ชิงผิงนิ่งอึ้งเล็กน้อย“ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”ชิงอานชำเลืองมองดูสาวสวยบนถนน พลางพูดว่า “พูดตามหลักเหตุผลแล้ว สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ว่า ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้”เย่จิ่งหลานกลอกตามองบน“เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร”จู่ๆ ชิงอานก็รู้สึกตื่นเต้น“โลกนี้ช่างน่าอยู่จริงๆ บ้านเรือนต่างสร้างสูงเสียดฟ้า”ชิงผิงก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ไม่รู้ว่าจะมองไปที่ไหน“คุณชายน้อยเย่ ช่วยให้เราได้ลองนั่งรถนั้นด้วยได้ไหม”เย่จิ่งหลานหยิบโทรศัพท์มือถือ แต่พบว่าตัวเองไม่มีเงินหลังจากลังเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็โทรหาเสี่ยวหลานหลานอย่างไม่อาย“โอนเงินให้ฉันได้ไหม”“ไม่มีปัญหา”หนึ่งนาทีต่อมา เงินจำนวน 250,000 บาทก็ถูกโอนเข้าบัญชีมา“หนึ่งวันมีงบแค่นี้ ถ้าไม่พอ พรุ่งนี้ผมจะโอนให้อีก”เย่จิ่งหลานดูอิจฉาตาร้อน“สมแล้วที่เป็นคุณชายน้อยแห่งตระกูลมหาเศรษฐี เจ๋งมาก!”“ยกย่องเกินไปแล้ว ผมยังต้องทำการบ้าน แค่นี้นะ”เสี่ยวหลานหลานตัดสายโทรศัพท์ โลกนี้ไม่ดีแค่ตรงนี้แหละ ไม่เพียงแต่ต้องทำการบ้านเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนพิเศษด้วย ไม่อิสรเสรีเหมือนตอนที่เป็นท่านอ๋องเย่จิ่งหลานยกมือขึ้นเรียกแท็กซ
“แก่นวิญญาณถูกควบคุม?”เย่จิ่งหลานไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่งชิงผิงพูดอย่างจริงจัง “ถูกต้อง หรือก็หมายความว่ามีแก่นวิญญาณอีกดวงหนึ่งอยู่ในห้วงทะเลแห่งจิตของแม่นางผู้นี้ ทั้งยังต้องการที่จะหลอมรวมแก่นวิญญาณของนาง และเข้าไปแทนที่โดยสมบูรณ์”ชิงอานกล่าวต่ออีกว่า “เหตุผลที่แก่นวิญญาณของนางอยู่ในห้วงทะเลแห่งจิตของเจ้า ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรก เจ้าเคยถูกควบคุมมาก่อน ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเจ้า ประการที่สอง ตัวนางคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าตัวเองอาจถูกควบคุม และเศษเสี้ยวแก่นวิญญาณนี้จะเป็นตัวช่วยให้นางสามารถกลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้ง”สีหน้าของเย่จิ่งหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ไป งั้นคงเป็นอย่างที่ชิงอานพูดในประการแรก ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้ลั่วสุ่ยชิงเก็บแก่นวิญญาณไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเขา เขาก็ต้องพยายามปกป้องมันอย่างเต็มที่สถานการณ์ปัจจุบันยังแสดงให้เห็นว่า หุบเขาเชื่อมเมฆาอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่งลั่วสุ่ยชิงมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม คนที่สามารถควบคุมนางได้นั้นมีน้อยมาก หนึ่งเดียวที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือชิงฮุย คนผู้นี้ลึกล้
ผิวพรรณอุ่นนุ่มหอมกรุ่น ผมสลวยแขนเนียน ไก่อ่อนอย่างเย่จิ่งหลานจะเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนได้อย่างไร“เอ่อ...ลั่ว...”เขาเรียกออกมาด้วยสติที่ยังหลงเหลืออยู่ และในวินาทีถัดมา จากผู้ถูกกระทำก็กลายเป็นผู้กระทำ กดหญิงร่างบางอ่อนหวานคนนี้ไว้ใต้ร่าง ใช้ปลายลิ้นดุนฟันของนางให้เผยอออก จากนั้นก็รุกล้ำเข้าไปในปากลั่วสุ่ยชิงปล่อยให้เขาทำตามใจ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท แพขนตายาวหนาสั่นพลิ้วตลอดเวลา สีหน้าบนใบหน้านั้นซับซ้อนมากจนยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้กระโปรงสีดำค่อยๆ เลื่อนหล่น เรียวแขนหยกงดงามราวกับหิมะ เย่จิ่งหลานรู้สึกว่าผิวของนางบอบบางดุจแพรไหม กลัวที่จะสัมผัสแรงๆอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผาเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด ก็ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด และในที่สุดทุกอย่างก็สงบลงเมื่อมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงซึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้น มีรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย เย่จิ่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเอง นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วเขารีบอุ้มลั่วสุ่ยชิงไว้บนตัก แล้วสวมเสื้อคลุมให้นางห้วงทะเลแห่งจิตว่างเปล่า ไม่มีเตียงหรือสิ่งใด เย่จิ่งหลานไม่สามารถหาที่ที่เหมาะสมให้นางพักผ่
แก่นวิญญาณของลั่วสุ่ยชิงสั่นสะเทือนอีกครั้ง กลุ่มพายุสีดำก็หายไปทันที ดูเหมือนนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเลือดออกที่มุมปากอีกแล้ว“ลั่วสุ่ยชิง เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งหลานบีบไหล่ของนาง ผ้าไหมสีดำบนตัวของนางก็หลุดออกไป ไหล่ขาวเนียนราวหิมะก็ปรากฏต่อสายตาของเย่จิ่งหลานเย่จิ่งหลานรีบคลุมตัวนางไว้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นึกว่าดึงขึ้นสูงเกินไป ทำให้ผ้าถูกดึงขึ้นจนเห็นเรียวขางามเย่จิ่งหลานลนลาน ออกแรงดึงลง พรวด ตรงกลางลำตัวก็เปิดออกอีก ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องปิดตรงไหนแล้ว มองเห็นได้ชัดเจนจริงแท้แน่นอนลั่วสุ่ยชิงดูหงุดหงิด แต่นางถูกค่ายกลสะท้อนกลับ จึงไม่สามารถออกแรงได้เลย จำต้องปล่อยให้เย่จิ่งหลานกอดเอาไว้“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ถือซะว่าข้าตาบอด ข้าไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ข้าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าเดี๋ยวนี้”เขาช่วยพยุงลั่วสุ่ยชิง วางมือบนหลังนาง เสื้อผ้าของนางขาดวิ่นไปหมด จึงไม่ได้คลุมส่วนไหนของนางอีก“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีทางแอบดูเด็ดขาด”เย่จิ่งหลานหลับตาข้างหนึ่งลืมตาอีกข้างหนึ่ง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการโกหกทั้งหมดลั่วสุ่ยชิงเม้มริมฝีปากแน่น กัดฟันกรามกรอดนางเหลือเพีย
เย่จิ่งหลานถูกตบจนสะดุ้งสุดตัว ปิดหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าน้อยใจ “ยังไม่ได้แต่งงาน เจ้าก็เริ่มใช้ความรุนแรงในครอบครัวแล้ว ถ้าแต่งงานกับเจ้าจริงๆ มิต้องถูกเจ้าทุบตีตายหรอกหรือ”ลั่วสุ่ยชิงยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่ก็หมดเรี่ยวแรง และตัวอ่อนปวกเปียกล้มลงอีกเย่จิ่งหลานคลุมตัวให้นาง คุกเข่าแล้วพูดพล่ามไม่หยุด “ผู้หญิงมีความเป็นตัวของตัวเองบ้างก็ดีเหมือนกัน ถ้าอ่อนโยนเกินไปข้ากลับยิ่งไม่ชอบ ตีตัวได้แต่อย่าตบหน้า ต่อไปเจ้าช่วยเปลี่ยนที่ตีได้ไหม”เขาลูบผมของลั่วสุ่ยชิงและพูดว่า “เจ้าอย่าใจร้อน เรื่องลูกๆ พวกเราค่อยปรึกษากันก็ได้ ถ้าเจ้าไม่ชอบมีลูกเยอะ งั้นมีคนเดียวก็ได้ ถึงเป็นดิงค์ (คู่แต่งงานที่มีรายได้ด้วยกันทั้งคู่แต่ไม่มีลูก) ข้าก็ไม่คัดค้าน”เขาไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วนะ ถึงเราสองคนจะมีเซ็กส์กันเจ้าก็ไม่เสียเปรียบหรอก เจ้าเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ ส่วนข้าก็เป็นหนุ่มบริสุทธิ์เช่นกัน ล้วนเป็นครั้งแรกเหมือนกัน อย่าดูถูกกันและกัน ถึงแม้ข้าจะทำไม่ค่อยเก่ง แต่ต่อไปรับรองว่าข้าจะตั้งใจให้มากๆ”ลั่วสุ่ยชิงรู้สึกเหมือนหัวของตัวเองกำลังจะระเบิด แม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าอะไรคือดิงค์อะไรคือมีเซ็กซ์ พู
อินชิงเสวียนยิ้ม“ไม่ต้องหรอก เด็กปลอดภัยดี วิ่งตะลอนมาหลายวัน แม่นางลั่วคงจะเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรทำ สามารถเติมพลังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในอนาคตได้”“ก็ได้”ลั่วสุ่ยชิงตอบรับ และจากไปด้วยตัวเองเดิมทีนางก็มีนิสัยเย็นชา ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนักการตายของชิงฮุยทำให้สถานการณ์สงครามสงบลงชั่วคราว เย่จิ่งอวี้ก็จับตัวทายาทชาวเฟยเหยาที่เหลืออยู่จำนวนมากได้ ในพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าวัน หุบเขาเชื่อมเมฆาได้ฟื้นคืนความสงบสุขในอดีตอย่างสมบูรณ์ ประชาชนจำนวนมากที่อยู่ในอิ๋นเฉิงก็ย้ายกลับถิ่นฐานเดิมสู่เมืองแต่ละแห่งเช่นกันหลังจากมาถึงหุบเขาเชื่อมมเมฆามานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ในโถงประชุมเฮ่ออวิ๋นทงลูบเคราแล้วพูดว่า “ดูสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าชิงฮุยจะไม่ตาย พลังชีวิตของเขาก็คงได้รับความเสียหายอย่างมาก คงไม่ออกมาสร้างปัญหาอีกในระยะเวลาอันสั้นนี้”ผู้อาวุโสสวีนก็พยักหน้าเช่นกัน“แม้ว่าศาสตร์ยึดร่างจะลึกลับมหัศจรรย์มาก แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ท้าทายสวรรค์ ร่างกายของคนธรรมดา หากต้องใช้อาคมเช่นนี้ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลแน่นอน”เจ้าส
“ไม่คิดจะตามหาชิงฮุยอีกแล้วงั้นหรือ”ลั่วสุ่ยชิงเดินช้าๆ เข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาสาวๆ คุยกัน เย่จิ่งอวี้ไม่อยากฟังมากนัก เขาจึงพูดอย่างอบอุ่น “พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าจะไปอยู่กับท่านแม่”อินชิงเสวียนยืนตัวตรง“ตั้งแต่เรื่องวิถีสวรรค์มาจนถึงเรืองชิงฮุย สงครามนี้ต่อสู้กันมานานเกินไป อาอวี้ในฐานะผู้ครองแคว้น ไม่สามารถอยู่ในยุทธภพได้นาน หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันอะไร วันพรุ่งนี้มะรืนนี้ พวกเราก็อาจจะจากไป ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วตั้งใจจะไปที่ใด หากเจ้าไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน เจ้าก็ไปเมืองหลวงกับเราได้เช่นกัน”ทันใดนั้นลั่วสุ่ยชิงก็ยิ้มออกมา“ถ้าเจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นภาระ เช่นนั้นข้าก็ยินดีมาก”“เราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ระหว่างเพื่อน จะมีคำว่าเป็นภาระได้อย่างไร”ลั่วสุ่ยชิงประกบมือคารวะ“ถ้าอย่างนั้นขอรับคำขอด้วยความยินดี แต่เย่จิ่งหลาน พวกเจ้าจะไม่ตามหาแล้วงั้นหรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“ถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ แม้ว่าตามหาทั้งภูเขาและแม่น้ำหลายพันลูก ก็เกรงว่าจะตามหาไม่พบ”นางมองดูท้องฟ้า กระซิบเสียงเบา “ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา เมื่อเขากลับไปยังที่เดิม จะต้องม
“มีอะไรแปลกรึ”อินชิงเสวียนถามเรื่อยเปื่อย ขณะที่อุ้มเจ้าเด็กอ้วนน้อยไว้ในอ้อมแขนเสี่ยวหนานเฟิงเอียงศีรษะ มองที่นิ้วแง่งขิงอวบๆ และคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง“มือของพี่สาวลั่วเย็นมาก”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้พี่สาวลั่วเหนื่อยเกินไป ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก ไม่มีอะไรหรอก”เสี่ยวหนานเฟิงส่ายหัวโดยเร็ว“ไม่ใช่ เย็นไม่เหมือนเมื่อก่อน”อินชิงเสวียนมองไปที่เจ้าเด็กอ้วนน้อยด้วยความแปลกใจ“เอ่อ แล้วเมื่อก่อนนางเย็นมากหรือเปล่า”อินชิงเสวียนและลั่วสุ่ยชิงไม่เคยสัมผัสตัวกันมาก่อน จึงไม่รู้ว่าอุณหภูมิร่างกายของลั่วสุ่ยชิงเป็นอย่างไรแม้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงจะฉลาด แต่ความสามารถในการจัดเรียงคำพูดยังคงมีจำกัด เขาเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ก็ไม่เชิง ที่นางตัวเย็นวันนี้ ดูไม่เหมือนนาง”อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อยไม่เหมือนนาง?เสี่ยวหนานเฟิงพูดอย่างดื้อรั้น “ก็คือพี่สาวลั่วไม่เหมือนเดิม”เมื่อฟังเสียงไร้เดียงสาของลูกชาย อินชิงเสวียนก็จำได้ว่าตอนที่นางพบถ้ำ ลั่วสุ่ยชิงก็บังเอิญเดินออกจากถ้ำพอดีความคิดที่น่ากลัวชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี