ต่อจากนี้สองสามวัน ซ่งซีซีก็ไม่มีเวลาจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีก ทางกองทัพซวนเจียไม่สามารถมอบให้คนอื่นดูแลทั้งหมด นางก็ต้องกลับศาลกองกำลังเมืองหลวงแล้วเซี่ยหลูโม่กับอาจารย์หยูไปลาดตระเวนสถาบันการศึกษาสตรีก่อน เพราะมีสถานที่ที่ต้องซ่อมแซมหลายแห่ง บวกกับต้องขยายพื้นที่ อากาศก็หนาวเหน็บ เมื่อเจอกับวันปีใหม่ความคืบหน้าก็ช้าลงแต่โชคดีที่เงินเพียงพอ ทุกอย่างก็จัดการได้ง่ายวันขึ้นแปดค่ำเปิดราชสำนัก จ้านเป่ยว่างก็ส่งสาส์นการเสียมารดาของเขาให้กับหัวหน้าซ่งซีซี สาส์นก็เป็นซ่งซีซีถวายให้กับฝ่าบาทจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตรัสถามซ่งซีซี "เจ้าคิดยังไง? "ซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดยังไง?"หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตรัสถามถึงเรื่องอะไรหรือเพคะ? ""ทหารสามารถไม่ไว้ทุกข์ ก็มีธรรมเนียมนี้อยู่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสขึ้นซ่งซีซีรู้ แต่สิ่งนี้หมายถึงนายพลทหารที่ประจำการอยู่ชายแดน แต่จ้านเป่ยว่างเป็นทหารอยู่ในเมืองหลวงทว่า จากความหมายของฝ่าบาท ทรงไม่คิดให้จ้านเป่ยว่างไว้ทุกข์?"ทั้งหมดหม่อมฉันก็ทำตามพระกระแสรับสั่งของฝ่าบาทเพคะ" ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไรมาก ถ้านางพูดว่าให้จ้านเป่ยว่างไม่ไ
หลังจากผ่านเดือนหนึ่งไปก็มีราชโองการลงมา นั้นก็หมายความว่า หลังจากเดือนหนึ่ง ไม่ก็จะมีหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์คนใหม่ ไม่ก็จ้านเป่ยว่างไม่ต้องไว้ทุกข์แล้วหลังจากซ่งซีซีออกไปแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงก็อ่านสาส์นไว้ทุกข์ของจ้านเป่ยว่าง จากนั้นก็โยนไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง และตรัสถามอู๋ต้าปั้น "เจ้าคิดว่าจ้านเป่ยว่างควรไว้ทุกข์ไหม? "อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและกล่าวขึ้นว่า "ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้คนในราชสำนัก หม่อมฉันมิกล้าพูดมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ""แม้จะเป็นการใช้คนในราชสำนัก แต่ก็เป็นองครักษ์รักษาพระองค์ข้างกายข้า เจ้าพูดมาได้เลย"อู๋ต้าปั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยังส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ""ไม่รู้ หรือว่าไม่กล้าพูด? " แววพระเนตรของจักรพรรดิ์ซูชิงเย็นชาและเฉียบคมอู๋ต้าปั้นรับใช้จักรพรรดิ์ซูชิงมาหลายปี รู้จักนิสัยของเขาดี ถ้าเป็นขุนนางทั่วไป สามารถใช้หรือไม่ใช่ก็ได้ สาส์นไว้ทุกข์ก็ได้รับพระราชทานอนุญาตไปนานแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับพระชายามากขนาดนั้นเขาต้องการใช้จ้านเป่ยว่าง ต้องการให้มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขาแต่อู๋ต้าปั้นไม่สามารถฝืนใจตัวเองแนะนำจ้านเป่ยว่าง แม้
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนก็พูดอะไรไม่ออก แม้จะคาดไว้แล้วว่า หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของซีจิงขึ้นครองราชย์ จะต้องเอาเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์ แต่ไม่คิดว่าเขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ นั่งบัลลังก์ยังไม่ร้อย ก็รีบเอาเรื่องเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังยังจับตัวซูลันจีเข้าคุกทันทีก่อนหน้าซูลันจีเคยถูกลอบสังหาร เพิ่งจะรอดจากความตายมา ร่างกายยังไม่หายเป็นปกติ ตอนนี้ต้องเข้าคุก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาได้ไหมผ่านไปพักใหญ่ เซี่ยหลูโม่ก็ทำลายความเงียบงันนี้ "สิ่งที่สองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ น่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับแคว้นซาง เพื่อเอาเรื่องเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์""เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย" อาจารย์หยูพูดขึ้นซ่งซีซีถามเซี่ยหลูโม่ "พวกหวังซานกับหวังหวู่ลอบเข้าไปในเมืองซีจิงแล้วหรือ? "หวังซานกับหวังหวู่เป็นคนของค่ายชีซื่อ พวกเขามาจากเมืองซูโจว เดิมทีได้รับบำเหน็จแล้วพวกก็จะกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาเต็มใจรับใช้ราชสำนักต่อ ดังนั้นหลังจากกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดแล้ว ก็มุ่งหน้าไปเมืองซีจิงทันที"ได้เข้าไปในเมืองหลวงของซีจิงและหาที่พักเรียบร้อยแล้ว""นอกจากพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ยังมีอีกกี่คน? ""สิบสามคน
ซ่งซีซีถามขึ้นว่า "แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าอ๋องฮวยออกจากเมืองหลวงแล้ว? "เซี่ยหลูโม่พูดขึ้นว่า "ส่งคนไปเฝ้าสังเกตมาหลายคืนแล้ว เมื่อคืนจางต้าจ้วงมารายงานว่าเขาไม่อยู่ในจวนจริงๆ ก็ได้ส่งคนไปไล่ล่าแล้ว ทั้งสามทิศทางก็ได้ส่งคนไปแล้ว แต่ถ้าเขาปลอมตัว กลัวว่าก็ไม่อาจจะตามหาเขาเจอได้"อาจารย์หยูพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า "พลาดไปแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกล้าออกจากเมืองหลวงในเวลานี้"ซ่งซีซีลูบเล็บ แววตาน่าหวาดกลัว "ถ้าสืบชัดเจนดีแล้ว ก็ถึงเวลาให้ฝ่าบาทรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว"เซี่ยหลูโม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีแผนการหนึ่ง "พรุ่งนี้ให้เสด็จแม่เข้าวังสักครั้ง ขอให้ไทเฮาเชิญหมอหลวงไปที่จวนอ๋องฮวย เจ้าไปสอนเสด็จว่าจะต้องพูดยังไงต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา... อันที่จริง หลานเอ่อร์ไปคือดีที่สุด แต่ก็ไม่ต้องรบกวนนางแล้ว ให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"ขึ้นแปดค่ำเดือนหนึ่ง สนมสนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับจวนแล้ว อยู่ในวังมาสิบกว่าวันก็เบื่อแล้ว คิดว่ากลับจวนอ๋องก็เป็นอิสระหน่อย อยู่ในวังมีกฎเกณฑ์มากมาย อยู่ในจวน นางก็คือกฎ"ข้าไปหาเสด็จแม่เดี๋ยวนี้" ซ่งซีซีลุกขึ้นยืนสนมสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าบรรทมแล้ว หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงา
ปิ่นระย้าคือมอบให้กับซีซี ในเมื่อปิ่นระย้ามอบให้ไปแล้ว สนมสนมฮุ่ยไทเฟยก็บอกว่าจะเลือกให้ตัวเองด้วย เมื่อหญิงวัยกลางคนออดอ้อน แม้แต่ไทเฮาผู้สูงส่งก็ต้านทานไม่ไหว ก็ให้คนนำเครื่องประดับที่เพิ่งได้รับมาออกมาให้นางเลือกยัยคนนี้ เมื่อเลือกก็เจ็ดแปดชิ้น เหมือนฝูงตั๊กแตนที่บินผ่านไร่นา บินผ่านตรงไหนก็ไม่เหลืออะไรเลยของนอกกาย ไทเฮาก็ไม่เคยรู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่ซื้อน้องสาว หัวเราะจิ๊กๆ เหมือนกับแม่ไก่ มันก็คุ้มค่าฝูฉิวอันไปจวนอ๋องฮวยพร้อมกับหมอหลวงหมอหลวงสวี่เป็นหมอหลวงที่ไทเฮาทรงใช้เป็นประจำ หมอหลวงสวี่ก็ค่อนข้างคล้ายอวี้ฉื่อสวี่ พี่ชายของนาง เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ตรงไปตรงมา คนนิสัยแบบนี้อยู่ในสำนักหมอหลวงไม่มีทางดเติบโต แต่ไทเฮาเลื่อนตำแหน่งให้เขา และเพราะเขาก็ทำให้นางได้รู้จักตระกูลสวี่ และยกองค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง ธิดาของตัวเองให้กับสวี่เล่อเทียน หลานชายของเขาเมื่อพระชายาอ๋องฮวยได้ยินว่าฝูชิวอันคนสนิทข้างกายไทเฮาพาหมอหลวงมาเพื่อจะจับชีพจรวินิจฉัยอาการประชวรให้กับอ๋องฮวย ก็ตกใจมากจนยืนยิ่งทันทีสวรรค์ สวรรค์!นี่จะทำยังไงดี? ท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน เขาออกจากจวนตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เพียงป
ผ้าม่านหนาอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้ ในห้องก็มีถาดถ่านสี่ห้าถาด หน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย และถ่านไหมเงินไม่ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก และมีอากาศไหลเวียน ดังนั้นจึงรู้สึกอบอุ่นแต่ไม่อึดอัดพ่อบ้านยกเก้าอี้ผ้าไหมสี่เหลี่ยมมายังผ้าม่านชั้นที่สอง จากนั้นเข้าไปขยับข้อมือออกมาข้างเตียง แล้วพูดเบาๆ ว่า "ท่านหมอหลวงสวี่เชิญตรวจชีพจรขอรับ"ทานหมอหลวงสวี่นั่งลง คิดจะเปิดผ้าม่านเข้าไปดูสีพระพักตร์ของท่านอ๋อง แต่กลับถูกพ่อบ้านว่านห้ามไว้ "ท่านอ๋องไม่สามารถสัมผัสอากาศเย็นได้ขอรับ""ก็ต้องดูสีพระพักตร์ด้วย จะจับแค่ชีพจรไม่ได้" ท่านหมอหลวงสวี่ขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกัน? ในเมื่อประชวร ก็ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาเป็นอันดับแรกฝูฉิวอันก้าวยาวๆ ออกมาข้างหน้า และยกม่านขึ้น เขาเห็นคนบนเตียงกำลังตัวสั่น นี่มันอ๋องฮวยที่ไหนกัน?เมื่อพ่อบ้านว่านเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ชั่วขณะหนึ่งในสมองก็คิดแผนการขึ้นมากมาย แต่ก็ต่างไม่สามารถใช้รับมือได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าในนี้จะเกิดปัญหาขึ้น ไม่มีใครจะมาสนใจจวนอ๋องฮวย หลายปีที่ผ่านมาฮ๋องฮวยออกจากจวน ก็ไม่มีคนเคยมาถามเลย"ช่างไม่เหมาะสมจริงๆ " เมื่อท่านหมอหลวงสวี่เห็น ก็มีสีหน
หลังจากเขาสงบสติอารมณ์แล้ว ก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นได้ ทำไมจู่ๆ เสด็จแม่ถึงส่งคนตรวจอาการป่วยให้กับเสด็จลุง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นว่า "วันนี้ได้ยินคนในวังพูดว่า เสด็จป้าฮุ่ยมาที่นี่ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? "ไทเฮาหัวเราะออกมาทันที "อืม แม่เป็นคนเรียกนางเข้าวังมา ทางสำนักเครื่องประดับได้ส่งชุดเครื่องประดับชุดใหม่มา ในนั้นมีปิ่นระย้าเจ็ดสี ฮองเฮาอยากได้ สนมซูก็อยากได้ แม่ก็ไม่รู้ว่าจะมอบให้ใครดี ฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน ตามหลักแล้วถ้านางชอบก็มอบให้นางไปก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้สนมซูกำลังตั้งท้องมีผลงาน แม่จะมอบให้ใครดี? ก็เลยตัดสินใจมอบให้เสด็จป้าของลูก ใครจะคิดว่าเสด็จป้าของลูกเป็นโจร ไม่เพียงเอาปิ่นระย้าเจ็ดสีไป แล้วยังเอาเครื่องประดับอื่นไปอีกเจ็ดแปดชิ้น แม่ก็เสียใจมากจริงๆ "จักรพรรดิ์ซูชิงก็หัวเราะออกมา "เสด็จป้าชอบก็ดี เสด็จป้ามีความสุข เสด็จแม่ก็มีความสุข"เขาไม่รู้สึกเสียใจกับทรัพย์สินเงินทองพวกนี้ สามารถทำให้เสด็จแม่มีความสุขก็เพียงพอแล้วหลังเสวยอาหารค่ำเสร็จแล้ว จักรพรรดิ์ซูชิงก็กราบทูลลาไทเฮาพายวี่ชุนยวี่เซี่ยออกไปเดินเล่น นิสัยนี้ก็รักษามานานหลายปี แม้อากาศจะหนาวแค่ไหน เมื่อเ
เขาเรียกเถ้าแก่ร้านร้อยสมบัติมา ให้ลูกน้องของเขามาตรวจสอบราคาทีละชิ้นหลังจากตรวจนับออกมาทีละหีบๆ แล้ว เขาพบว่าที่แท้ท่านแม่ยังซ่อนแท่งทองคำ และเครื่องประดับล้ำค่าอีกมากมายไว้แม่นมบอกเขาว่า บางส่วนเป็นสินสอดของท่านแม่ของเขา และบางส่วนเป็นท่านย่าของเขาทิ้งไว้ เพราะไม่ได้แยกครอบครัว เลยไม่แบ่งให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเรือนรอง และมีบางส่วนที่ซ่งซีซีมอบให้ ตอนที่ซ่งซีซีหย่า ของเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ โชคดีที่ซ่งซีซีก็ไม่ถามจ้านเป่ยว่างให้แม่นมเลือกของที่เป็นของซ่งซีซีมอบให้ออกมา หลังจากเลือกออกมาแล้วก็คืนให้กับนางแม่นมถอนหายใจ "จริงๆ แล้วคืนให้กับนาง นางก็ไม่มีทางรับ ก็มอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่ารองดีกว่า ยังไงแล้วนางกับฮูหยินผู้เฒ่ารองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน""นางมอบให้กับอาสะใภ้รองก็เป็นเรื่องของนาง แต่เราไม่สามารถตัดสินใจแทนนาง" จ้านเป่ยว่างคิดแบบนี้เรื่องนี้หวังชิงหลูไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะนางโลภเงินหรือเครื่องประดับเหล่านั้น แต่เป็นเพราะนางไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครในจวนอ๋องอีกแล้วจริง ๆยังไงแล้วซ่งซีซีก็ไม่ได้เอาไป ถ้าอย่างนั้นก็ขายทิ้งไม่ก็นำไปจำนำ ขายไปได้เงินมาเท่าไหร่ยังไงก็มอบให้กั
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า