ชายคนนี้สวมชุดคลุมสีฟ้าเทา คอเสื้อถูกซักจนสีซีด แต่กลับดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มีใบหน้าซูบตอบ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตาที่ห่วงใยทุกสรรพสิ่งและความสงบสุขเมื่อสบตากัน อารมณ์วุ่นวายของอินชิงเสวียนดูเหมือนจะสงบลงทันทีนักพรตเต๋าชรายิ้มให้นาง แล้วหันไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกอาหารเข้ามา“พี่ชายน้อยท่านนี้ ที่นี่มีเสบียงอาหารแห้งขายหรือไม่”เสี่ยวเอ้อร์มองดูเสื้อผ้าซอมซ่อของเขา ได้กลิ่นความยากจน จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หมั่นโถวหรือแป้งเปี๊ยะก็ไม่มีทั้งนั้น ที่ถูกที่สุดมีแค่บะหมี่ ราคาชามละเจ็ดอีแปะ ถ้าเจ้าอยากกิน ก็รอจนกว่าข้าจะทำอาหารให้ลูกค้าทั้งสองท่านนี้เสร็จก่อน แล้วจะทำให้เจ้า”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูด เย่จิ่งหลานก็ชิงพูดขึ้นเสียพูดก่อน“พูดอะไรแบบนั้น เจ้าไม่รู้จักคำว่าเคารพผู้อาวุโสปรานีเด็กหรือไง ค่าอาหารของท่านผู้เฒ่าคนนี้ ข้าจะเลี้ยงเอง”อินชิงเสวียนก็ยืนขึ้นเช่นกัน ประกบมือคำนับแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นักพรตท่านนี้ หากไม่รังเกียจ ทำไมไม่ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราพี่สาวน้องชายล่ะ?”เย่จิ่งหลานรีบแก้ไขทันที“เป็นพี่ชายน้องสาว”อินชิงเสวีย
อินชิงเสวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ไม่เห็นใครเลยเดิมทีนางคิดว่าเป็นเย่จิ่งอวี้ แต่ดูเหมือนว่านางคิดผิด นางหันความสนใจไปที่เย่จิ่งหลานทันที เขาดูเหมือนจะสับสนเช่นกันดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันครู่หนึ่ง เย่จิ่งหลานก็ลอยขึ้นข้างบน แล้วถอยกลับไปหลายจั้ง“ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ เจ้านักพรตเฒ่าจมูกวัวบัดซบ อย่าหวังว่าจะพาข้ากลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ได้”นักพรตเทียนชิงลูบเครายิ้มๆ“พี่ชายน้อยคนนี้ใจร้อนเกินไป นั่งลงเถอะ”เขาหมุนควงแขนเสื้อ เย่จิ่งหลานก็เหมือนถูกพลังอำนาจลึกลับบางอย่างดึงกลับไปที่เก้าอี้เดิมอย่างแม่นยำอินชิงเสวียนหัวใจเต้นแรงขึ้น นักพรตชราผู้นี้มีฌานตบะแกร่งกล้ามาก โชคดีที่เขาไม่มีเจตนาชั่วร้าย จึงรู้สึกโล่งใจลงบ้าง“จิ่งหลาน ท่านนักพรตพูดถูก เจ้าอยากอธิบายเรื่องชาดแห่งบาปให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือ”เย่จิ่งหลานรู้สึกราวกับว่าก้นถูกยึดติดอยู่กับเก้าอี้ ไม่สามารถขยับได้เลย อดไม่ได้ที่จะผรุสวาท “นักพรตจมูกวัวบัดซบพวกนี้จะพูดความจริงอะไรออกมาได้ แต่ละคนพอเจอหน้ากันก็มีแต่จะจับตัว ข้าไม่ใช่ศัตรูพืชในนาข้าวนะ ทำไมต้องถูกทุกคนในโลกจับตัวด้วย”อินช
เย่จิ่งหลานแค่นเสียงชิและพูดว่า “เจ้าอย่าอวยพวกเรานักเลย ไม่ว่าเราจะมาจากไหน เราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพ เราไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยโลก แค่หวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น”นักเต๋าเทียนชิงกล่าวว่า “ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่สุขสงบ แต่วันที่สงบสุขเหล่านี้ ก็ต้องมีวีรบุรุษที่ไร้ชื่อคอยปกป้องอยู่เงียบๆ บางสิ่งไม่ใช่ความปรารถนาของเจ้าเอง แต่เป็นการเลือกของสวรรค์”ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงปลงอนิจจังในใจ ซึ่งทำให้นางนึกถึงคำพูดทั่วไปในยุคปัจจุบัน เจ้าคิดว่าสงบสุขนั้น เพราะมีคนแบกรับภาระให้เจ้าพวกเขาช่วยกันปกป้องเป่ยไห่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นคุณูปการต่อประชาชนในโลกนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากอะไรในอนาคตจึงถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “อาจจะใช่ ในเมื่อเราเป็นคนของราชวงศ์โจวเช่นนั้นจึงควรทำหน้าที่ปกป้องราษฎรใต้หล้า ตั้งใจอย่างดีที่สุด ในอีกน้อยปีข้างหน้า จะไม่เหลือความเสียดายใดๆ”นักพรตเทียนชิงยกย่องนางว่า “พูดได้ดี หากอาตมภาพเดาไม่ผิด แม่นางผู้นี้คงจะเป็นฮองเฮาคนปัจจุบัน”อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย เรื่องนี้ก็ยังมองออก นักพรตชราผู้นี้มีความสามารถบางอย่างจริงๆจากนั้นจึงประ
เมื่อเห็นท่าทีที่เคร่งขรึมของนักพรตเทียนชิง หัวใจของอินชิงเสวียนก็สั่นไหว เดินออกจากโรงเตี๊ยมในขณะนี้ยังไม่รู้ว่ามีตัวอะไรที่หนีออกมาจากวิถีแห่งสวรรค์ นักพรตเต๋าคนนี้ดูแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งยังรู้ศาสตร์แห่งการทำนาย ทำไมไม่ยืมมือของเขาล่ะ...“ท่านนักพรตเห็นอะไรหรือ”อินชิงเสวียนเหลือบมองท้องฟ้า แล้วแสร้งถามทำเป็นไม่เข้าใจแต่ในใจกลับเดาได้ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้ายนั้นนักพรตเทียนชิงหันกลับมาอย่างช้าๆ“เกรงว่าแม่นางคงจะรู้มานานแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่”อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านสามีเคยยกย่องท่านนักพรตว่ามีพรสวรรค์น่าทึ่ง ไม่มีใครเทียบได้ บัดนี้ได้พบ คู่ควรกับชื่อเสียงจริงๆ ที่นี่มีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นจริง”“อ้อ ข้าอยากฟังรายละเอียด”อินชิงเสวียนไม่ได้ปิดบังสิ่งใด เล่าเรื่องวิถีแห่งสวรรค์ให้นักพรตเทียนชิงฟังอย่างละเอียดนักพรตเทียนชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนี้นี่เอง เมื่อครู่ข้ามองไปที่เมฆดำ ก็ตระหนักว่าพลังแห่งฟ้าดินไม่ถูกต้อง ที่แท้มีวิญญาณชั่วร้ายก่อความวุ่นวายที่นี่นี่เอง”เขายกมือขึ้นชี้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงพรึบเบาๆ ปราณกระบี่ในมือก็ทำ
นักพรตเทียนชิงตกใจเล็กน้อย“ดวงตะวัน?”อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ผู้เยาว์เห็นสิ่งนี้ในหนังสือบันทึกเรื่องเหนือธรรมชาติ รู้สึกว่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ทราบว่านี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าอะไร”นักพรตเทียนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ข้าไม่รู้เรื่องนี้ และข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแก่นวิญญาณในลักษณะนี้มาก่อน”เย่จิ่งหลานกำลังจะถามว่าต้องทำอย่างไรถึงจะฝึกฝนให้มีแก่นวิญญาณขึ้นได้ แต่ก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่ามาแต่ไกล ชายหนุ่มรูปงามสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตา“อาอวี้!”เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ สีหน้าของอินชิงเสวียนก็เบิกบานด้วยความดีใจ นางโบกมือไปทางเขาไป๋เสวี่ยรีบวิ่งไปหานาง แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนและถูไถไปมา วนเจ้าขาวนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาสีเขียวคู่นั้นมองดูนักนักพรตเทียนชิงอย่างระมัดระวัง“เสวียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าลงจากเขาล่ะ”เย่จิ่งอวี้มองดูหญิงสาวด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อหันกลับมา ก็เห็นนักพรตเทียนชิง ทันใดนั้นดวงตาก็แสดงความประหลาดใจ“เหตุใดท่านนักพรตจึงมาที่นี่ได้”หลังจากถามจบ ก็นึกถึงเย่จิ่งหลานทันที ในใจพลันเข้าใจขึ้นทันที จึง
ทั้งคู่ไล่ตามไป๋เสวี่ยไปติดๆ เย่จิ่งหลานก็ยิ้มอย่างขมขื่นในชาติที่แล้วเขาตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ปล่อยให้คนทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เมื่อเผชิญกับเรื่องใด ไม่มีแม้แต่ที่ที่จะให้ทวงคืนความยุติธรรม แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป เขามีพี่ชายที่รักและเคารพ มีเพื่อนสนิทที่ห่วงใย หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกเขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาแต่เขาจะทนลากพวกเขาลงไปได้อย่างไร ถ้าการไปแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีเดียวจริงๆ เขาจะเลือกที่จะเดินทางไปเพียงลำพังแม้ว่าเย่จิ่งหลานจะทั้งขำทั้งด่า คุยโวโอ้อวด แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเพื่อเรื่องยิบย่อยในยุทธภพ เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนถูกรั้งตัวไว้นานเกินไป ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้วลำพังแค่หัวเดียวชีวิตเดียว ขนาดตงหลิวเขายังสามารถทำลายได้ นับประสาอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์ มีอะไรให้กลัว?เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เย่จิ่งหลานก็รู้สึกโล่งใจตอนนี้เติบโตเป็นคนหนุ่มแล้ว ควรมีท่วงท่าลักษณะเหมือนคนหนุ่มทั่วไป วันนี้มีเหล้าวันนี้ก็เมา จะไปคิดอะไรให้มากความ!เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปมีเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนอยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะไป ก็เป็นเพียงผู้สังเกต
ขณะที่หญิงสาวกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนก็ได้ตามไปถึงเรือนเล็กที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งแล้วไป๋เสวี่ยกระโดดลงจากกำแพงบ้าน บุกเข้าไปทางหน้าต่าง สองสามีภรรยาตามไปอย่างใกล้ชิด แต่เห็นเพียงถ้วยชาเท่านั้นทั้งสองคนแยกย้ายกันไปตรวจค้น แต่ไม่พบผู้ต้องสงสัย“ดูท่าทาง เขาเพิ่งจากไปไม่นานนี้”เย่จิ่งอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมา พบว่าน้ำยังอุ่นอยู่อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อไป๋เสวี่ยเคยได้ดมกลิ่นของนักพรตเทียนจีแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน เพียงว่าเขาถนัดในเรื่องค่ายกลและกลไก อาอวี้ระวังตัวด้วย”“อื้ม เราไปหากันต่อเถอะ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฆาตกร แต่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับฆาตกรเป็นแน่”ทั้งสองพาไป๋เสวี่ยและเจ้าขาวออกจากบ้าน ทันทีที่ปิดประตู อินชิงเสวียนก็เห็นลูกศรที่วาดไว้บนประตู ชี้ไปทางทิศเหนือ“อาอวี้ ดูสิ”เย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความรอบคอบของอินชิงเสวียน“บางทีเขาอาจจะทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา เสวียนเอ๋อร์กลับไปหาจิ่งหลานก่อน ข้าจะไปดูหน่อย”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะทันที“ไม่ได้ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน”แม้ว่าอินชิงเสวียนไม่เคยมีอาการแพ้ครรภ์ที่รุนแ
เมื่อเห็นว่านักพรตเทียนจีไม่ได้เป็นศัตรู เย่จิ่งอวี้จึงคว่ำฝ่ามือลง ถ้วยชาก็ตกลงไปบนโต๊ะหินอย่างเงียบๆ“ในเมื่อเจ้าต้องการเล่าเรื่อง เช่นนั้นจงเล่าให้ครบถ้วนและชัดเจนที่สุด เมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือฮ่องเต้ราชวงศ์โจวก็ควรจะเข้าใจดีว่า สิ่งที่คนในราชวงศ์ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กคืออะไร ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะหลอกลวงด้วยคำเพียงไม่กี่คำได้”นักพรตเทียนจียกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง รินชาอีกถ้วยให้เย่จิ่งอวี้ แล้วถอนหายใจยาว“ใช่ สิ่งที่ฮ่องเต้เก่งกาจที่สุดคือเชี่ยวชาญในอำนาจและจิตใจของผู้คน ตลอดจนการควบคุมสถานการณ์โดยรวม ตลอดหลายพันปีก็เป็นเช่นนี้ไม่มีข้อยกเว้น......แม้ว่าฮ่องเต้จะอายุไม่มาก แต่กลับสามารถควบคุมโรคระบาด บรรเทาความอดอยาก สร้างสำนักศึกษาหลวงและโรงเรียนสอนการต่อสู้ ทำให้ราษฎรนับหมื่นมีบ้านให้พักพิง ยังทำให้เด็กยากไร้มีอนาคต เห็นได้ชัดว่าพิเศษอย่างยิ่ง”เย่จิ่งอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมา จิบแล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผลงานของข้า แต่เป็นผลงานของฮองเฮาต้าโจวเพียงผู้เดียว ที่มาที่นี่วันนี้ มิได้มาหารือเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง ข้าต้องการถาม สาเหตุของการตายของท่าน
ณ ตำหนักจินอู๋“เป็นอย่างไร ข้าดูคนออกไหม”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจมากอินชิงเสวียนทำเสียงชิ“เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จบได้ด้วยคำพูดเดียว ท่านกลับข่มขู่จนพวกเขาเกือบตาย เอาเถอะ เห็นแก่อาอวี้ที่วางแผนเผื่อน้องสาว ข้าจะไม่ถือสาท่าน ได้ยินมาว่าเสด็จอาไปสู่ขอที่ตระกูลอินแล้ว ต้าโจวมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเลยทีเดียว”เย่จิ่งอวี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน“สิ่งที่ข้ารอคอยมากที่สุดคือเรื่องดีของเสวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยของเราดิ้นบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว“ไม่มี ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาว ท่าทางว่าง่ายมาก”เย่จิ่งอวี้โน้มตัวลง เอาหน้าแนบกับท้องน้อยของอินชิงเสวียน“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสวียนเอ๋อร์มีชื่อที่ชอบหรือเปล่า”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ชื่อของจ้าวเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรถึงจะเข้ากับลูกสาวสุดที่รักของข้า”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อเอง แม้ต้องเปิดตำราโบราณจนหมดวังหลวง ข้าก็จะตั้งชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกให้ลูกสาวของเรา”อินชิงเสวีย
ทั้งสองสะดุ้งตกใจพร้อมกัน เย่ไห่ถังรีบเอาตัวมาบังให้อินปู้อวี่ทันที“เสด็จพี่ พวกเรา...ทั้งหมดเป็นความคิดของข้า เป็นข้าที่อยากหนีการแต่งงาน เป็นข้าที่บังคับเขา!”อินปู้อวี่รู้ว่าฝ่าบาทมีวรยุทธ์สูงส่ง สิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่เขาจะต้องได้ยินอยู่แล้ว เขาก้าวไปข้างหน้า และคุกเข่าลงต่อหน้าฝ่าบาทด้วยสีหน้าซีดเซียว“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงเลย เป็นกระหม่อมที่เพ้อฝันในตัวองค์หญิง คิดฝันในสิ่งที่ไม่สมควร ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของกระหม่อมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิง ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา และยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอินเลย กระหม่อมยอมตายเพื่อชดใช้ความผิด ด้วยพระเมตตาของฝ่าบาท หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับองค์หญิง โปรดอย่าส่งนางไปแต่งงานกับเจียงวูเลยพ่ะย่ะค่ะ!”อินปู้อวี่สะบัดนิ้ว กระบี่ที่เอวก็หลุดออกมาจากฝักเสียงดัง เขาถือกระบี่จ่อที่ลำคอตัวเอง ทว่าเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นขัดขวางไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใกล้ผิวหนังของเขาได้เลยใบหน้าของเย่ไห่ถังซีดลงด้วยความหวาดกลัว กระโจมเข้าไปหาเขาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดปนสะอื้น
