อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว“บอกเจ้าตำหนักเหมย ว่าข้ายังมีเรื่องต้องทำที่นี่ ประเดี๋ยวจะไปที่นั่นในภายหลัง”“ขอรับ”ลูกศิษย์ประกบมือคำนับ แล้วเดินไปตามทางเดินเล็กๆอินชิงเสวียนยังคงมองลงไปที่ภูเขา รู้สึกไม่สบายใจเย่จิ่งอวี้กล่าวปลอบใจ “คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ กลับยิ่งทำให้กังวล เจวี๋ยอิ่งพวกเขาอยู่ที่เชิงเขา ประเดี๋ยวข้าจะวาดภาพจิ่งหลานแล้วส่งลงไปที่ข้างล่าง”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“ก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว”เย่จิ่งอวี้ถามอีกครั้ง “ไม่ไปดูทางด้านเจ้าตำหนักเหมยหรือ”อินชิงเสวียนส่ายหัว“ไว้ค่อยไปทีหลังก็ได้ หายากที่เราจะรวมตัวกัน เรากลับไปกินข้าวกันก่อนเถอะ!”ในแง่ของความรู้สึก ร่างกายนี้คือลูกสาวที่พลัดพรากไปนานของเหมยชิงเกอ หากนางใส่ใจจริงๆ ย่อมมาหานางเองในแง่ของเหตุผล เป็นนางที่พาเหมยชิงเกอออกจากผาเฟิงเริ่น และใช้น้ำพุวิญญาณเพื่อช่วยนางฟื้นฟูรูปลักษณ์และทักษะวรยุทธ์ดังเดิม ด้วยบุญคุณนี้ หรือว่านี่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางลดตัวลงมาพบกับตัวเองสักครั้ง?ในเมื่อนางไม่มีความตั้งใจเช่นนั้น ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปหาถึงที่ตอนนี้เย่จิ่งหลานออกจากตำหนักเทพแล้ว อินชิงเสวียนก็ยิ่งไม่
ราชาแห่งสงครามมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วต้าโจว แม้แต่ในสำนักแม่ชี อินหลีก็เคยได้ยินเรื่องนี้เมื่อใดก็ตามที่เหล่าแม่ชีน้อยเอ่ยถึงคำว่า “ราชาแห่งสงคราม” หัวใจก็เต็มไปด้วยความหวั่นไหว ดวงตาเป็นประกาย ในสายตาของพวกนาง ราชาสงครามนั้นไม่มีวันพ่ายแพ้ ชนะทุกการต่อสู้ มีอำนาจทุกอย่าง มีภาพลักษณ์ที่สูงส่งราวกับเทพเจ้าอินหลีได้ฟังจนเบื่อหน่าย เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ตัวเองเป็นเพียงเศษฝุ่นเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงจริงนางกัดมุมปากแล้วกระซิบ “บุคคลเช่นเขา ข้าจะคู่ควรได้อย่างไร”ถ้าเป็นคุณชายจากครอบครัวธรรมดา อินหลีคงจะกล้าคิดเรื่องนี้ ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าเขาเป็นราชาแห่งสงครามของต้าโจว อินหลีก็ไม่มีความมั่นใจ“ทำไมจะไม่คู่ควร นอกจากเจ้าแล้ว ในโลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดคู่ควรกับข้า!”กระแสเสียงทุ้มต่ำและเด็ดเดี่ยวดังขึ้นที่ประตู อินหลีรู้สึกตกใจเล็กน้อย หันขวับทันทีเย่จั้นสวมชุดสีขาวเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู น้ำเสียงหนักแน่นเป็นจังหวะน่าเชื่อถือเย่จิ่งอวี้ยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้และพูดว่า “ข้าได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้แล้ว เมื่อกลับเมืองหลวง ข้าจะจัดพิธีแต่งงานให้พวกท่าน”เย่จั้นฉุดข
เมื่อราตรีกาลมาเยือน อินชิงเสวียนปล่อยให้เสด็จอาและอาหญิงพักอยู่ในห้องหินชั่วคราว ในขณะที่เย่จิ่งหลานพาเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปอยู่ในมิติหลังมื้ออาหารนางได้ทดลองดูแล้ว แต่อินหลีก็ยังไม่สามารถเข้าไปในมิติได้ ไม่อย่างนั้น ทุกคนก็สามารถพักผ่อนในมิติด้วยกันได้แล้วหลังจากปักหลักจัดแจงด้านนี้เสร็จ นางก็เดินช้าๆ ไปยังห้องโถงจื่อชี่ตงไหลลมยามค่ำคืนพัดมา ดวงจันทร์เยือกเย็นราวกับน้ำแม้ว่าจะเป็นเดือนเจ็ดแล้ว แต่บนภูเขาก็ไม่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่เย็นสบายมากลมพัดผสมกับกลิ่นหอมสดชื่นของพืชพรรณ อันทำให้คนรู้สึกสบายตัวสบายใจแต่ทุกครั้งที่นึกถึงเย่จิ่งหลาน มักจะกังวลเรื่องนี้เสมอ ความกังวลประเภทนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ยังเป็นญาติกันในโลกนี้ ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด และเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการแสดงออกมา หากไม่มีเรือยักษ์เดินทางไกลที่สร้างโดยเย่จิ่งหลาน การเดินทางไปยังตงหลิวก็จะเป็นเพียงการพูดคุยบนกระดาษเท่านั้นเครื่องมือนำทางขั้นสูงดังกล่าว ยังเปิดโลกการค้นพบใหม่ๆ แก่ต้าโจว ได้ยินม
อินชิงเสวียนหันหลังกลับ และมองไปที่เหมยชิงเกอเมื่อใดที่คนเราแปดเปื้อนไปด้วยอำนาจและความเกลียดชัง จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างแน่นอนเหมยชิงเกอที่อยู่ตรงหน้านางแตกต่างจากผู้หญิงที่เล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงในมิติอย่างสิ้นเชิง ราวกับคนละคน อินชิงเสวียนได้กลิ่นอายแห่งแข็งกร้าวเผด็จการและความหยิ่งผยองจากตัวนางนี่เป็นสิ่งที่อันตรายมาก สาเหตุที่ผู้อาวุโสหันถูกทำลาย ก็เพราะเขาหลงใหลในลาภยศเกินไปอินชิงเสวียนสามารถเข้าใจความเกลียดชังของเหมยชิงเกอได้ แต่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของนาง เพียงแต่มีบางสิ่งที่นางไม่ได้พูดให้ชัดเจน อินชิงเสวียนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนางยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “มีน้ำใจของผู้อาวุโสชิงเสวียนขอรับไว้ด้วยใจ ข้าแค่หวังว่าลูกของข้าจะเติบโตอย่างมีความสุข ส่วนสิ่งที่เขาอยากทำในอนาคต ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งมากเกินไป ถ้าเขาไม่ต้องการเป็นฮ่องเต้ ข้าก็สามารถไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกับเขาได้ จะไม่บังคับเขามากเกินไป”นางยืนขึ้นอย่างช้าๆ เดินไปหาเหมยชิงเกอ และพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ทุกคนมีอิสระและมีสิทธิ์ในการเลือกอนาคตของตนเอง แม้แต่พ่อแม่ ก็ไม่สามารถอาศัยศีลธรรมไปบังคับลูกหล
“ไม่ได้”เหมยชิงเกอปฏิเสธทันที นางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นางและข้าแยกทางกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้ายอมรับความเป็นแม่ลูกกันอย่างกะทันหัน นางจะไม่สามารถยอมรับได้อย่างแน่นอน และตัวการสำคัญทั้งหมดนี้ก็คือเฮ่อยวนเท่านั้น มีเพียงการฆ่าเฮ่อยวน ข้าถึงจะให้คำอธิบายกับนางได้ฉุยอวี้กล่าวว่า “ชิงเสวียนมีจิตใจแข็งแกร่งมาก ถ้าเราไม่ใช้เหตุผลนี้ เกรงว่าคงยากที่จะรั้งนางไว้ได้”เหมยชิงเกอขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้ากับอวิ๋นลี่ช่วยข้าคิดหาทางเข้า ไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามให้นางลงจากภูเขาเด็ดขาด”“นี่มัน...”เรื่องนี้ค่อนข้างยากจริงๆเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่ฮ่องเต้จะอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน อินชิงเสวียนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับฮ่องเต้หนุ่ม ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เขากลับไปเพียงลำพังทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในใจของฉุยอวี้“ถ้าศิษย์พี่ใหญ่เต็มใจที่จะโน้มน้าวเย่จิ่งอวี้ อาจมีความหวังอยู่บ้าง”เหมยชิงเกอแค่นเสียงหึและพูดว่า “ผู้ชายไม่มีใครดี ต่อให้เขาจะเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร วันนี้เขาไม่แต่งตั้งนางสนม ก็ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าเขาจะไม่แต่งตั้งนางสนมอีก ในฐานะฮ่องเต้ เขาถูกชะตาลิขิตให้เป็นคนใจร้ายไร้
“ท่านพี่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”กงซวินอวิ๋นเฟิงถามอย่างไม่เข้าใจเฮ่อยวนยิ้มอย่างขมขื่น“ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ เป็นแค่ความสับสนล้วนๆ”กงซวินอวิ๋นเฟิงพูดอย่างอ่อนโยน “หากท่านพี่ไม่ต้องการเป็นศัตรูของตำหนักเทพ เราก็สามารถมอบทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ให้พวกเขาก็ได้ ผู้คนในอิ๋นเฉิงชอบความสงบมาโดยตลอด ยกเว้นรองเจ้าเมืองตู้แล้ว ก็ไม่มีใครหมกมุ่นอยู่กับวรยุทธ์ ทุกคนต่างเป็นเพียงหนุ่มทำไร่สาวทอผ้า ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ดำเนินชีวิตแบบสบายๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”เฮ่อยวนเหลือบมองไปด้านข้างแล้วถามว่า “เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”กงซวินอวิ๋นเฟิงถามกลับ “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกหรือ ท่านดูสิว่าใครเต็มใจที่จะต่อสู้อย่างกล้าหาญ ครองยุทธจักรอย่างเผด็จการ ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่ชีวิตเล็กๆ ของตัวเอง อย่างสงบเรียบง่าย นั่นแหละถึงจะเป็นชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริง”เฮ่อยวนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย“ฮูหยินกล่าวถูกต้อง แม้ว่าอิ๋นเฉิงจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดในยุทธจักร แต่ทุกคนต่างพิถีพิถันเรื่องอาหาร ล้วนปรารถนาชีวิตที่สงบสุข เช่นนี้แล้ว ข้าจะเรียกรวมพลผู้อาวุโสหลักทุกคนในวันพรุ่งนี้ คราวนี้ข้าจะมอบทางสู่วิถี
และในยามเที่ยงวันเดียวกัน ห้องโถงจื่อชี่ตงไหล เหมยชิงเกอประกอบพิธีสืบทอดตำแหน่งศิษย์ทุกคนมารวมตัวกันที่หน้าห้องโถง ทุกคนแต่งกายด้วยชุดคลุมสีฟ้าอ่อน ให้อารมณ์เหมือนคนมารวมตัวกันเต้นแอโรบิกตอนเย็น นอกจากนี้ ยังมีอาคันตุกะหลายคนจากตำหนักเทพ คนเหล่านี้ยืนรวมกลุ่มพูดคุยกัน รอการมาถึงของเหมยชิงเกออินชิงเสวียนมาถึงด้านนอกห้องโถง ยืนในที่คนน้อยๆ นางสวมชุดกระโปรงแพรไหมสีเหลืองนวลเนื้อนิ่มพลิ้วไหว ทำให้ดูสง่างามและเรียบง่าย ผมของนางประดับด้วยดอกไม้เล็กๆ เพียงไม่กี่ดอก แต่ก็ยังคงความงามบริสุทธิ์และโดดเด่น เย่จิ่งอวี้อุ้มจ้าวเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน เดินอยู่เคียงข้างนาง ชุดคลุมสีเขียวเข้มทำให้เห็นถึงรูปร่างที่สมส่วน ไหล่กว้าง เอวคอด สูงยาว แม้เขาจะแค่ยืนนิ่งๆ ก็ยังดูสง่างามและมีชาติตระกูลส่วนข้างหลังพวกเขาคือเย่จั้นและอินหลี ซึ่งทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดสีขาว หนุ่มหล่อสาวงาม เรียกได้ว่าเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบเหมือนเทพเซียนเมื่อถึงเวลาเที่ยง ระฆังใหญ่บนยอดห้องโถงก็ดังก้องเหล่าศิษย์แหวกทางออกเป็นสองฝ่ายทันที เหมยชิงเกอพร้อมด้วยฉุยอวี้และเฟิงอวิ๋นลี่ เดินเข้าไปในห้องโถงอย่างช้าๆนางแต่งกายด้วย
“เจ้าตำหนักเหมย!”อินชิงเสวียนรีบพุ่งไปข้างหน้า ปราดเข้าไปประคองเหมยชิงเกอลิ่นเซียวยืนมองดูนางอยู่ที่เดิม“นางเป็นเจ้าตำหนักจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นเรื่องจริง ท่านอาจารย์ไม่สนใจเรื่องทางโลก จึงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นพิธีสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักคนใหม่ ผู้อาวุโสเหมยผู้นี้เป็นศิษย์ของเจ้าตำหนักคนเก่า”ลิ่นเซียวร้องอ้อ และพูดว่า “ที่แท้ข้าก็ถูกคนบ้าหลอก ข้าจะไปทวงความยุติธรรมจากเขา”ทันทีที่ร่างหายวับ เขาก็ไล่ตามหันเจิงหมิงไปแล้วเหมยชิงเกอคว้ามือของอินชิงเสวียนทันที พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ชิงเสวียนได้โปรดส่งข้ากลับไปที่พักของข้าด้วย ห้ามให้เหล่าศิษย์เห็นข้าเด็ดขาด”ทันทีที่พูดจบ เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงตามมาถึงแล้ว“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนหันกลับมาแล้วพูดว่า “ข้าสบายดี ผู้อาวุโสเหมยได้รับบาดเจ็บ เราไปส่งนางกลับก่อนเถอะ”เมื่อเห็นมิตรภาพอันลึกซึ้งในแววตาของทั้งสองคน เหมยชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยนี่คือลูกสาวของนาง ทำไมถึงต้องเสียนางไปให้ผู้ชายคนอื่น ลูกสาวของนางฉลาดหลักแหลมโดดเด่นมากขนาดนี้ ยังมีทักษะวรยุทธ์ที่ยอ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี