“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู”ข้อมือของเย่จิ่งอวี้ขยับ เขาโยนนักพรตเทียนจีไปข้างหลัง กำลังภายในที่สม่ำเสมอแพร่กระจายไปทั่วร่างกายในทันทีแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมาจากร่างสูงนั้น ทั้งโลกดูเหมือนจะมืดลงชั่วขณะหนึ่งทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น มีดเงาก็ถูกยับยั้งในทันใด ยากจะฟาดฟันลงมาได้อีกเงาคำราม “มีความสามารถดีทีเดียว”โบกแขนเสื้อ แล้วออกแรงกดดันอีกครั้งเย่จิ่งอวี้ยังคงดูสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนดุจขุนเขา“หากเจ้ามีความสามารถแค่นี้ อย่าว่าแต่ฟื้นฟูบ้านเมืองเลย ข้ารับประกันได้เลย แค่ออกจากเทือกเขาเชื่อมเมฆาเจ้าก็ทำไม่ได้”“บังอาจ!”เงาโน้มลงมา หมอกสีดำก็กลายเป็นหอกแหลมคม ชี้ตรงไปที่หัวใจของเย่จิ่งอวี้“ถอยไป!”เย่จิ่งอวี้ตะโกนด้วยเสียงทุ้ม ผลักไปข้างหน้าด้วยฝ่ามือขวา ในขณะนี้พลังงานแห่งฟ้าดินกลายเป็นรูปธรรม ราวกับโล่ที่ไม่อาจทำลายได้ และกดดันเข้าไปหาเงาเพียงชั่วพริบตา หอกยาวที่ทำจากหมอกสีดำก็สลายไปเป็นควันและหายไป ดูเหมือนว่าเงาดำจะถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้ผงะถอยหลังไปหลายก้าวเย่จิ่งอวี้ก้าวขึ้นไปบนฟ้า เสื้อผ้าพลิ้วไหว ยืนอยู่ในความว่างเปล่าราวกับเทพเซียน เรียวตายาวเป็นประกายเย็นชา อ
“ท่านไม่เป็นไรนะ?”อินชิงเสวียนโยนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเย่จิ่งอวี้ ไป๋เสวี่ยและเจ้าขาวที่ติดอยู่ในค่ายกลก็วิ่งเข้ามาพร้อมกันเย่จิ่งอวี้ลูบเรือนผมนุ่มดุจแพรไหมของนาง แล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ไม่เป็นไร เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแต่นักพรตเทียนจี...”ทั้งสองสนทนากันเพียงสั้นๆ เย่จิ่งอวี้ยังคงไม่สามารถทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของท่านตาเขาได้อินชิงเสวียนถอยกลับไปสองก้าว “อาอวี้ไม่ต้องกังวล เงาดำนั้นไม่มีทางสังหารนักพรตเทียนจีอย่างแน่นอน หากข้าเดาไม่ผิด เขาแค่หาข้ออ้างจากไปเท่านั้น”“อืม”เย่จิ่งอวี้หายใจออกยาวๆ หลุบตาลงแล้วถามว่า “ถ้าเสวียนเอ๋อร์เป็นฮ่องเต้ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จะตัดสินใจอย่างไร”เขาภูมิใจในตัวบรรพบุรุษของเขามาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่า การสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์โจวจะต้องแลกมาด้วยการเหยียบย่ำซากศพและเลือดเนื้อของผู้คนจากแคว้นอื่นแม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะไม่ใช่คนจิตใจอ่อนแอ แต่ในเวลานี้ เขาก็ยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างอินชิงเสวียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อสถาปนาต้าโจวขึ้นมา เช่นนั้นก็เป็นลิขิตของสวรรค์ อาอวี้ไม่จ
ผู้หญิงคนนั้นยกมือขึ้น นิ้วเรียวเล็กคีบจับถั่วปากอ้าไว้ได้ทันอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชมเชยว่า “เป็นวรยุทธ์ที่เยี่ยมยอดจริงๆ”ผู้หญิงคนนั้นหูดีมาก ประกบมือคำนับขึ้นมาทางชั้นสอง“แม่นางยกย่องเกินไปแล้ว”อินชิงเสวียนกับเย่จิ่งหลานมองหน้ากัน และกระซิบว่า “ลงไปดูสิ”ในเวลานี้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย ทุกคนที่ปรากฏตัวล้วนน่าสงสัยเย่จิ่งหลานพยักหน้า เขาก็อยากเห็นว่าผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมนี้ มีใบหน้างดงามเพียงใด“ข้าอินชิงเสวียน ขอคำนับแล้ว”อินชิงเสวียนเดินช้าๆ ไปที่โต๊ะของหญิงสาว และแสดงท่าทางคำนับตามแบบชาวยุทธ์ผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้นอย่างกล้าหาญ ประกบมือคำนับแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีนามว่าชิงลั่ว”“ที่แท้ก็แม่นางชิง เชิญนั่งเถิด”อินชิงเสวียนมีความประทับใจที่ดีต่อนาง นางเคยเจอหญิงแอ๊บแบ๊วตอแหลมามาก กิริยาท่าทางที่องอาจเช่นนี้ พอเห็นแล้วก็รู้สึกสนใจชิงลั่วพยักหน้านั่งลง แล้วถามว่า “แม่นางอินเป็นคนที่นี่งั้นหรือ”“มิได้ ข้ามาจากเมืองหลวง ที่เดินทางมาคราวนี้ก็เพื่อเยี่ยมญาติ”อินชิงเสวียนพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวชิงลั่วยื่นชาให้นาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้า
เย่จิ่งหลานหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ“ไม่นับว่าลึกซึ้งนัก แต่สันติภาพทั่วหล้าในปัจจุบันถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี อีกไม่นาน ต้าโจวก็จะมีบรรยากาศใหม่”“ข้ากลับได้ยินมาว่าต้าโจวเพิ่งประสบกับโรคระบาดและความอดอยาก แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้มีความสามารถไม่เท่าไหร่”เสียงของชิงลั่วราบเรียบ พูดอย่างไม่แยแสซึ่งอินชิงเสวียนไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นว่าร้ายสามีของตัวเองอยู่แล้ว จึงพูดว่า “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติยากจะหลีกเลี่ยง ราษฎรไม่ต้องเดือดร้อนจากภัยแล้งหรือน้ำท่วม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของสวรรค์ การที่ผู้ปกครองแห่งต้าโจวสามารถรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ได้โดยเร็ว ก็รับว่าพบเจอได้ยากแล้ว”ชิงลั่วแค่นเสียงตอบ “นี่เป็นเพียงข้อแก้ตัว ไม่เคยได้ยินคำว่าเตรียมร่มก่อนฝนตกหรอกหรือ”หัวใจของอินชิงเสวียนกระตุกเบาๆ ดูเหมือนว่าแม่นางคนนี้จะไม่พอใจต้าโจวมาก นางอยู่ที่นี่ คงไม่ได้คิดที่จะลอบสังหารอาอวี้กระมัง ต้องการหาโอกาสลองเชิงวรยุทธ์ของนางหน่อยแล้วแต่กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่คิดว่าแม่นางชิงอายุยังน้อย จะมีประสบการณ์ในการปกครองบ้านเมืองขนาดนี้ น่าชื่นชมจริงๆ หรือ
ความใจกว้างและความมั่นใจที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หลั่งไหลออกมาจากท่วงท่ากิริยาของชิงลั่ว อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยในชีวิตของคนถูกลิขิตให้พัวพันกับหลายสิ่งหลายอย่าง ผู้ที่สามารถทำทุกอย่างที่ตนต้องการได้อย่างแท้จริงนั้น หาได้ยากจริงๆ แค่ได้มองบุคลิกที่ดูสบายๆ ไม่ผูกมัด ไม่ตามกรอบของแม่นางคนนี้ ก็อยากจะชนแก้วให้สะใจยิ่งนักเย่จิ่งหลานยกสุราอาหารออกมาพอดี จากนั้นก็เทสุราให้กับทั้งสามคนชิงลั่วก้มศีรษะลงแล้วสูดดม กล่าวชมเชยว่า “ไม่เลว หอมมาก เหล้าดี”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าแม่นางเช่นเจ้าจะมีสายตาแหลมคมเช่นนี้ เพียงแต่ เจ้าปิดหน้าแบบนั้นจะดื่มสุรากับพวกเราอย่างไร”ชิงลั่วหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าอยากเห็นหน้าตาของข้า ก็แค่พูดมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม”นางเอื้อมมือออกไปถอดหมวกออก ใบหน้าที่ดูสง่าผ่าเผยก็ปรากฏให้เห็นผิวที่ขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่มาตรฐาน ดวงตากลมโต สองข้างแก้มใต้ตาดูอิ่มเอิบน่ามอง โหนกคิ้วสูงนิดๆ ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูมีเอกลักษณ์สง่าผ่าเผย กลีบปากบางเม้มน้อยๆ ให้ความรู้สึกสูงส่งใบหน้านี้มีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบเด็กสาว ยังมีเสน่ห์ดั่งสาวงาม แต่ก
หลังจากดื่มสุราไปสามจอก ทั้งสามก็คุยกันอย่างสนุกสนานหรือจะพูดให้ถูกก็คือ ทั้งสองคนดูเหมือนว่าชิงลั่วจะสนใจอินชิงเสวียนมาก เย่จิ่งหลานไม่สามารถพูดอะไรแทรกได้ เขาจึงนั่งดื่มคนเดียว ฟังผู้หญิงสองคนคุยโม้กันต้องบอกว่าชิงลั่วมีความรู้และความสามารถมากจริงๆ เชี่ยวชาญด้านศิลปะ การเมือง และวรยุทธ์ทุกประเภท ทั้งยังเก่งเรื่องบทกวี กาพย์กลอน และบทเพลงอีกด้วย ถ้าอินชิงเสวียนขาดความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมา เกรงว่านางคงพ่ายแพ้ไปนานแล้วนับตั้งแต่มาถึงราชวงศ์โจวนางได้เห็นผู้หญิงมากมาย รวมถึงบุปผางดงามประณีตในวังหลวง กุหลาบในชนบท ผู้นำแต่ละสำนัก และยังมีดอกบัวขาวที่ยังไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก แต่ไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้เหมือนชิงมาก่อนด้วยซ้ำ นางถึงกับสงสัยว่า ชิงลั่วก็เป็นผู้ข้ามภพมาเช่นกันหรือไม่ แต่บทกวีที่นางพูดนั้น ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จริงๆดังคำกล่าวที่ว่าใกล้ชาดก็ติดสีแดง อินชิงเสวียนติดตามเย่จิ่งอวี้มานานขนาดนี้ ก็ต้องติดความคิดที่กระหายผู้มีความรู้มาจากเขาเช่นกัน หากชิงลั่วกลับเมืองหลวงกับตัวเองได้ จะช่วยดึงศักยภาพของนางออกมาได้อย่างเต็มที่อย่างไรก็ตาม นางพยา
ขณะที่เย่จิ่งหลานพูด อินชิงเสวียนได้ใช้กำลังภายในดึงฤทธิ์สุราออกมา นางไม่คอแข็งเหมือนกับชิงลั่วแต่วันนี้เป็นวันที่สนุกสนานจริงๆ หลังจากมาต้าโจวนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อินชิงเสวียนได้พบกับผู้หญิงที่เป็นอิสระและไร้ข้อจำกัด การปรากฏตัวของนาง ทำให้คำว่า “จอมยุทธ์หญิง” ปรากฏอยู่ในใจของอินชิงเสวียนอย่างสมบูรณ์นางเก็บกำลังภายในกลับคืน พยักหน้าพูดว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล แม่นางชิงลั่วไม่ใช่ชาวยุทธ์ธรรมดาสามัญ ไม่รู้ว่านอกจากตำหนักเทพหอทองคำกับเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงแล้ว ในยุทธจักรยังมีสำนักที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่”เย่จิ่งหลานเปิดขวดเบียร์ จิบแล้วพูดว่า “นอกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่คนไม่สามารถเข้าใจได้ ก็คงไม่มีอะไรอีกแล้วล่ะ”เมื่อได้ยินคำว่า “แดนศักดิ์สิทธิ์” อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้ว “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ลำบากจริงๆ มีปัญหาเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน!”เมื่อนึกถึงแคว้นเฟยเหยาที่นักพรตเทียนจีพูดถึง อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วมากขึ้นอีกในเมื่อหินที่วิถีแห่งสวรรค์บรรจุอยู่ก็คือแก่นวิญญาณของราชาแคว้นเฟยเหยา เรื่องนี้ เขาต้องไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอนแคว้นล่มสลายครอบครัวล้มตาย นี่ต้อง
เงาดำแค่นเสียงหึ ดึงมือตัวเองกลับ“เซี่ยอานซื่อ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าภรรยาและลูกๆ ของเจ้าเสียชีวิตอย่างอนาถด้วยน้ำมือของศัตรูอย่างไร”นักพรตเทียนจีตัวสั่นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า “ความเจ็บปวดจากการทำลายครอบครัวจะลืมได้อย่างไร แต่ศัตรูตายแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไล่ตามอีกต่อไป กระหม่อมหวังว่าท่านราชาจะไม่ยึดติดกับความเกลียดชังครั้งเก่าอีก”“บังอาจ ข้าจะทำอย่างไร ยังต้องให้เจ้าสอนอีกรึ”ทันใดนั้นเงาดำก็ยกแขนเสื้อขึ้น นักพรตเทียนจีก็ลอยออกไปเหมือนใบไม้แห้งที่เหี่ยวเฉาเงามืดหายตัววับ คผู้นั้นนั้นก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้วนักพรตเทียนจีไม่แยแสต่อความเจ็บปวด คุกเข่าลงอีกครั้งเงาดำแค่นเสียงอย่างเย็นชา“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชนเผ่าที่ยังมีชีวิตอยู่ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูแคว้น ในฐานะที่เจ้าเป็นราชครู กลับมีใจฝักใฝ่คนนอก ควรสมควรตายนับพันครั้ง......แต่เห็นแก่ที่เจ้าได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเสด็จพ่อ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เดินทางท่องยุทธภพบ่อยนัก แต่ชื่อเสียงของเจ้าก็ไม่น้อย ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน ดึงกลุ่มชาวยุทธ์มาเป็นพวกให้ข้าใช้สอย ถ้าทำได้ดี ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่อย
อินปู้อวี่ตกตะลึงจนหน้าเผือดสีเขาอ่านจดหมายลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง คำต่อคำ บรรทัดต่อบรรทัด ไม่ผิด ฝ่าบาททรงหมายความตามนี้จริงๆปลายนิ้วสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ พระราชโองการร่วงหล่นลงกับพื้น“ผู้บัญชาการ เกิดอะไรขึ้นขอรับ”รองแม่ทัพยืนอยู่ข้างๆ กำลังคิดจะหยิบพระราชโองการขึ้นมาดูอินปู้อวี่ยื่นมือออกไปห้ามเขา สีหน้ามืดลง“ถอยออกไป”รองแม่ทัพไม่กล้าพูดอะไร โค้งคำนับและถอยออกไปนอกพระที่นั่ง ทว่าในใจกลับเอาแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลอินมากเพียงใดนั้น เจ้าหน้าที่ขุนนางทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี เหตุใดผู้บังคับบัญชาจึงมีสีหน้าหวาดกลัว ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้?เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานแต่ก็คิดไม่เข้าใจ จึงนำทหารออกไปลาดตระเวนอินปู้อวี่ยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะหยิบพระราชโองการขึ้นมา ดึงตะบันไฟออกมา และเริ่มเผามันด้วยสีหน้าด้านชาดังที่เย่จิ่งอวี้พูด เขาเข้าใจทุกอย่าง และรู้ทุกอย่างเขามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อม หัวสมองก็ไม่ฉลาดพอ ไม่เฉลียวฉลาดเหมือนพี่ใหญ่ และไม่ชอบทำตัวเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนหัวช้าเรื่องความรัก แต่เ
อินชิงเสวียนค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น นับจากการแจกจ่ายตำราไปจนถึงการก่อตั้งโรงเรียนสอนการต่อสู้ ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว แม้ว่าเวลาจะฉุกละหุกไปบ้าง แต่ถ้าเทียบกับบทกวีและบทเพลงที่น่าเบื่อก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าเพิ่มพูนความรู้มากพอสมควรแต่หากต้องการให้มีการศึกษาภาคบังคับเหมือนในยุคสมัยใหม่ รวมถึงมีการเรียนแบบมหาวิทยาลัย เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีโชคดีที่ฮ่องเต้สนับสนุนนาง ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม นางก็เต็มใจที่จะลองดู“เช่นนั้นก็ยอดไปเลย ข้ารอไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทำไมไม่จัดสอบหน้าพระที่นั่งหลังวันตรุษล่ะ จะได้ให้เหล่าบัณฑิตได้สนุกสนานกับครอบครัวในวันตรุษให้เต็มที่”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเห็นด้วย“เสวียนเอ๋อร์พูดมีเหตุผล พรุ่งนี้ข้าจะเขียนโองการขึ้นใหม่ ให้สอบระดับเขตก่อน จากนั้นสอบระดับมณฑล ส่วนการสอยระดับอื่นไว้ค่อยดำเนินการหลังวันตรุษ”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้ม“ขอบพระทัยฝ่าบาท”“ปากเล็กๆ เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง ขอข้าชิมหน่อย”อินชิงเสวียนปิดปากของเขาทันที“ข้าจะลุกจากเตียงแล้ว”เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้แน่นกึ่งบังคับ“ไม่ได้ ข้าบอกแล้ว วันนี้ให้นอนบนเตียง”อินชิงเสวียนดิ้นไม่หลุ
เมื่อมองดูดวงตาคู่นั้นที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความอ่อนโยน หัวใจของอินชิงเสวียนเหมือนจะถูกสิ่งของบางอย่างกระแทกอย่างแรง พูดไม่ออกเป็นเวลานานนางคิดมาตลอดว่าความรักนั้นสามารถร้อนแรงเร่าร้อน หรือจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างยาวนานก็ได้ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ความรักของเย่จิ่งอวี้นั้นลึกซึ้งและหนักหน่วงมาก จนกระทั่งครอบครองหัวใจของนางอย่างเต็มกำลังรู้สึกว่าลำคอตีบตันไปหมด การมองเห็นพร่าเลือนไปชั่วขณะหนึ่งนางยืนขึ้นอย่างช้าๆ เดินไปหาเย่จิ่งอวี้ นางอ้าแขนออก และกอดชายตรงหน้าอย่างแรง ราวกับว่าได้อุ้มทั้งโลกไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก็ยืนเขย่งปลายเท้า จูบริมฝีปากที่เริ่มเย็นของเขานางเป็นฝ่ายเริ่มตวัดปลายลิ้นดุนดันปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้ อ้อยอิ่งอยู่กับเขารสหวานเข้าครอบงำประสาทสัมผัสของเย่จิ่งอวี้ทันที เขากอดร่างเล็กของหญิงสาวด้วยมือข้างเดียว จากผู้ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับกลายเป็นฝ่ายกระทำ ยึดร่างบางของนางไว้กับอกของตัวเอง กระแสเสียงแหบเครือ “เสวียนเอ๋อร์...คิดถึงข้างั้นหรือ ทำไมวันนี้ถึงกระตือรือร้นเช่นนี้”อินชิงเสวียนมองใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพเซียนด้วยสายตาพร่าเลือน ประทับจูบที่มุมปากของเขาแ
ในตำหนักจินอู๋ อากาศอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิมีเตาผิงสร้างไว้ในห้อง เปลวไฟไหววูบวาบเป็นรูปร่าง ทำให้ตำหนักขนาดใหญ่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและอบอุ่นยิ่งเย่จิ่งอวี้ช่วยอินชิงเสวียนถอดเสื้อคลุมหนาๆ ออก แล้วส่งถ้วยน้ำชาร้อนๆ ใส่มือของนาง“ได้ยินมาว่าเจ้ากับไห่ถังไปที่พระที่นั่งเทียนเต๋อ?”“อืม ไห่ถังอยากไปพบพี่รองของข้า”อินชิงเสวียนจิบคำเล็กๆ แล้ววางถ้วยชาลง“ฝ่าบาทประสาทสัมผัสทั้งหูและตาดีเยี่ยม ทั้งยังมีองครักษ์เงานับไม่ถ้วน ทุกเรื่องในวัง คงปิดบังท่านไม่ได้ ไม่ทราบว่า ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย สรรพนามที่นางเรียกนี้ เขาไม่ชอบมากจริงๆนอกวังหลวง เขาและอินชิงเสวียนเป็นเพียงคู่รักธรรมดา เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องสำคัญแล้ว พวกเขาก็พูดคุย หัวเราะ หยอกล้อกันบ้างตามประสา แต่เมื่อกลับมาที่วัง เหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทันที เพียงแค่เอ่ยคำว่า “ฝ่าบาท” ทันใดนั้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็เพิ่มมากขึ้น“เรียกว่าอาอวี้เถอะ ข้าชอบมันมากกว่า ข้าสามารถเป็นฮ่องเต้ของทุกคนในโลกได้ แต่ไม่ใช่ของเจ้า”“เอ๊ะ?”อินชิงเสวียนกำลังคิดเรื่องเย่ไห่ถัง ไม่เข้าใจว่าเย่จิ่งอวี้หมายถึง
คนที่ถือร่มไม่ใช่อินปู้อวี่ หากแต่เป็นอินชิงเสวียนพี่สะใภ้ของนางแม้ว่าทั้งสองจะแซ่อิน แต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเย่ไห่ถังไม่มีความคิดซับซ้อน ความผิดหวังหรือเสียใจล้วนแสดงชัดบนใบหน้า“เสด็จพี่สะใภ้!”นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ ก็โถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอินชิงเสวียน และร้องไห้เสียงดังอินชิงเสวียนตบหลังนางเบาๆ เมื่อครู่นางแอบซ่อนอยู่มุมมืด ได้ยินและได้เห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนหากเป็นคนอื่น นางอาจจะพอเข้าใจได้บ้าง แต่พี่รองเป็นคนแตกต่างออกไป ภายใต้รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและดูเฉยเมย นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เขามีนิสัยเชื่องช้ากว่าคนอื่น เมื่อองค์หญิงสารภาพรัก คาดว่าคงจะตกใจมาก เกรงว่าต้องใช้เวลาทั้งคืน เขาถึงจะรู้ตัว“ไม่ร้องนะ พี่สะใภ้จะหาอะไรสนุกๆ ให้เจ้าเล่น”“ไม่เอา ข้าจะกลับตำหนัก เสด็จพี่สะใภ้ไปหาเสด็จพี่ฮ่องเต้เถอะ”เย่ไห่ถังปาดน้ำตาแรงๆ แล้ววิ่งหนีไป อินชิงเสวียนเป็นกังวล จึงเดินตามนางไปสองชั่วยามต่อมา ในที่สุดเย่ไห่ถังก็หยุดร้องไห้ ดวงตาทั้งคู่บวมเป่ง“เสด็จพี่สะใภ้ ข้าคิดตกแล้ว ข้าจะขอให้เสด็จพี่ย้ายพี่รองของท่านออกจากวังหลัง หากมีคนที่เหมาะสม ข
เย่ไห่ถังที่เงี่ยหูแอบฟังอยู่ตลอด เมื่อเห็นท่าทางที่โง่เขลาของเขา ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้อีก“ความจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ จริงอยู่ที่มีเพียงตระกูลอินของพวกท่านที่เป็นห่วงเสด็จพี่สะใภ้ แค่เสด็จพี่ก็ประคบประหงมเสด็จพี่สะใภ้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าเช่นกัน หลังจากที่ท่านเข้ามารับตำแหน่งในวัง ทุกครั้งที่ได้เข้าพบก็คือเสด็จอาสิบสาม”นางเดินวนรอบตัวอินปู้อวี่ ร้องอ๋อแล้วพูดอีกว่า “มิน่าล่ะแต่ละวันท่านมักจะหาข้าอ้างไม่ยอมพบข้า ต้องพาลโกรธใส่ข้าอยู่แน่ๆ อินปู้อวี่ ท่านบังอาจนัก”อินปู้อวี่ตกใจ รีบคุกเข่าลงอย่างร้อนรน “กระหม่อมมิกล้า”อินชิงเสวียนพูดบ่น “เอาล่ะ เจ้าอย่าตำหนิพี่รองข้าเลย”ซึ่งเย่ไห่ถังก็ย่อมไม่ต้องการให้คนรักของตัวเองต้องคุกเข่าอยู่แล้ว“เมื่อครู่ข้าล้อเล่นน่ะ รีบลุกขึ้นเร็ว”อินปู้อวี่จึงลุกขึ้นยืน แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ยืนนิ่งงั้นเป็นเสาปูนอยู่ตรงนั้นอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ตรงกลางก็รู้สึกไม่สบายใจ จากนั้นก็เห็นเย่ไห่ถังมองอินปู้อวี่ตาปริบๆ นางกลอกตาแล้วพูดว่า “ข้าเหมือนจะกินของแสลง ท้องไส้ปั่นป่วน พวกเจ้าคุยกันก่อนนะ ข้าจะรีบไปรีบกลับ”“น้องหญิง!”เมื่อเห็นอินชิงเสวียน
“อินปู้อวี่ มีคนมาหาท่านน่ะ!”เย่ไห่ถังเดินไปที่ประตูพระที่นั่ง วางมือเท้าสะเอว แล้วตะโกนเข้าไปข้างในอินปู้อวี่กำลังดูแผนที่การป้องกันในพระราชวัง ไม่รู้ข่าวการกลับวังของอินชิงเสวียน เขาเป็นคนหัวโบราณ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ค่อยซักถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ เมื่อได้ยินเสียงของเย่ไห่ถัง อินปู้อวี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนนี้เขากลัวที่จะเจอเย่ไห่ถังมาก ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม รู้แค่ว่าเขารู้สึกสับสนมาก“บอกว่าข้าไม่อยู่”องครักษ์กล่าวด้วยความเคารพ “ผู้บัญชาการ ผู้มาไม่ได้มีเพียงแต่องค์หญิงเท่านั้น แต่ยังมีฮองเฮาด้วยขอรับ”อินปู้อวี่ลุกพรวดขึ้นทันที“น้องหญิงใหญ่กลับมาแล้วหรือ”เขาเดินออกจากประตูพระที่นั่งอย่างรวดเร็ว และเห็นอินชิงเสวียนในเครื่องแบบฮองเฮาสีแดงสด ไม่ได้เจอนางมานานกว่าครึ่งปีแล้ว รูปลักษณ์ของอินชิงเสวียนไม่เปลี่ยนไปเลย มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่สุขุมและมีพลังมากขึ้น“น้อง...”อินปู้อวี่พูดออกมาคำหนึ่ง แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรีบคุกเข่าลงบนพื้น“กระหม่อมอินปู้อวี่ ขอถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนมีหรือจะยอมให้เขาคุกเข่า จับแขนทั้งสองข้างของเขา แล้วดึงข
อินชิงเสวียนหันกลับไปพูดว่า “ฝ่าบาทเสด็จก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะคุยกับไห่ถังสักหน่อย”เมื่อมองดูร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าขบวนเสด็จ เกือบจะร้องไห้ด้วยความน้อยใจ เย่จิ่งอวี้ก็ตัดใจพูดให้มากความไม่ลง เย่จิ่งหลานก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว ในเมืองหลวงตอนนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนพี่น้องเท่านั้น“ก็ได้ ถ้าคุยกันจนดึกมาก เสวียนเอ๋อร์จะกลับตำหนักไปพักผ่อนก่อนก็ได้ แล้วข้าจะไปหาเจ้าในภายหลัง”เย่จิ่งอวี้รู้ว่าเย่ไห่ถังชอบอินชิงเสวียน ไม่ได้เจอกันมานาน คงมีเรื่องพูดคุยกันเยอะแยะไปหมด งานเลี้ยงในวังคืนนี้ อินชิงเสวียนอาจไม่สามารถไปได้แล้ว“ทราบแล้วเพคะ”อินชิงเสวียนลงจากเกี้ยวด้วยฝีเท้านุ่มนวล เย่ไห่ถังก็กระโดดเข้าหาอย่างมีความสุขทันที“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านกลับมาก็ไม่ยอมบอกข้าเลย หรือท่านลืมข้าไปแล้ว ข้าอยู่ในวังอธิษฐานขอพรให้ท่านทุกวัน ขอให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย เสด็จพี่สะใภ้ใจร้ายมาก!”เย่ไห่ถังกอดนางครู่หนึ่ง จากนั้นปล่อยมือ และเบือนหน้าหนีอย่างไม่พอใจอินชิงเสวียนที่อยู่ข้างหลังพูดเหย้าแย่นาง “ตกลงว่าเจ้าโกรธข้า หรือโกรธคนแซ่อินกันแน่ เพราะข้ากลับมาไม่ถูกจังหวะพอดี ก็เลยพลอยโดนหางเลขไปด้วยกระมัง
“หม่อมฉันน้อมถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”อินชิงเสวียนยอบกายน้อยๆ ทำความเคารพอย่างเป็นทางการตามราชประเพณี“ตามสบาย”เย่จิ่งอวี้คว้าตัวอินชิงเสวียนขึ้นเมื่อก่อนที่เคยอยู่ในวังหลวง เย่จิ่งอวี้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าราชบริพารจะกราบถวายบังคมเจ้าเหนือหัว ตอนนี้เมื่อได้เดินทางท่องยุทธภพ กลับรู้สึกว่ามันลำบากยุ่งยากจริงๆ“จากนี้ไปเมื่อเสวียนเอ๋อร์พบข้า ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอีก ส่วนพวกเจ้าเมื่อกลับเข้าวังมาแล้ว เช่นนั้นควรปฏิบัติหน้าที่รับใช้ให้ดี เสวียนเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”เมื่อทั้งหมดรู้ว่าอินชิงเสวียนตั้งครรภ์ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ ในสายตาของพวกเขา การมีลูกหลานมากมายถือเป็นโชควาสนา ทั้งสองพระองค์แต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้ว ยังมีแค่เสี่ยวหนานเฟิงคนเดียว ในวังค่อนข้างเงียบเหงาอยู่บ้าง“พวกกระหม่อม/หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชา จะพยายามดูแลพระนางฮองเฮาให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!”“ดีมาก ออกไปก่อนเถอะ”เย่จิ่งอวี้ถอยห่างจากฝูงชน ดึงอินชิงเสวียนไปที่เก้าอี้“เสวียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์ฮองเฮาช่างดูดียิ่งนัก”“ฝ่าบาทก็เช่นกัน ชุดมังกรเหมาะกับท่านมาก”อิ