อินปู้อวี่ไม่กล้าสบตาคู่นั้นโดยตรง ก้มหน้าพูดว่า “กระหม่อมจะกล้าหัวเราะเยาะองค์หญิงได้อย่างไร กระหม่อมเป็นห่วงองค์หญิง ดังนั้น...จึงมาเยี่ยม”เย่ไห่ถังลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหาเขาทีละก้าวถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้ากำลังจะไปจากวังหลวง จะไม่ได้รบกวนท่านอีกตลอดไป ท่านสมความปรารถนาแล้ว ยังต้องเป็นห่วงอะไรอีก”อินปู้อวี่ก้มศีรษะลง มองดูปลายรองเท้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่อย่างที่องค์หญิงคิด กระหม่อมไม่เคยคิดเลยว่าองค์หญิงจะไปแต่งงานเชื่อมไมตรี”เย่ไห่ถังยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ยถากถาง“การแต่งงานเชื่อมไมตรีเพื่อเสริมสร้างอำนาจราชวงศ์ ทำให้ประชาชนมีความสุขสงบ เป็นเรื่องธรรมดาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วไม่ใช่หรือ จะไม่เคยคิดได้อย่างไร ท่านเคยไปทำศึกที่เจียงวู คงรู้สถานการณ์ที่นั่นดี ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ฟ้าดินกว้างขวาง สำหรับข้าคงเป็นสิ่งที่ดีมาก”ทันใดนั้นอินปู้อวี่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย“ไม่ดี ที่นั่นไม่เหมาะกับองค์หญิงเลย ชาวเจียงวูส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกระโจม อพยพตามฤดูกาล แม้แต่ตำหนักที่ประทับที่เป็นทางการก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ องค์หญิงสูงศักดิ์ล้ำค่า จะทนสิ่งนี้ได้อย่างไร”เย่ไห่ถังมองดู
ไม่ได้ เขาต้องไปพบกับเย่ไห่ถัง!อินปู้อวี่เปลี่ยนเป็นชุดพรางตัว ผลักเปิดหน้าต่างด้านข้าง กวาดสายตามองไปรอบๆ และร่างนั้นก็กระโดดออกจากพระที่นั่งเทียนเต๋ออย่างเงียบเชียบในเวลานี้ ตำหนักชิงฮว๋าได้ตกอยู่ในความโกลาหลหมอหลวงหลายคนช่วยกันตรวจชีพจร และในที่สุดก็สรุปได้ว่า องค์หญิงวิตกกังวลเกินเหตุ ไม่มีอะไรร้ายแรงอินชิงเสวียนเหลือบมองเย่จิ่งอวี้อย่างงอนๆ จากนั้นให้น้ำพุวิญญาณชงชามะนาวให้นางดื่มเย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ และพูดว่า “ในที่สุดน้องสาวของข้าก็โตขึ้นแล้ว รู้จักจะคิดแทนข้า แม้ว่าเจียงวูจะเป็นสถานที่เล็กๆ แต่ก็มีชนเผ่าอยู่ใกล้ๆ มากมาย เมื่อราชาเผ่ามีเจตนาเป็นกบฏ แล้วร่วมมือกัน นั่นจะเป็นขุมพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีในฐานะองค์หญิง ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาของสวรรค์เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจของชาวเจียงวูมั่นคงอีกด้วย เจ้าก็ถึงวัยที่จะแต่งงานพอดี ราชาเผ่าอายุมากกว่าเจ้าไปบ้าง ย่อมรักและทะนุถนอมเจ้าอย่างดีอยู่แล้ว ข้าออกคำสั่งให้เขาแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอกแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”เย่ไห่ถังหน้าซีด นั่งฟังอยู่เงียบๆ ดวงตาว่างเปล่าอินชิงเสวียนทนไม่ไหว ตะโกนออกมาด้ว
อินปู้อวี่ตกตะลึงจนหน้าเผือดสีเขาอ่านจดหมายลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง คำต่อคำ บรรทัดต่อบรรทัด ไม่ผิด ฝ่าบาททรงหมายความตามนี้จริงๆปลายนิ้วสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ พระราชโองการร่วงหล่นลงกับพื้น“ผู้บัญชาการ เกิดอะไรขึ้นขอรับ”รองแม่ทัพยืนอยู่ข้างๆ กำลังคิดจะหยิบพระราชโองการขึ้นมาดูอินปู้อวี่ยื่นมือออกไปห้ามเขา สีหน้ามืดลง“ถอยออกไป”รองแม่ทัพไม่กล้าพูดอะไร โค้งคำนับและถอยออกไปนอกพระที่นั่ง ทว่าในใจกลับเอาแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลอินมากเพียงใดนั้น เจ้าหน้าที่ขุนนางทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี เหตุใดผู้บังคับบัญชาจึงมีสีหน้าหวาดกลัว ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้?เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานแต่ก็คิดไม่เข้าใจ จึงนำทหารออกไปลาดตระเวนอินปู้อวี่ยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะหยิบพระราชโองการขึ้นมา ดึงตะบันไฟออกมา และเริ่มเผามันด้วยสีหน้าด้านชาดังที่เย่จิ่งอวี้พูด เขาเข้าใจทุกอย่าง และรู้ทุกอย่างเขามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อม หัวสมองก็ไม่ฉลาดพอ ไม่เฉลียวฉลาดเหมือนพี่ใหญ่ และไม่ชอบทำตัวเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนหัวช้าเรื่องความรัก แต่เ
อินชิงเสวียนค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น นับจากการแจกจ่ายตำราไปจนถึงการก่อตั้งโรงเรียนสอนการต่อสู้ ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว แม้ว่าเวลาจะฉุกละหุกไปบ้าง แต่ถ้าเทียบกับบทกวีและบทเพลงที่น่าเบื่อก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าเพิ่มพูนความรู้มากพอสมควรแต่หากต้องการให้มีการศึกษาภาคบังคับเหมือนในยุคสมัยใหม่ รวมถึงมีการเรียนแบบมหาวิทยาลัย เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีโชคดีที่ฮ่องเต้สนับสนุนนาง ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม นางก็เต็มใจที่จะลองดู“เช่นนั้นก็ยอดไปเลย ข้ารอไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทำไมไม่จัดสอบหน้าพระที่นั่งหลังวันตรุษล่ะ จะได้ให้เหล่าบัณฑิตได้สนุกสนานกับครอบครัวในวันตรุษให้เต็มที่”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าเห็นด้วย“เสวียนเอ๋อร์พูดมีเหตุผล พรุ่งนี้ข้าจะเขียนโองการขึ้นใหม่ ให้สอบระดับเขตก่อน จากนั้นสอบระดับมณฑล ส่วนการสอยระดับอื่นไว้ค่อยดำเนินการหลังวันตรุษ”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้ม“ขอบพระทัยฝ่าบาท”“ปากเล็กๆ เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง ขอข้าชิมหน่อย”อินชิงเสวียนปิดปากของเขาทันที“ข้าจะลุกจากเตียงแล้ว”เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้แน่นกึ่งบังคับ“ไม่ได้ ข้าบอกแล้ว วันนี้ให้นอนบนเตียง”อินชิงเสวียนดิ้นไม่หลุ
เมื่อมองดูดวงตาคู่นั้นที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความอ่อนโยน หัวใจของอินชิงเสวียนเหมือนจะถูกสิ่งของบางอย่างกระแทกอย่างแรง พูดไม่ออกเป็นเวลานานนางคิดมาตลอดว่าความรักนั้นสามารถร้อนแรงเร่าร้อน หรือจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างยาวนานก็ได้ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ความรักของเย่จิ่งอวี้นั้นลึกซึ้งและหนักหน่วงมาก จนกระทั่งครอบครองหัวใจของนางอย่างเต็มกำลังรู้สึกว่าลำคอตีบตันไปหมด การมองเห็นพร่าเลือนไปชั่วขณะหนึ่งนางยืนขึ้นอย่างช้าๆ เดินไปหาเย่จิ่งอวี้ นางอ้าแขนออก และกอดชายตรงหน้าอย่างแรง ราวกับว่าได้อุ้มทั้งโลกไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก็ยืนเขย่งปลายเท้า จูบริมฝีปากที่เริ่มเย็นของเขานางเป็นฝ่ายเริ่มตวัดปลายลิ้นดุนดันปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้ อ้อยอิ่งอยู่กับเขารสหวานเข้าครอบงำประสาทสัมผัสของเย่จิ่งอวี้ทันที เขากอดร่างเล็กของหญิงสาวด้วยมือข้างเดียว จากผู้ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับกลายเป็นฝ่ายกระทำ ยึดร่างบางของนางไว้กับอกของตัวเอง กระแสเสียงแหบเครือ “เสวียนเอ๋อร์...คิดถึงข้างั้นหรือ ทำไมวันนี้ถึงกระตือรือร้นเช่นนี้”อินชิงเสวียนมองใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพเซียนด้วยสายตาพร่าเลือน ประทับจูบที่มุมปากของเขาแ
ในตำหนักจินอู๋ อากาศอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิมีเตาผิงสร้างไว้ในห้อง เปลวไฟไหววูบวาบเป็นรูปร่าง ทำให้ตำหนักขนาดใหญ่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและอบอุ่นยิ่งเย่จิ่งอวี้ช่วยอินชิงเสวียนถอดเสื้อคลุมหนาๆ ออก แล้วส่งถ้วยน้ำชาร้อนๆ ใส่มือของนาง“ได้ยินมาว่าเจ้ากับไห่ถังไปที่พระที่นั่งเทียนเต๋อ?”“อืม ไห่ถังอยากไปพบพี่รองของข้า”อินชิงเสวียนจิบคำเล็กๆ แล้ววางถ้วยชาลง“ฝ่าบาทประสาทสัมผัสทั้งหูและตาดีเยี่ยม ทั้งยังมีองครักษ์เงานับไม่ถ้วน ทุกเรื่องในวัง คงปิดบังท่านไม่ได้ ไม่ทราบว่า ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย สรรพนามที่นางเรียกนี้ เขาไม่ชอบมากจริงๆนอกวังหลวง เขาและอินชิงเสวียนเป็นเพียงคู่รักธรรมดา เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องสำคัญแล้ว พวกเขาก็พูดคุย หัวเราะ หยอกล้อกันบ้างตามประสา แต่เมื่อกลับมาที่วัง เหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทันที เพียงแค่เอ่ยคำว่า “ฝ่าบาท” ทันใดนั้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็เพิ่มมากขึ้น“เรียกว่าอาอวี้เถอะ ข้าชอบมันมากกว่า ข้าสามารถเป็นฮ่องเต้ของทุกคนในโลกได้ แต่ไม่ใช่ของเจ้า”“เอ๊ะ?”อินชิงเสวียนกำลังคิดเรื่องเย่ไห่ถัง ไม่เข้าใจว่าเย่จิ่งอวี้หมายถึง
คนที่ถือร่มไม่ใช่อินปู้อวี่ หากแต่เป็นอินชิงเสวียนพี่สะใภ้ของนางแม้ว่าทั้งสองจะแซ่อิน แต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเย่ไห่ถังไม่มีความคิดซับซ้อน ความผิดหวังหรือเสียใจล้วนแสดงชัดบนใบหน้า“เสด็จพี่สะใภ้!”นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ ก็โถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอินชิงเสวียน และร้องไห้เสียงดังอินชิงเสวียนตบหลังนางเบาๆ เมื่อครู่นางแอบซ่อนอยู่มุมมืด ได้ยินและได้เห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนหากเป็นคนอื่น นางอาจจะพอเข้าใจได้บ้าง แต่พี่รองเป็นคนแตกต่างออกไป ภายใต้รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและดูเฉยเมย นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เขามีนิสัยเชื่องช้ากว่าคนอื่น เมื่อองค์หญิงสารภาพรัก คาดว่าคงจะตกใจมาก เกรงว่าต้องใช้เวลาทั้งคืน เขาถึงจะรู้ตัว“ไม่ร้องนะ พี่สะใภ้จะหาอะไรสนุกๆ ให้เจ้าเล่น”“ไม่เอา ข้าจะกลับตำหนัก เสด็จพี่สะใภ้ไปหาเสด็จพี่ฮ่องเต้เถอะ”เย่ไห่ถังปาดน้ำตาแรงๆ แล้ววิ่งหนีไป อินชิงเสวียนเป็นกังวล จึงเดินตามนางไปสองชั่วยามต่อมา ในที่สุดเย่ไห่ถังก็หยุดร้องไห้ ดวงตาทั้งคู่บวมเป่ง“เสด็จพี่สะใภ้ ข้าคิดตกแล้ว ข้าจะขอให้เสด็จพี่ย้ายพี่รองของท่านออกจากวังหลัง หากมีคนที่เหมาะสม ข