อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจว่า “เป็นข้าที่ประมาทเอง เมื่อท่านยังถูกควบคุมด้วยกลิ่นเลือดได้ นั่นหมายความว่าตู้เยี่ยนยังไม่ตาย เราต้องตามหาเขาให้เจอโดยเร็ว อย่าปล่อยให้เขาทำร้ายใครอีกเด็ดขาด”“อืม”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมเหมยชิงเกอจึงกล่าวตามมาอีกว่า “ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นในตำหนักเทพ ตำหนักเทพจะต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุดด้วย”นางหันหน้ามาพูดกับเฟิงเอ้อร์เหนียงว่า “รีบไปเรียกศิษย์ในตำหนักเทพทันที พยายามค้นหาที่อยู่ของฉางเฮิ่นเทียนอย่างเต็มกำลัง เมื่อมีข่าว ให้รายงานกลับทันที”“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ลาก่อน”อินชิงเสวียนประกบมือคำนับเหมยชิงเกอ ครั้นแล้วก็จูงมือเย่จิ่งอวี้ลงมาจากภูเขาเหมยชิงเกอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นวิธีเดียวที่จะสงบความโกรธของชิงเสวียนได้คือการตามหาฉางเฮิ่นเทียน มิฉะนั้นนางอาจจะไม่ให้อภัยตัวเองนางถอนหายใจหนัก จากนั้นเหมยชิงเกอหันกลับมาด้วยสีหน้าโดดเดี่ยว“เรากลับกันเถอะ!”ฉุยอวี้พูดด้วยความรู้สึกผิด “ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าฉางเฮิ่นเทียนคือตู้เยี่ยน ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่มีวันเก็บเขาไว้”เหมยชิงเกอหยุดชั่วคราวและพูดว่า “เรื่อง
เมื่ออินชิงเสวียนสองสามีภรรยามาถึงเชิงเขา ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างเป็นสีขาวเงินแล้วท่ามกลางแสงสลัวยามเช้า ชาวบ้านหลายคนได้เดินทางไปตลาดโดยถือผัก ไข่ และสิ่งของอื่นๆ ที่ตนเองปลูกไว้ เพื่อนำไปแลกกับของใช้ในครัวเรือน หรือขายเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆที่ด้านหน้าของอิ๋นเฉิง ยิ่งมีคนจำนวนมากที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่รอรับการรักษาพยาบาล ผู้อาวุโสของอิ๋นเฉิงที่เส้นผมหงอกขาวหลายคนนั่งอยู่หลังโต๊ะเล็กๆ และเริ่มทำการตรวจรักษาแม้ว่าจะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แม้ต้องเผชิญกับชาวบ้านที่ตรวจรักษาได้ยาก ก็ไม่เบื่อหน่ายแม้แต่น้อย ยังสอบถามอย่างละเอียดรอบคอบเด็กผู้ช่วยเตรียมยาที่อยู่ข้างหลังได้จัดเรียงสมุนไพรเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แจกจ่ายให้กับคนที่อยู่ข้างหลังตามอาการของพวกเขาอย่างเป็นระบบระเบียบท่ามกลางการต่อแถวอันยาวเหยียดนี้ ยังมีคนวัยหนุ่มสองคนปะปนมาด้วยผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าหน้าตาหล่อเหลา เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่ให้อารมณ์ร่าเริง มีไฝสีแดงระหว่างคิ้วดูโดดเด่นเป็นพิเศษ เพิ่มความเย้ายวนใจให้กับใบหน้าอันหล่อเหลาดวงนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังเขาแต่งต
“ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”หวังซุ่นค้อมกายลงต่ำที่สุดอินชิงเสวียนมีของล้ำค่าไม่เคยขาด ถึงตอนนั้นขายความน่าสงสารสักหน่อย ต้องขออะไรได้อย่างแน่นอนหวังซุ่นขานตอบ แล้วรีบวิ่งไปที่เมือง เขาพอจะจำที่พักชั่วคราวของเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนได้อยู่ในเวลานี้ เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนก็กลับมาที่เรือนเล็กแล้วเช่นกันเฉิงเฟิ่งโหลวกำลังทำความสะอาดลานบ้าน เดิมทีคิดว่าคุณชายและนายหญิงยังหลับอยู่ เขาจึงไม่กล้าส่งเสียงดังมาก แต่เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาจากข้างนอก ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย“คุณชาย นายหญิง พวกท่านออกไปข้างนอกงั้นหรือ”อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนเช้าอากาศดี ข้าก็เลยไปเดินเล่นที่เชิงเขาน่ะ”เฉิงเฟิ่งโหลวอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ห้อง คุณชายกับนายหญิงทิ้งคุณชายน้อยไว้ข้างหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไว้วางใจในตัวเขา จึงรู้สึกซาบซึ้งในใจ โดยที่หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วเสี่ยวหนานเฟิงไม่ได้อยู่ในห้องเลย หากแต่ในมิติของอินชิงเสวียน“เจ้าไม่จำเป็นต้องเกร็งเกินไป ถือว่าเป็นบ้านของเจ้าเองก็พอ ข้าจะไปทำของกินหน่อย”อินชิงเสวียนพูดด้วยเสียงอ่อนโยนแล้วเดินไปที่ห้อง แต่กลับได้ยินใครบางคนอยู่
หวังซุ่นพยักหน้าอย่างเร่งรีบและพูดว่า “บ่าวรู้ บ่าวจะพานายท่านทั้งสองไปเดี๋ยวนี้”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปหิ้วร่างหวังซุ่น พูดสั้นๆ อย่างกระชับ“ชี้ทางให้ด้วย”หลังจากนั้นอีกสิบห้านาที ทั้งสามคนก็มาถึงปากหุบเขาที่ซ่อนอยู่หวังซุ่นชี้ไปทางนั้นแล้วพูดว่า “ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อยู่ที่ปลายหุบเขา แต่ที่นี่มีการติดตั้งค่ายกลไว้ ไม่ทราบว่านายท่านทั้งสองจะทำลายได้หรือไม่”“ค่ายกล?”อินชิงเสวียนมองไปข้างหน้า เส้นทางเล็กๆ ที่คดเคี้ยว มีดอกไม้แปลกตามากมายและต้นไม้โบราณที่เติบโตทั้งสองข้างทาง ทุกสิ่งดูม่ต่างจากหุบเขาธรรมดา แล้วจะมีค่ายกลได้อย่างไร“เจ้าแน่ใจหรือ”นางหันไปมองหวังซุ่นหวังซุ่นพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว“มั่นใจและแน่ใจมาก วันนั้นเราได้ติดตามเจ้าเมืองแห่งอิ๋นเฉิงมา เขาเดินไปตามถนนทางเดินนี้จริง เพียงแต่ว่าสมองของบ่าวไม่ดี จำไม่ได้ว่าเขาเดินไปในเส้นทางไหน”อินชิงเสวียนมองดูอย่างระมัดระวังอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นทางเข้าประตูใดๆ นางจึงเตะหินเข้าไปในหุบเขาทันทีที่หินตกลงสู่พื้น มีเสียงระเบิดในอากาศ กระบี่ยาวหลายร้อยเล่มก็ตกลงมาจากความว่างเปล่า และทั้งหมดล้วนกระทบกับก้อนหิน หลังจา
จู่ๆ ใบหน้าของตู้เยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำขึ้นหลายส่วน“เจ้าไม่รู้วิธีเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์จริงๆ หรือ”“ไร้สาระ ถ้ารู้ยังต้องถามเจ้าอีกหรือ”เย่จิ่งหลานสะบัดก้นบุหรี่ในมือทิ้ง และตกลงบนหน้าอกของตู้เยี่ยนพอดี ตู้เยี่ยนหยิบก้นบุหรี่ออกไปโดยไม่รู้ตัว และการเคลื่อนไหวที่รุนแรงนี้ ทำให้เขาครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดนี่เป็นความเจ็บปวดที่ทนไม่ไหว แทงทะลุหัวใจจากภายในสู่ภายนอก เมื่อคิดถึงใบมีดขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายด้วยพลังงานสีดำ ตู้เยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงมีพลังมากมายมหาศาลขนาดนี้ หากเจ้าใช้สิ่งนั้นแยกก้อนหินที่อยู่ตรงหน้า มันจะมีพลังทำลายล้างด้วยหรือไม่คนชั่วก็คือคนชั่ว แม้ว่าต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ก็ยังคิดหาทางจนได้เขากัดฟันพูดอย่างยากลำบาก “ข้าก็ไม่รู้ ถ้ารู้ คงเข้าไปนานแล้ว”เย่จิ่งหลานไม่แปลกใจเลย เขาเหลือบมองตู้เยี่ยนแล้วถามช้าๆ “งั้นบอกข้ามาว่ามีอะไรอยู่ในนั้น”ตู้เยี่ยนหลับตา มุมปากกระตุกเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด“ข้าไม่รู้ ทุกอย่างมาจากปากของคนรุ่นก่อน บางคนบอกว่าเป็นเคล็ดวิชาลับวรยุทธ์ บางคนบอกว่ามีสมบัติมากมายจนใ
ทั้งสามคนเข้าไปในมิติอย่างรวดเร็ว ครั้นแล้วก็เห็นร่างสง่างามเดินมาจากระยะไกลเย่จิ่งหลานเปิดมิติสำรวจดู แต่ในทันใดนั้น คนผู้นั้นก็มาถึงหน้าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์เมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนก็พูดพร้อมกันว่า “เป็นเขานั่นเอง!”เย่จิ่งหลานหันกลับมาแล้วถามว่า “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาเป็นผู้อาวุโสที่ข้าพบที่โรงเตี๊ยม ชายคนนี้มีทักษะวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง จิตใจเปิดกว้าง ต้องมีสถานะไม่ธรรมดาแน่นอน”อินชิงเสวียนแค่นเสียงหึเบาๆ และพูดว่า “ท่านเดาถูกแล้ว เขาไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเขาคือเฮ่อยวน เจ้าเมืองแห่งเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง”“เฮ่อยวน?”สองพี่น้องตระกูลเย่มองไปที่อินชิงเสวียนพร้อมกันอินชิงเสวียนพยักหน้า“ใช่ เป็นเขาเอง”เย่จิ่งหลานชี้ไปที่อินชิงเสวียนแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็เป็นพ่อของ...”อินชิงเสวียนไม่พูดอะไร หันหน้ามองออกไปจากมิติเฮ่อยวนหยุดอยู่หน้าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ เมื่อเห็นร่างของตู้เยี่ยน เขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อครู่ตอนที่เขาอยู่ในอิ๋นเฉิง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าค่ายกลกำลังปั่นป่วน ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบทันที แล
“บนนั้น...ดูเหมือนว่าจะมีอักษรรูนต้องห้ามแห่งเต๋าอยู่”เย่จิ่งอวี้มองไปที่กลุ่มหลักการที่ไร้รูปร่างที่มองไม่เห็น แล้วพูดอย่างไม่แน่ใจเย่จิ่งหลานคว้าแขนของเขาแล้วยืนขึ้น มองซ้ายขวา แต่ไม่เห็นอะไรเลย“มีเขียนอักษรรูนต้องห้ามแห่งเต๋าไว้ที่ไหน หรือเป็นภาพแกะสลักที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้?”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัว“นี่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ดูลึกลับมาก”เย่จิ่งหลานกลอกตา พูดซะลึกลับเลย ก็แค่ก้อนหินเองไม่ใช่หรือ“ยันต์นี้ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ ขอข้าลองดูอีกหน่อย”เขาหยิบเลื่อยไฟฟ้าที่ส่งเสียงดังอีกครั้ง และวิ่งไปที่อักษรรูน ในช่วงเวลาฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงดังลั่น เย่จิ่งหลานก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นผลักออกไปอีกครั้ง“ให้ตายเถอะ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย เป็นวัชระที่ทำลายไม่ได้งั้นหรือ”เย่จิ่งอวี้ไปประคองหลังเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “สิ่งนี้ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณ มันรับรู้ได้ว่าเจ้ากำลังจะโจมตีมัน อย่าลองอีกดีกว่า เดิมทีสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ของเรา หากฝืนทำลายไป จะเป็นการกระทำที่ผิดธรรมชาติและจะนำมาซึ่งผลเสียตามมา”เย่จิ่งหลานไม่เห็นด้วย แต่ก็ยากที่จะคัดค้านแม้ว่าเย่จิ่งอวี้เ
เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนส่ายหัวพร้อมกัน“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คนผู้นี้ทำไมงั้นหรือ”เย่จิ่งหลานยักไหล่“ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่รอบรู้มาก ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่รู้เลย”เย่จิ่งอวี้คิดว่าเขากำลังช่วยเขาสรรหาบุคลากรที่มีพรสวรรค์ จึงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “พี่จะจำชื่อนี้ไว้ ถ้าโชคดีได้พบเขา ข้าจะเชิญเขาไปที่เมืองหลวงอย่างแน่นอน”เย่จิ่งหลานหัวเราะแห้งๆ และพูดว่า “ดียิ่งนัก”หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนฝีเท้าลง“เสวียนเอ๋อร์ตั้งใจจะจากไปแบบนี้จริงๆ หรือ?”อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ“ไม่งั้นจะทำอะไรได้อีก เจ้าตำหนักเหมยไม่มีท่าทีที่จะยอมรับความเป็นแม่ลูกกับข้า นางคงมีความกังวลของนาง และตอนนี้นางก็กลายเป็นคนสุดโต่ง แม้ว่าข้าจะพยายามโน้มน้าวอย่างเต็มที่ แต่นางก็อาจจะไม่ฟัง เกรงว่าการโต้เถียงของนางกับเฮ่อยวน คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในนี้อาจมีความเข้าใจผิดอยู่บ้าง ผู้อาวุโสเฮ่อไม่รู้ว่าเจ้ามีตัวตนอยู่ หากเจ้าอธิบายตัวตนของเจ้าให้เขาฟัง การต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ อาจหลีกเลี่ยงได้”ในโรงเตี๊ยม เย่จิ่งอวี้ยังคงมีความประทับใจที่ดีต่อเ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี