปรับตัวเสี่ยวหนานเฟิง เพราะว่ามีไป๋เสวี่ย วันนี้เจ้าเด็กดื้อตัวน้อยจึงไม่ค่อยร้องหาอินชิงเสวียนมากเท่าไรทั้งสองกำลังเดินเข้าตำหนัก กลับได้ยินเซียงหลานร้องตะโกนด้วยความตกใจ “เหนียงเหนียง กระโปรงของท่าน”“ทำไมงั้นหรือ?”ซูฉ่ายเวยขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ และอดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าตื่นตกใจ“มีอะไรไหลออกมาใช่หรือไม่?”เซียงหลานพยักหน้าซูฉ่ายเวยรีบถกกระโปรงผ้าแพรของตัวเองขึ้น และได้เห็นรอยเลือดอยู่บนนั้นทันที ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมา“ข้าขอตัวกลับก่อน วันอื่นค่อยมาใหม่”อินชิงเสวียนกำลังอยากขายผ้าอนามัยพอดี จะปล่อยนางไปได้อย่างไร จึงรีบคว้าแขนของซูฉ่ายเวยเอาไว้“ไม่เป็นไร ข้าจะนำของดีมาให้เจ้า รับรองว่าเจ้าจะสบายตัวไปทั้งวัน และนอนหลับอย่างดีทั้ง
อินชิงเสวียนเรียกอวิ๋นฉ่ายเข้ามา ให้นางนำสาวใช้และแป้งมาด้วย ส่วนตัวเองก็เข้าไปในมิติและเก็บเงินให้ดีตอนนี้นางเก็บสะสมเงินได้ไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ความปรารถนาของคนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยพึงพอใจกับความต้องการในเงินตรา ตอนที่มีร้อยตำลึงก็อยากได้พันตำลึง เมื่อมีพันตำลึงก็ขวนขวายจะเอาหมื่นตำลึง ตอนนี้อินชิงเสวียนก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินนับหมื่นตำลึง แต่กลับอยากได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะไข่มุกที่ส่องประกายเหล่านั้น เพียงแค่มองก็หาได้ยากยิ่งอินชิงเสวียนกอดไข่มุกเม็ดโตของนางแล้วจูบมันสองครั้ง จากนั้นก็เก็บเกี่ยวพืชผลเป็นชุด เนื่องจากนางต้องการขายเมล็ดพันธุ์ อินชิงเสวียนไม่ได้แปรรูปสินค้าในรอบนี้ จากนั้นก็ได้ค้นพบข้อดี การเก็บเกี่ยวที่ดินหลังจากที่ได้อัพเกรด จะได้คะแนนสะสมถึงห้าร้อยแต้มหากอัพเกรดอีกสองสามครั้ง คะแนนสะสมก็จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย ดูเหมือนว่าความต้องการที่จะซื้อปืนก็มีความเป็นไปได้บ้างแล้ว บางทีอาจจะสามารถเอารถถังขับออกไปได้เดิมทีนางปล่อยให้มิติทำงานตามอิสระ จู่ๆ ตอนนี้นางกลับมีความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้งอินชิงเสวียนปลูกพืชผลด้วยความดีใจ หลังจากรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณแล้ว
อินชิงเสวียนประสานมือคำนับ ยิ้มและพูดขึ้นว่า “แม่นางช่างมีสายตาแหลมคมทีเดียว เพียงมองปราดเดียวก็จำข้าได้”วันนั้นนางปลอมตัวเป็นผู้ชายไปที่เรือนจุ้ยหงเพื่อตามหากวนเซี่ยว จึงได้พบกับฟางรั่ว“เรื่องที่แม่นางอยากซื้อเมล็ดพันธุ์ ไม่ทราบว่าต้องการมากเท่าไรขอรับ?”ฟางรั่วหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ข้าอยากปลูกไว้ในลานบ้านของข้า ต้องการไม่มากนักหรอก”หลิวเหล่าไท่ไท่ถามขึ้นอยากแปลกใจ “ครั้งก่อนแม่นางบอกว่า มีเท่าไรก็เอาเท่านั้นไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”ฟางรั่วพูดขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ตอนนั้นข้าอยากซื้อลานบ้านไว้ในเมืองหลวงสักแห่ง จึงอยากปลูกเป็นจำนวนมาก ตอนนี้กลับซื้อลานบ้านไม่สำเร็จ จึงซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ไม่มากนัก”อินชิงเสวียนอดที่จะผิดหวังไม่ได้“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าของแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะปลูกไว้ในลานบ้าน แม้จะปลูกไปแล้วก็จะได้ผลผลิตไม่มาก แม้นางปลูกผักสดหรือผลแตงจะเหมาะสมมากกว่า”ฟางรั่วทำเสียงอ๋อ น้อมตัวลงและพูดว่า “ข้ามีคันนาเพียงสองแถวเท่านั้น หากทำไม่ได้ก็คงต้องปลูกอย่างอื่นแล้วล่ะ ต้องขอโทษที่รบกวนด้วย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”เมื่อมองเงาหลังของฟางรั่ว หลิวเหล่าไท่ไ
อินชิงเสวียนหันม้ากลับในทันที“เชิญท่านอ๋อง!”“เชิญ”เย่จั้นกำปั้นกำไว้ที่หน้าอก ยืดเอวนั่งหลังตรง ท่าทางราวกับต้นไผ่ สูงตระหง่านไม่ธรรมดาท่าทีของพลทหารเช่นนี้ ทำให้อินชิงเสวียนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา อีกประเดี๋ยวจะเข้าไปแลกสุราดีในมิติ ให้เขาลองชิมเสียหน่อยในระหว่างที่ครุ่นคิด เย่จั้นก็ควบม้าของเขาไป“ที่นี่เป็นอย่างไร?”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นก็เห็นป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านบน โดยมีตัวอักษรสี่ตัวว่าโรงเตี๊ยมจวี้เสียนเขียนอยู่บนนั้น ซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณเป็นอย่างมากยิ้มเบาๆ และพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องชอบก็พอแล้วขอรับ”ทั้งสองลงจากม้าพร้อมกัน เย่จั้นสังเกตเห็นสิ่งที่อินชิงเสวียนเหยียบ จึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่คือโกลนม้าที่ฝ่าบาททรงว่าไว้ใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนพยักหน้าและพูดว่า “ขอรับ ของสิ่งนี้จะช่วยให้คนอยู่บนหลังม้าได้อย่างมั่นคง ท่านอ๋องนำกลับไปด้วยได้นะขอรับ”เย่จั้นขี่ม้าเป็นประจำ จึงรู้ถึงประโยชน์ของมันเป็นอย่างดี อดไม่ได้ที่จะพูดชื่นชมออกมาจากใจ “เป็นของดีจริงๆ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะ”อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเกรงใจก
อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อยเย่จิ่งอวี้และเย่จั้นเคยไปตามหาตัวเองที่หอสวดมนต์ด้วยงั้นหรือ?หรือว่าคนสวมหน้ากากที่นางพบในมิติวันนั้น ก็คือพวกเขาสองคน?เมื่อก่อนเคยบ่นว่าเย่จิ่งอวี้ไม่สนใจนาง รู้สึกผิดต่อเขาเสียแล้วเย่จั้นพูดต่อว่า “จิ่งอวี้นิสัยเย็นชา ไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร โดยเฉพาะผู้หญิง เขาตีต่อเจ้าเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก”อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากของตัวเอง และกล่าวคำนับ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่บอกเรื่องนี้กับข้า”เย่จั้นพยักหน้าและพูดอีกว่า “บางครั้งการได้รับความโปรดปรานก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป การทะเลาะกันในวังหลังก็ไม่น้อยไปกว่าสมัยราชวงศ์ก่อน ก่อนที่ท่านพ่อของเจ้าจะกลับเมืองหลวง เจ้าต้องถ่อมตัวให้มาก และอย่าให้ใครมาจับผิดเอาได้ หากใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า คงทำให้เกิดเรื่องใหญ่ในราชวงศ์ก่อนอย่างแน่นอน”เย่จั้นน้ำเสียงราบเรียบ แต่ด้านในแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาคารวะและพูดขึ้น “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงแนะนำ ข้าจะอยู่ในวังหลังอย่างระมัดระวัง เพื่อรอท่านพ่อกลับมา”“เช่นนั้นข้าก็วางใจ”เย่จั้นอ้าปากราวกับจะพูดบางสิ่ง สุดท้ายก็เงียบ
สวนอวิ๋นเซียงเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งปลูกเริ่มแตกหน่อ ผลิใบสีเขียวอ่อน เป็นที่ชื่นใจแก่ผู้พบเห็นยิ่งนักเมื่อเห็นต้นกล้าเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็จิตใจเบิกบานมากหากปลูกต่อไปเช่นนี้ ภายใน 3-5 ปี สายพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงในสมัยใหม่เหล่านี้จะหยั่งรากแตกหน่อได้ในต้าโจว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้นับว่าเป็นสิ่งที่นางนำมาสู่โลกใบนี้เองเสี่ยวหนานเฟิงก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน มือเล็กๆ ชี้ส่งๆ ไปยังตรงนั้นตรงนี้ เท้าน้อยๆ ก็ขยับขึ้นลงอย่างมีความสุข ปากก็พูดอ้อแอ้ด้วยคำพูดแบบเด็กๆ ที่อินชิงเสวียนไม่สามารถเข้าใจได้เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือมาอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไป พาเขาเข้าไปในทุ่งนา พับเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งยองๆ ปล่อยให้เขาได้สัมผัสต้นอ่อนเหล่านั้นเสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมาก จนมือเล็กจ้อยอดไม่ได้ที่จะดึงขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็คว้าต้นกล้าแล้วถอนขึ้นมาทั้งรากเย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่าจ้าวเอ๋อร์จะมีเรี่ยวแรงขนาดนี้”อินชิงเสวียนพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ฝ่าบาทตามใจเขามากเกินไปแล้วเพคะ จะทำลายต้นกล้าได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงยืนขึ้น แล้วมองดูลูกชายของเขาด้
ณ ตำหนักจินหลวนกวนเมิ่งถิงถือฮู่ป่านไว้ในมือ ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “คืนวานนี้นอกจากซูฮ่วนผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการแล้ว ก็ยังมีอธิบดีสำนักฮั่นหลินที่ถูกลอบสังหารจนถึงแก่ชีวิตด้วย ตอนนี้ผู้คนต่างตื่นตระหนก ขอทรงโปรดวินิจฉัยโดยเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้นั่งตระหง่านบนบัลลังก์มังกร ใบหน้าสลักเสลามืดมนดั่งวังวนน้ำลึก โมราสีแดงที่อยู่บนมาลามุงกุฎโยกไหวเบาๆ แสดงถึงความโกรธเคืองที่อยู่ภายในใจเดิมทีการประชุมเช้านี้ต้องการคุยเรื่องเจียงวู ไม่นึกว่าจะได้ยินข่าวร้ายนี้เขากำที่วางแขนของบัลลังก์มังกรอย่างแรง ทำให้เส้นเลือดที่หลังมือปรากฏชัด แล้วจึงถามด้วยเสียงทุ้มลึก “ผู้ว่าการศาลต้าหลี่อยู่ที่ใด”ชายวัยกลางคนที่อายุราวๆ สี่สิบปีเดินออกมาจากเหล่าบรรดาขุนนาง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวว่า “หลังจากที่กระหม่อมทราบเรื่องนี้ ก็ได้ส่งคนไปสอบสวนแล้ว เชื่อว่าคงจะทราบผลในอีกไม่กี่วันพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเย็นชา “อีกไม่กี่วันคือกี่วัน ข้าขอเวลาที่แม่ยำด้วย”ผู้ว่าการศาลต้าหลี่รีบพูดทันทีว่า “กระหม่อมขอเวลาสามวัน ภายในสามวัน จะต้องสืบหาตัวฆาตกรเหล่านี้มาได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พ
เมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่ของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะให้เสด็จอาไปช่วยปกป้องเจ้า แต่เจ้าต้องระวังด้วย เมื่อเจ้ากลับถึงวังแล้ว ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นกุ้ยเฟย เพื่อเป็นการให้รางวัลแก่เจ้า”อินชิงเสวียนตกใจ รีบเอ่ยขึ้นทันควัน “หม่อมฉันเพียงต้องการให้ราษฎรในต้าโจวสงบสุข ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากภัยสงคราม ไม่เคยคิดที่จะใช้สิ่งนี้เพื่อไต่เต้าสู่ตำแหน่งสูงเพคะ”ยิ่งนางอยู่ในตำแหน่งที่สูงก็ยิ่งมีคนอิจฉามากขึ้นเท่านั้น และยากจะหลุดพ้น ตอนนี้ตำแหน่งสนมขั้นเฟยก็สูงพอควรแล้ว นางก็ไม่มีความตั้งใจที่จะปีนขึ้นไปต่อเย่จิ่งอวี้จับมือนางแล้วพูดอย่างอบอุ่น “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน เรื่องนี้สำหรับข้าแล้ว นี่เป็นเพียงโอกาสที่เหมาะสม เดิมทีเจ้าควรจะเป็นไทเฮาของข้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว”อินชิงเสวียนยื่นมือออกมา โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไม่รู้สึกเสียใจเลย ตอนนี้ทุกอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว ขอฝ่าบาทถอนความคิดเมื่อครู่ อย่าแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟยเลยเพคะ”เย่จิ่งอวี้พูดอ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี