เพียงพริบตาคนเหล่านี้ก็หายไปอินชิงเสวียนตกตะลึง คนเหล่านี้ไปทำอะไรในวังเย็น แถมยังสวมชุดพรางตัวอีกนางไม่มีความกล้าที่จะเข้าไปตรวจสอบ สุดท้ายแล้วถ้านางไม่แสวงหาความตายก็จะไม่ตาย ดังนั้นนางจึงรีบเข้าไปในหอฉงฮวาทันทีเมื่อเห็นเสื้อผ้านุ่มๆ สองชุดนี้ ซูฉ่ายเวยก็ชอบมากจนวางไม่ลงทั้งฝีมือการตัดเย็บและเนื้อผ้า ดูดีกว่าชุดที่นายหญิงพวกนั้นเย็บอีกนางไม่สนใจถามด้วยซ้ำว่าสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด เพียงฮ่องเต้โปรดก็พอถึงอย่างไรทุกคนที่อยู่ในวังมีทางของตัวเอง และแม้ว่าจะถามไป อินชิงเสวียนก็ไม่บอกเช่นเดิม"ไม่ทราบว่าเสื้อผ้าสองชุดนี้?"อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า "ถ้าพระสนมชอบ ก็จ่ายให้ข้าห้าร้อยตำลึงก็พอ"อิงตามราคาของเสื้อผ้า ชุดเล็กๆ สองชุดนี้เรียกได้ว่าราคาแพงมาก แต่สิ่งที่เสี่ยวเสวียนจื่อขายนั้นย่อมแตกต่างจากผู้อื่น และซูฉ่ายเวยก็เต็มใจที่จะจ่ายเงินพวกนี้"เช่นนั้นก็ต้องขอบใจแล้ว"ซูฉ่ายเวยยกริมฝีปากขึ้นยิ้มแล้วพูดว่า "ฝ่าบาทต้องเลือกเสื้อผ้าเหล่านี้แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น..."อินชิงเสวียนพูดอย่างรู้ใจว่า "บ่าวย่อมเลือกของพระสนมอยู่แล้ว"ซูฉ่ายเวยยิ้มด้วยความพึงพอใจและพูดว
เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงหึในลำคอ"เจ้ารู้จักพูดจริงๆ"อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ไม่ใช่ว่ากระหม่อมรู้จักพูด แต่เป็นเพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณ ขุนนางและแม่ทัพผู้ภักดีมักจะถูกผู้อื่นอิจฉาริษยา กระหม่อมแค่พูดตามความรู้สึก"เย่จิ่งอวี้พ่นลมหายใจยาว"แล้วเรื่องของอินสิงอวิ๋นล่ะ จะอธิบายว่าอย่างไร"เขากำลังพูดถึงตระกูลอินจริงๆอินชิงเสวียนรีบจัดระเบียบคำพูดของนางอย่างรวดเร็ว"กระหม่อมอยู่กับฝ่าบาทมานานแล้ว ได้ยินเรื่องของตระกูลอินมาบ้าง ถ้าตระกูลอินสมรู้ร่วมคิดกับกบฏเจียงวูจริงๆ พวกเขาจะซ่อนหลักฐานการทรยศไว้ที่บ้านได้อย่างไร เชื่อว่าฝ่าบาททรงปรีชา คงคิดถึงข้อนี้แต่แรกแล้ว"อินชิงเสวียนกล่าวประจบ แล้วพูดต่อว่า "กระหม่อมคิดว่าตระกูลอินต้องถูกคนใส่ร้าย"เย่จิ่งอวี้ถามเบาๆ "แล้วผู้ใดอยากใส่ร้ายตระกูลอินล่ะ""เอ่อ...เรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่ทราบ"เย่จิ่งอวี้มองไปข้างหน้าและพูดว่า "ตระกูลอินไม่เคยเป็นศัตรูกับผู้ใดเลย แม้ว่าจะถูกใส่ร้าย แต่ก็ต้องมีเหตุผลอ้าง""ถ้าจะเอ่ยถึงเหตุผลอ้าง เช่นนั้นก็มีมากมาย"อินชิงเสวียนพูดพร้อมกับแยกนิ้ววิเคราะห์ "บางทีอาจไม่ชอบใต้เท้าอินที่โดดเด่นในด้านการรบ
ทันทีที่อินชิงเสวียนเข้ามาก็บังเอิญเห็นฉากนี้ความรู้สึกเหมือนถูกทรยศได้อุบัติขึ้น ในใจรู้สึกอิจฉายิ่งนักเสี่ยวหนานเฟิงแนบแก้มกับใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ ทำให้ใบหน้าของเขาเปียกด้วยน้ำลายอินชิงเสวียนรีบกล่าวทันที "ฝ่าบาท ท่านส่งลูกให้กระหม่อมเถอะ ประเดี๋ยวถูกเขากัดเอา"เย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มละไม "เขาไม่กัดข้าหรอก"อินชิงเสวียนกลอกตา ลืมตอนที่เขาชกพระองค์ไม่ได้แล้วหรือ สำคัญตัวเองจริงๆเย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงนั่งบนตัก จับมือเล็กๆ ของเขาแล้วพูดอย่างอบอุ่น "ในอีกไม่กี่วัน เจ้าจะเป็นอ๋องแล้ว เป็นอ๋องคนแรกที่ข้าแต่งตั้ง เสี่ยวหนานเฟิงเจ้าดีใจหรือไม่"อินชิงเสวียนอยากจะบอกว่าแม่ของเขาไม่ดีใจเลย แต่นางไม่มีความกล้า ดังนั้นนางจึงต้องหุบปากและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ แล้วมือเล็กๆ อันจ้ำม่ำของเขาก็โบกไหวๆ อย่างมีความสุขอินชิงเสวียนแอบมองเย่จิ่งอวี้แวบหนึ่ง เป็นอ๋องดีอย่างไร เป็นฮ่องเต้ยังจะดีเสียกว่า ถ้านางเป็นไทเฮาออกว่าราชการผ่านหลังม่านได้ คงจะดีไม่น้อยชั่วพริบตา ค่ำคืนก็มืดสนิทลงเสียงกลองดังขึ้นในยามสอง และในที่สุดเย่จิ่งอวี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่
"นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอะไรอีก"เสียงของเย่จิ่งอวี้ราบเรียบ ฟังไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใดเจวี๋ยอิงที่คุกเข่าลงบนพื้นกล่าวต่อว่า "บอกว่าฝ่าบาทไม่ยอมรับอันผิงอ๋อง ต้องการจะสังหารกันเอง"เย่จิ่งอวี้หัวเราะเยาะ และพูดว่า "ในที่สุดเรื่องดาวมงคล ก็ทำให้คนนั่งไม่ติดเก้าอี้ได้"เจวี๋ยอิงกล่าวเสริมอีกว่า "ตามรายงานจากสายลับที่ซ่อนอยู่ในเมือง ดูเหมือนจะมีชาวยุทธ์จำนวนมากปะปนอยู่ในเมืองหลวง"เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เลิกขึ้น ถามอย่างเย็นชา "สืบได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้มาจากที่ใด"เจวี๋ยอิงกล่าวด้วยความเคารพ "เวลานี้ยังไม่ทราบ กระหม่อมได้สั่งให้พวกเขาเร่งตรวจสอบแล้ว"กระแสเสียงของเย่จิ่งอวี้เริ่มกระด้างขึ้น"เจ้าถอยไปก่อน อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น!""กระหม่อมเข้าใจแล้ว ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากที่เจวี๋ยอิงจากไปแล้ว เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ก็หรี่ลงอีกครั้งนับตั้งแต่อันผิงอ๋องออกจากสุสานหลวง เรื่องราวหลายอย่างในเมืองหลวงก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเขาต้องการดูว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรได้อีกบ้างหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เย่จิ่งอวี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "หลี
เมื่อมองดูดวงตาที่ใสกระจ่างของเย่จั้นแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ"ข้าจะจัดการสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้ผิดต่อความไว้วางใจของเสด็จอา"เย่จั้นยิ้มอย่างสง่างามและพูดอย่างอ่อนโยน "ตอนนี้ต้าโจวมีความอดอยากไปทั่วแคว้น มีคนตายด้วยความหิวโหยอยู่ทุกแห่งหน ทั้งยังมีคนชั่วจงใจที่จะสร้างปัญหา ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลาในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้"เมื่อดูจากกิริยาและวาจาของเย่จั้นแล้ว อินชิงเสวียนก็ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้จะเป็นคนเดียวกับนักรบที่แสนเยือกเย็นผู้นั้นได้นี่คงเป็นแม่ทัพที่คนโบราณบรรยายไว้กระมังท่วงท่าสง่างามของเย่จั้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงผิวเผิน แต่ฝังอยู่ในกระดูกของเขา แม้ว่าเขาจะอ่อนโยนสง่างาม แต่กลับทำให้คนไม่อาจเพิกเฉยต่อความเฉียบคมในดวงตาที่ฉายแววออกมาเป็นครั้งคราวของเขาได้อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงการจ้องมองของอินชิงเสวียน เย่จั้นจึงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง อินชิงเสวียนรู้สึกประดักประเดิด จึงเบือนหน้าหนีไปอีกด้านอย่างรวดเร็วเย่จิ่งอวี้ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยและหัวเราะเบาๆ "ตอนนี้มีมาตรการตอบโต้สำหรับทุกสิ่งแล้ว เชื
อินชิงเสวียนรีบเข้าไปช่วยประคองเย่จิ่งอวี้ทันที เมื่อได้กลิ่นสุราจางๆ บนร่างกายของเขา ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวหมอนี่กับเย่จั้นดื่มสุราไปถึงสามไห ไม่เมาก็แปลกแล้วแต่ก็เห็นได้ว่าเขามีความสุขจริงๆ เขาผ่อนคลายมากเมื่ออยู่กับเย่จั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจริงๆนางกับเย่จั้นช่วยประคองเย่จิ่งอวี้ซ้ายขวา และเดินลงไปตามขั้นบันไดหยกขาวทีละขั้นฉินเทียนและผู้อื่นก็รีบเดินเข้ามาทันที"ฝ่าบาท!"แต่เย่จิ่งอวี้โบกมือให้เขาหลบไป"ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าทุกคนถอยไป"ขณะที่พูด คนก็เดินมาถึงประตูแล้วเย่จั้นกำชับเสียงเบา "ฝ่าบาทเมาแล้ว พวกเจ้าขับรถม้าช้าหน่อย""พ่ะย่ะค่ะ"ทุกคนขานรับ และช่วยประคองเย่จิ่งอวี้ขึ้นรถม้าอินชิงเสวียนก็ขึ้นรถตาม เห็นเย่จิ่งอวี้พิงเบาะอยู่ ใช้มือข้างหนึ่งจับหน้าผาก ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาดูไม่สบายตัวอย่างมาก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงทราบว่าการดื่มมากเกินไปทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เหตุใดถึงยังดื่มหนักเช่นนี้"เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงสับสน "ข้าดีใจมาก จึงดื่มมากไปหน่อย เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"อินชิงเสวียนมองดูเขาแล้วพูดว่า "ไม่เคยได้ยิน
กลิ่นสุราอ่อนๆ โชยมาจากคนข้างๆ อินชิงเสวียนไม่ต้องมองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเย่จิ่งอวี้ที่อุ้มนางออกมาในนาทีชีวิตความเป็นความตายเช่นนี้ จะมีแก่ใจมาโวยวายได้อย่างไร อินชิงเสวียนคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย จับเสื้อผ้าของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่น"มีนักฆ่าอยู่ข้างนอก จะถอยกลับไปที่ไหนได้"เสียงหัวเราะขันๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะ"เจ้าเก่งกล้ามากไม่ใช่หรือ คราวนี้เจ้ากลัวแล้วรึ"ทันทีที่เย่จิ่งอวี้หมุนแขน เขาก็พาอินชิงเสวียนไปหลบข้างหลังตัวเองทันที เพียงขยับข้อมือ มีดสิ้นอันแสนประณีตก็โผล่ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วแทงไปยังหน้าอกของคนถือมีดในเวลานี้ มีกระบี่อีกเล่มแทงมาจากด้านนอกรถ เย่จิ่งอวี้วางมือข้างหนึ่งลงบนพื้นและเอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลบกระบี่ของศัตรู เตะเท้าขวาโดนมือของชายผู้นั้น แล้วพับแขนเสื้อขึ้น และแย่งกระบี่ยาวของชายผู้นั้นไปชุดการเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายน้ำไหล และจบในคราวเดียวอินชิงเสวียนอยู่ในอาการตกตะลึงโดยสมบูรณ์ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครที่สามารถแสดงฝีมือด้านวรยุทธ์ที่ทรงพลังและมั่นคง ทว่าแต่เป็นอิสระและสง่างามขนาดนี้ได้เย่จิ่งอวี้ถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ ครั้นแล้วท่วงท่าของเขาก็แข็งแกร
คุณธรรมบ้าบออะไร นางแค่พูดความจริงอินชิงเสวียนเอียงร่างของตัวเองไปด้านข้างไอแห้งๆ แล้วพูดว่า "ฝ่าบาท เราใกล้กันเกินไปแล้วกระมัง"ขนพองสยองเกล้าไปหมดแล้วเย่จิ่งอวี้หัวเราะ และเร่งม้าของเขาอีกครั้งอินชิงเสวียนตกใจ รีบคว้าแผงคอม้า แต่กลับถูกเย่จิ่งอวี้ดึงมือนางลง"ถ้าเจ้าไม่อยากให้ม้าสะบัดพวกเราลงทั้งคู่ ก็หาที่อื่นจับซะ"อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกุมบังเหียนกับเขา หวังว่าจะเข้าไปในวังเร็วๆ รีบยุติการเดินทางที่น่าอับอายนี้ด่วนๆหลังจากเงียบไปสักพัก ในที่สุดก็เห็นประตูวังอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ"ฝ่าบาท ให้กระหม่อมลงเดินเถอะ"เย่จิ่งอวี้ไม่พูดอะไร ขาทั้งคู่กระตุ้นท้องม้า ขี่ม้าเข้าไปในวังจนกระทั่งมาถึงตำหนักเฉิงเทียน เย่จิ่งอวี้จึงลงจากหลังม้าบางทีเขาอาจจะยังเมาอยู่นิดหน่อย ตอนที่ก้าวเดินตัวโซเซเล็กน้อยอินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปประคองเย่จิ่งอวี้ถือเสียว่าเห็นแก่ที่เขาช่วยชีวิตนางไว้เมื่อครู่หลี่เต๋อฝูได้ถือตะเกียงวิ่งออกมาแล้ว"ฝ่าบาท พระองค์กลับมาแล้ว!"จากนั้นดวงตาอันคมกริบของเขามองเห็นเลือดบนร่างกายของเย่จิ่งอ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี