แม้ว่าจะมีเย่จั้นดูแลเมืองหลวง และยังมีอินจ้งกับลูกชายช่วยเหลือ แต่อย่างไรบ้านเมืองก็ยังคงเป็นของเย่จิ่งอวี้ มีบางเรื่องที่เย่จั้นไม่สามารถล้ำเส้นได้เป็นเวลาหลายเดือนแล้วตั้งแต่เย่จิ่งอวี้ออกมา หากจะยอมสละทั้งแคว้น เพื่อมุมหนึ่งของเทือกเขาเชื่อมเมฆานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดเลยเย่จิ่งอวี้จับมือเล็กนุ่มนิ่มของนาง ยกมุมริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม“เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้ ทำให้เสวียนเอ๋อร์กังวลโดยไม่มีเหตุผล ในเมื่อได้มอบหมายให้เสด็จอากับแม่ทัพอินแล้ว เช่นนั้นจึงควรเชื่อในความสามารถของพวกเขา นี่คือสิ่งสำคัญอันดับแรกที่แท้จริง ในเมื่อราชาแห่งแคว้นเฟยเหยากำเนิดใหม่ที่นี่ เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นสนามรบหลักอย่างแน่นอน เมื่อใดที่ยุทธจักรพ่ายแพ้ กองทัพหลวงในราชสำนักจะจัดการกับคนแปลกๆ ที่มีทักษะวรยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างไร”เขาถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “จริงๆ แล้ว ก่อนที่ข้าจะไปเป่ยไห่ ข้าไม่เข้าใจตลอดว่าทำไมพวกเขาไม่ขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก เป่ยไห่มีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการรบ ยังมีกองทหารประจำการอยู่ที่นั่น จนกระทั่งข้าเห็นคนตงหลิวเหล่านั้น ข้าถึงได้เข้าใจถึงความแตก
ราชาแห่งแคว้นเฟยเหยาตวาดเสียงเหี้ยม“บังอาจ ข้าคิดอะไรอยู่นั้นเจ้าก็สามารถคาดเดาได้งั้นรึ!”ชิงฮุยไม่สะดุ้ง เขายังคงรักษาท่าทางเดิม มองไปที่ราชาแห่งแคว้นเฟยเหยาด้วยสายตาแน่วแน่“ฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต หนี้สินต้องชำระคืน นี่คือสัจจะนิรันดร์ ชาวต้าโจวเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ท่านราชาห้ามไม่ใจอ่อนเพราะความสับสนชั่วคราว ที่ประชาชนของพวกเขาสามารถอยู่ดีมีสุขได้ ทั้งหมดล้วนได้มาเพราะเหยียบย่ำเลือดเนื้อของชาวเฟยเหยา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ข้อเท็จจริงอันนองเลือดก็ไม่เปลี่ยนแปลง”ราชาแคว้นเฟยเหยาพูดนิ่งๆ “ข้าจะแก้แค้นผู้ที่เป็นฆาตกรเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำร้ายผู้บริสุทธิ์”“ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฝึกฝนทักษะของแคว้นเฟยเหยาได้ ที่สามารถซ่อนแก่นวิญญาณฟื้นชีวิตใหม่ได้ ผ่านมานานมากแล้ว ฆาตกรในตอนนั้นกลายเป็นเถ้ากระดูกไปนานแล้ว หรือว่าเรื่องนี้ จะจบลงง่ายๆ แบบนี้เลยงั้นหรือ จะปล่อยให้เลือดของชาวแคว้นเฟยเหยาหลั่งไหลอย่างเปล่าประโยชน์งั้นหรือไม่”เสียงของชิงฮุยดูสงบ แต่ทุกคำที่พูดออกมานั้น ล้วนกดดันคนอย่างยิ่งราชาแคว้นเฟยเหยามีน้ำเสียงอ่อนลง“แม้พวกเขาจะตายไป แต่ลูกหลานก็ยังคงอยู่ เราตามหาเพียงลูกหลานของฆาตกรเท
เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงต้องขอบคุณน้ำพุวิญญาณของอินชิงเสวียนที่ดีเลิศ และการรักษาที่ยอดเยี่ยมของหลิวซือจวิน ทำให้อาการบาดเจ็บของทุกคนเรียบร้อยเฮ่อยวนได้สั่งให้คนไปจัดเตรียมที่พักให้กับศิษย์ตำหนักเทพและศิษย์จากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงสั่งให้คนซื้ออาหารและเครื่องดื่ม ผู้คุมตราเซี่ยวเป็นบ้านดอง มาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งแรก จึงต้องทำตามมารยาทให้ครบถ้วนหลังจากรู้ตัวตนของเซี่ยวอิ๋นหวนแล้ว ชาวอิ๋นเฉิงที่กระตือรือร้นต่างก็ส่งอาหารพิเศษในท้องถิ่นของตนมาด้วย และบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาก็ทำให้ความหนักหน่วงของสงครามเจือจางลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นครอบครัวของอินชิงเสวียนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เย่จิ่งหลานก็เม้มริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกแยกเล็กน้อยเขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ทิ้งไว้ในห้องพักแขก บอกกับหวังซุ่นว่า “กลับไปที่โรงเตี๊ยมนั้นเถอะ ที่นั่นยังสบายกว่า ยังมีกุ้งมังกรน้อยอีกเยอะ ถ้าตายคงเสียดายแย่”หวังซุ่นกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของเย่จิ่งหลานไปแล้ว แค่เจ้านายบอกว่าจะไปที่ไหน เขาก็จะไปที่นั่น การที่ได้ติดตามเย่จิ่งหลาน ไม่ว่าจะเดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำเขาก็ไม่มีคำบ่นใดๆ“บ่าวทำตามนายท่าน
เย่จิ่งหลานกลอกตา“อย่าบอกข้านะ ว่าเจ้าชอบเย่จิ่งอวี้ คนเขามีเจ้าของแล้ว”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “เจ้าเพิ่มอีกหลายคำสิ นางเป็นภรรยาของเขา”“เอ่อ...”คำตอบที่มีชีวิตชีวานี้ ทำให้เย่จิ่งหลานจินตนาการไปไกลลั่วสุ่ยชิงเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เขาคิด“อย่าใช้สมองที่สกปรกของเจ้าไปทำลายความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์”“พี่สาว เจ้าพูดจาหยาบคายแบบนี้เสมอหรือ”เย่จิ่งหลานพูดไม่ออก บอกว่านางกินดินปืนยังไว้หน้าไปหน่อย บอกว่ากินระเบิดจะเหมาะมากกว่า“แล้วแต่จะคุยกับใคร”ลั่วสุ่ยชิงหยิบจอกสุราขึ้นมา แล้วส่งสัญญาณให้เขาเย่จิ่งหลานชนจอกกับนาง“เจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว มีอะไรน่าสนใจที่นี่บ้างไหม”“ไม่มี ข้าแค่อยากรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่นี่”ลั่วสุ่ยชิงดื่มสุราในจอกอย่างกล้าหาญ เอื้อมมือไปคว้าขวดสุราที่วางอยู่ข้างๆ ในขณะนี้ มีดยาวเล่มหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากประตู ตรงไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่ถือลูกคิดอยู่บนโต๊ะคิดเงินที่เสี่ยวเอ้อร์สามารถทำงานที่นี่ได้ จึงต้องมีทักษะความสามารถบางอย่างอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงทะลุอากาศ ก็เงยหน้าขึ้นทันที ทว่าในชั่วพริบตา มีดก็ทะลุคอและปักเขาติดกับผนังด้านหลังโต๊ะคิ
ลั่วสุ่ยชิงเอามือไพล่หลัง ดวงตานิ่งงัน“ขืนยังไม่ตอบ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปพบยมบาลเดี๋ยวนี้”ชายกระโปรงของนางขยับโดยไม่มีแรงลม เส้นโค้งที่ลอยขึ้นราวกับปุยเมฆดูเหมือนจะบ่งบอกถึงความอดทนที่จำกัดของนางหลายคนเหงื่อแตกพลั่กราวกับเปียกฝน เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ขาข้างหนึ่งอ่อนแรง และทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น“เราทุกคนฟังคำสั่งของผู้บัญชาการซู เขาบอกข้าว่า ตราบใดที่พบเห็นชาวต้าโจว ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็ฆ่าไม่เว้น”เย่จิ่งหลานถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ใครคือผู้บัญชาการซู?”อีกคนหนึ่งตอบว่า “คนผู้นี้ชื่อซูอู่ มีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในกองทัพ”สีหน้าของเย่จิ่งหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย“ในเมื่อเขามีตำแหน่งทางทหาร ทำไมถึงมาที่นี่ เข้าร่วมในยุทธภพ เขาออกจากเมืองหลวงเมื่อไหร่”“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน หลังจากถูกเรียกโดยท่านราชาแห่งแคว้นเฟยเหยา เราก็มาที่นี่”ดวงตาของเย่จิ่งหลานเบิกกว้าง“กล่าวคือ ผู้บัญชาการซูก็เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากแคว้นเฟยเหยาเช่นกัน”“เป็นเช่นนั้น”เย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปเตะชายคนนั้น ชี้ไปที่ปลายจมูกของเขาแล้วด่าทอลั่น “
ลั่วสุ่ยชิงกับเย่จิ่งหลานต่างก็เป็นผู้รู้วรยุทธ์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดินเล่นสบายๆ แต่ความจริงกลับไม่ได้เดินช้า จากนั้นทั้งสองก็เร่งความเร็วแข่งกันโดยไม่รู้ตัวการก้าวเดินของเย่จิ่งหลานนั้นแปลกมาก การเคลื่อนไหวเอาแน่เอานอนไม่ได้ เหมือนเงาของผี ในขณะที่การเดินของลั่วสุ่ยชิงนั้นอ่อนโยนและเชื่องช้าราวกับเมฆไหลน้ำไหล ไม่มีกลอุบายมากมาย แต่มีอิสรภาพและความกล้าหาญที่ไม่ถูกจำกัดเมื่อมองดูฝีเท้าของเย่จิ่งหลาน ชิงลั่วก็นึกถึงเคล็ดวิชาลับที่เขาใช้ทันที“เจ้าไปเรียนวรยุทธ์นี้มาจากไหน”“บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อตงหลิว”“ตงหลิว?”ลั่วสุ่ยชิงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่นางค่อนข้างคุ้นเคยกับวรยุทธ์ของเย่จิ่งหลานมากการเคลื่อนไหวนี้เหมือนจะพัฒนามาจากวิชาชั้นสูงที่ลึกลับของแคว้นเฟยเหยา“ที่นั้นคือที่แบบไหน”เย่จิ่งหลานไขว้หลัง พูดว่า “เป็นสถานที่สกปรก น่ารังเกียจ และต่ำช้าที่สุด แม่นางชิงอย่ารู้จะดีกว่า”“บอกให้เจาะจงหน่อยสิ”ลั่วสุ่ยชิงถามเรื่อยๆ เหมือนสนใจแต่ก็คล้ายไม่สนใจเย่จิ่งหลานไม่มีอะไรทำ จึงเล่าให้ลั่วสุ่ยชิงฟังว่าตงหลิวบุกโจมตีต้าโจวอย่างไรลั่วสุ่ยชิงตอบอย่างเห็นด้วย “ถ้าเป็นความจริ
ลั่วสุ่ยชิงไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน และไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร ดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังเย่จิ่งหลานคุ้นเคยกับสีหน้าของคนในยุคโบราณที่เห็นของแปลกๆ เขาจึงโบกมือหยิบอีกขวดสำหรับตัวเอง จากนั้นเปิดหลอดในถุงใบเล็ก แล้วแทงหลอดเข้าไปในกระดาษที่ปิดปากขวด“อันนี้เรียกว่านมเปรี้ยว จะลองกินดูไหม?”เย่จิ่งหลานจิบตัวเอง แล้วทำหน้าเปรี้ยวนี่เป็นความปรารถนาในวัยเด็กของเขา หลังจากใช้ชีวิตมาเกือบสามสิบปี ความปรารถนาเดียวที่เป็นจริงก็คือกินนมเปรี้ยวย่างเป็นอิสระชั่วคราว เพราะสิ่งนี้อินชิงเสวียนเป็นผู้มอบให้เมื่อเจ้ามีคะแนนมาก นั่นคืออิสรภาพที่แท้จริงลั่วสุ่ยชิงไม่ตอบ ดวงตายังคงจ้องมองที่ขวดพลาสติกสีขาวนางไม่เคยเห็นอะไรที่ทำจากวัสดุประเภทนี้มาก่อน และนางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเครื่องปรุงรสแปลกๆ ที่พวกเขาใช้ในการปรุงอาหารด้วยเย่จิ่งหลานมองดูนางแล้วยิ้ม “กลัวว่าจะมีพิษหรือ งั้นก็ดื่มจากขวดที่ข้าดื่มแล้วนี่สิ”เย่จิ่งหลานยื่นนมเปรี้ยวของเขาให้ โดยที่มียังมีหยดนมเปรี้ยวติดอยู่ที่ปลายหลอดลั่วสุ่ยชิงจ้องมองเขาอย่างดุเดือด หยิบอีกขวดหนึ่งแล้วก็ยกขึ้นจิบไป รสหวานอมเปรี้ยวไหลเข้าสู่ลำคอ อารมณ์ที่หด
ชายคนนั้นพูดว่า “ทุกคนในต้าโจวสมควรตาย”เย่จิ่งหลานตบปากไปหนึ่งที“ในเมื่อเจ้าเกลียดชาวต้าโจวมาก ทำไมถึงต้องไปเป็นทหารอารักขาในวังอีก”ชายคนนั้นอาเจียนลมออกมา ฟันส่วนใหญ่แทบจะร่วงหมดปากเขายังแข็งใจ เค้นเสียงพูดว่า “นั่นเพราะข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้สืบเชื้อสายของแคว้นเฟยเหยา”“เจ้าเป็นลูกหลานใคร เกี่ยวอะไรกับการที่มาฆ่าชาวบ้าน พวกเขาบุกรุกแคว้นของพวกเจ้า หรือว่าอุ้มลูกเจ้าโยนลงไปในบ่อน้ำ เจ้าอ้างว่าทำในนามของความยุติธรรม ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าน่ะสิ”เย่จิ่งหลานยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ฟาดฝ่ามือตบไปอีกครั้ง สมองของผู้พูดก็ระเบิด และก็ล้มลงกับพื้นลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนางมองไปที่คนอื่นๆ“พวกเจ้าด้วย?”พวกเขากระจุกรวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งเหมือนนกกระทา ไม่กล้าพูดอะไรสักคำทันใดนั้นลั่วสุ่ยชิงก็ยกมือขึ้น พลังอันทรงพลังก็เหมือนกับร่มขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ส่องแสงไปที่หัวของคนเหล่านั้น หลังจากตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง“สวรรค์ทรงเมตตาเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่จะทำลายวรยุทธ์ของพวกเจ้า เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเจ้ากระทำการเลวทรามต่