ต่อจากนี้สองสามวัน ซ่งซีซีก็ไม่มีเวลาจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีก ทางกองทัพซวนเจียไม่สามารถมอบให้คนอื่นดูแลทั้งหมด นางก็ต้องกลับศาลกองกำลังเมืองหลวงแล้วเซี่ยหลูโม่กับอาจารย์หยูไปลาดตระเวนสถาบันการศึกษาสตรีก่อน เพราะมีสถานที่ที่ต้องซ่อมแซมหลายแห่ง บวกกับต้องขยายพื้นที่ อากาศก็หนาวเหน็บ เมื่อเจอกับวันปีใหม่ความคืบหน้าก็ช้าลงแต่โชคดีที่เงินเพียงพอ ทุกอย่างก็จัดการได้ง่ายวันขึ้นแปดค่ำเปิดราชสำนัก จ้านเป่ยว่างก็ส่งสาส์นการเสียมารดาของเขาให้กับหัวหน้าซ่งซีซี สาส์นก็เป็นซ่งซีซีถวายให้กับฝ่าบาทจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตรัสถามซ่งซีซี "เจ้าคิดยังไง? "ซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดยังไง?"หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตรัสถามถึงเรื่องอะไรหรือเพคะ? ""ทหารสามารถไม่ไว้ทุกข์ ก็มีธรรมเนียมนี้อยู่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสขึ้นซ่งซีซีรู้ แต่สิ่งนี้หมายถึงนายพลทหารที่ประจำการอยู่ชายแดน แต่จ้านเป่ยว่างเป็นทหารอยู่ในเมืองหลวงทว่า จากความหมายของฝ่าบาท ทรงไม่คิดให้จ้านเป่ยว่างไว้ทุกข์?"ทั้งหมดหม่อมฉันก็ทำตามพระกระแสรับสั่งของฝ่าบาทเพคะ" ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไรมาก ถ้านางพูดว่าให้จ้านเป่ยว่างไม่ไ
หลังจากผ่านเดือนหนึ่งไปก็มีราชโองการลงมา นั้นก็หมายความว่า หลังจากเดือนหนึ่ง ไม่ก็จะมีหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์คนใหม่ ไม่ก็จ้านเป่ยว่างไม่ต้องไว้ทุกข์แล้วหลังจากซ่งซีซีออกไปแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงก็อ่านสาส์นไว้ทุกข์ของจ้านเป่ยว่าง จากนั้นก็โยนไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง และตรัสถามอู๋ต้าปั้น "เจ้าคิดว่าจ้านเป่ยว่างควรไว้ทุกข์ไหม? "อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและกล่าวขึ้นว่า "ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้คนในราชสำนัก หม่อมฉันมิกล้าพูดมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ""แม้จะเป็นการใช้คนในราชสำนัก แต่ก็เป็นองครักษ์รักษาพระองค์ข้างกายข้า เจ้าพูดมาได้เลย"อู๋ต้าปั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยังส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ""ไม่รู้ หรือว่าไม่กล้าพูด? " แววพระเนตรของจักรพรรดิ์ซูชิงเย็นชาและเฉียบคมอู๋ต้าปั้นรับใช้จักรพรรดิ์ซูชิงมาหลายปี รู้จักนิสัยของเขาดี ถ้าเป็นขุนนางทั่วไป สามารถใช้หรือไม่ใช่ก็ได้ สาส์นไว้ทุกข์ก็ได้รับพระราชทานอนุญาตไปนานแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับพระชายามากขนาดนั้นเขาต้องการใช้จ้านเป่ยว่าง ต้องการให้มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขาแต่อู๋ต้าปั้นไม่สามารถฝืนใจตัวเองแนะนำจ้านเป่ยว่าง แม้
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนก็พูดอะไรไม่ออก แม้จะคาดไว้แล้วว่า หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของซีจิงขึ้นครองราชย์ จะต้องเอาเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์ แต่ไม่คิดว่าเขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ นั่งบัลลังก์ยังไม่ร้อย ก็รีบเอาเรื่องเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังยังจับตัวซูลันจีเข้าคุกทันทีก่อนหน้าซูลันจีเคยถูกลอบสังหาร เพิ่งจะรอดจากความตายมา ร่างกายยังไม่หายเป็นปกติ ตอนนี้ต้องเข้าคุก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาได้ไหมผ่านไปพักใหญ่ เซี่ยหลูโม่ก็ทำลายความเงียบงันนี้ "สิ่งที่สองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ น่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับแคว้นซาง เพื่อเอาเรื่องเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์""เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย" อาจารย์หยูพูดขึ้นซ่งซีซีถามเซี่ยหลูโม่ "พวกหวังซานกับหวังหวู่ลอบเข้าไปในเมืองซีจิงแล้วหรือ? "หวังซานกับหวังหวู่เป็นคนของค่ายชีซื่อ พวกเขามาจากเมืองซูโจว เดิมทีได้รับบำเหน็จแล้วพวกก็จะกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาเต็มใจรับใช้ราชสำนักต่อ ดังนั้นหลังจากกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดแล้ว ก็มุ่งหน้าไปเมืองซีจิงทันที"ได้เข้าไปในเมืองหลวงของซีจิงและหาที่พักเรียบร้อยแล้ว""นอกจากพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ยังมีอีกกี่คน? ""สิบสามคน
ซ่งซีซีถามขึ้นว่า "แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าอ๋องฮวยออกจากเมืองหลวงแล้ว? "เซี่ยหลูโม่พูดขึ้นว่า "ส่งคนไปเฝ้าสังเกตมาหลายคืนแล้ว เมื่อคืนจางต้าจ้วงมารายงานว่าเขาไม่อยู่ในจวนจริงๆ ก็ได้ส่งคนไปไล่ล่าแล้ว ทั้งสามทิศทางก็ได้ส่งคนไปแล้ว แต่ถ้าเขาปลอมตัว กลัวว่าก็ไม่อาจจะตามหาเขาเจอได้"อาจารย์หยูพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า "พลาดไปแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกล้าออกจากเมืองหลวงในเวลานี้"ซ่งซีซีลูบเล็บ แววตาน่าหวาดกลัว "ถ้าสืบชัดเจนดีแล้ว ก็ถึงเวลาให้ฝ่าบาทรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว"เซี่ยหลูโม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีแผนการหนึ่ง "พรุ่งนี้ให้เสด็จแม่เข้าวังสักครั้ง ขอให้ไทเฮาเชิญหมอหลวงไปที่จวนอ๋องฮวย เจ้าไปสอนเสด็จว่าจะต้องพูดยังไงต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา... อันที่จริง หลานเอ่อร์ไปคือดีที่สุด แต่ก็ไม่ต้องรบกวนนางแล้ว ให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"ขึ้นแปดค่ำเดือนหนึ่ง สนมสนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับจวนแล้ว อยู่ในวังมาสิบกว่าวันก็เบื่อแล้ว คิดว่ากลับจวนอ๋องก็เป็นอิสระหน่อย อยู่ในวังมีกฎเกณฑ์มากมาย อยู่ในจวน นางก็คือกฎ"ข้าไปหาเสด็จแม่เดี๋ยวนี้" ซ่งซีซีลุกขึ้นยืนสนมสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าบรรทมแล้ว หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงา
ปิ่นระย้าคือมอบให้กับซีซี ในเมื่อปิ่นระย้ามอบให้ไปแล้ว สนมสนมฮุ่ยไทเฟยก็บอกว่าจะเลือกให้ตัวเองด้วย เมื่อหญิงวัยกลางคนออดอ้อน แม้แต่ไทเฮาผู้สูงส่งก็ต้านทานไม่ไหว ก็ให้คนนำเครื่องประดับที่เพิ่งได้รับมาออกมาให้นางเลือกยัยคนนี้ เมื่อเลือกก็เจ็ดแปดชิ้น เหมือนฝูงตั๊กแตนที่บินผ่านไร่นา บินผ่านตรงไหนก็ไม่เหลืออะไรเลยของนอกกาย ไทเฮาก็ไม่เคยรู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่ซื้อน้องสาว หัวเราะจิ๊กๆ เหมือนกับแม่ไก่ มันก็คุ้มค่าฝูฉิวอันไปจวนอ๋องฮวยพร้อมกับหมอหลวงหมอหลวงสวี่เป็นหมอหลวงที่ไทเฮาทรงใช้เป็นประจำ หมอหลวงสวี่ก็ค่อนข้างคล้ายอวี้ฉื่อสวี่ พี่ชายของนาง เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ตรงไปตรงมา คนนิสัยแบบนี้อยู่ในสำนักหมอหลวงไม่มีทางดเติบโต แต่ไทเฮาเลื่อนตำแหน่งให้เขา และเพราะเขาก็ทำให้นางได้รู้จักตระกูลสวี่ และยกองค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง ธิดาของตัวเองให้กับสวี่เล่อเทียน หลานชายของเขาเมื่อพระชายาอ๋องฮวยได้ยินว่าฝูชิวอันคนสนิทข้างกายไทเฮาพาหมอหลวงมาเพื่อจะจับชีพจรวินิจฉัยอาการประชวรให้กับอ๋องฮวย ก็ตกใจมากจนยืนยิ่งทันทีสวรรค์ สวรรค์!นี่จะทำยังไงดี? ท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน เขาออกจากจวนตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เพียงป
ผ้าม่านหนาอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้ ในห้องก็มีถาดถ่านสี่ห้าถาด หน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย และถ่านไหมเงินไม่ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก และมีอากาศไหลเวียน ดังนั้นจึงรู้สึกอบอุ่นแต่ไม่อึดอัดพ่อบ้านยกเก้าอี้ผ้าไหมสี่เหลี่ยมมายังผ้าม่านชั้นที่สอง จากนั้นเข้าไปขยับข้อมือออกมาข้างเตียง แล้วพูดเบาๆ ว่า "ท่านหมอหลวงสวี่เชิญตรวจชีพจรขอรับ"ทานหมอหลวงสวี่นั่งลง คิดจะเปิดผ้าม่านเข้าไปดูสีพระพักตร์ของท่านอ๋อง แต่กลับถูกพ่อบ้านว่านห้ามไว้ "ท่านอ๋องไม่สามารถสัมผัสอากาศเย็นได้ขอรับ""ก็ต้องดูสีพระพักตร์ด้วย จะจับแค่ชีพจรไม่ได้" ท่านหมอหลวงสวี่ขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกัน? ในเมื่อประชวร ก็ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาเป็นอันดับแรกฝูฉิวอันก้าวยาวๆ ออกมาข้างหน้า และยกม่านขึ้น เขาเห็นคนบนเตียงกำลังตัวสั่น นี่มันอ๋องฮวยที่ไหนกัน?เมื่อพ่อบ้านว่านเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ชั่วขณะหนึ่งในสมองก็คิดแผนการขึ้นมากมาย แต่ก็ต่างไม่สามารถใช้รับมือได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าในนี้จะเกิดปัญหาขึ้น ไม่มีใครจะมาสนใจจวนอ๋องฮวย หลายปีที่ผ่านมาฮ๋องฮวยออกจากจวน ก็ไม่มีคนเคยมาถามเลย"ช่างไม่เหมาะสมจริงๆ " เมื่อท่านหมอหลวงสวี่เห็น ก็มีสีหน
หลังจากเขาสงบสติอารมณ์แล้ว ก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นได้ ทำไมจู่ๆ เสด็จแม่ถึงส่งคนตรวจอาการป่วยให้กับเสด็จลุง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นว่า "วันนี้ได้ยินคนในวังพูดว่า เสด็จป้าฮุ่ยมาที่นี่ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? "ไทเฮาหัวเราะออกมาทันที "อืม แม่เป็นคนเรียกนางเข้าวังมา ทางสำนักเครื่องประดับได้ส่งชุดเครื่องประดับชุดใหม่มา ในนั้นมีปิ่นระย้าเจ็ดสี ฮองเฮาอยากได้ สนมซูก็อยากได้ แม่ก็ไม่รู้ว่าจะมอบให้ใครดี ฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน ตามหลักแล้วถ้านางชอบก็มอบให้นางไปก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้สนมซูกำลังตั้งท้องมีผลงาน แม่จะมอบให้ใครดี? ก็เลยตัดสินใจมอบให้เสด็จป้าของลูก ใครจะคิดว่าเสด็จป้าของลูกเป็นโจร ไม่เพียงเอาปิ่นระย้าเจ็ดสีไป แล้วยังเอาเครื่องประดับอื่นไปอีกเจ็ดแปดชิ้น แม่ก็เสียใจมากจริงๆ "จักรพรรดิ์ซูชิงก็หัวเราะออกมา "เสด็จป้าชอบก็ดี เสด็จป้ามีความสุข เสด็จแม่ก็มีความสุข"เขาไม่รู้สึกเสียใจกับทรัพย์สินเงินทองพวกนี้ สามารถทำให้เสด็จแม่มีความสุขก็เพียงพอแล้วหลังเสวยอาหารค่ำเสร็จแล้ว จักรพรรดิ์ซูชิงก็กราบทูลลาไทเฮาพายวี่ชุนยวี่เซี่ยออกไปเดินเล่น นิสัยนี้ก็รักษามานานหลายปี แม้อากาศจะหนาวแค่ไหน เมื่อเ
เขาเรียกเถ้าแก่ร้านร้อยสมบัติมา ให้ลูกน้องของเขามาตรวจสอบราคาทีละชิ้นหลังจากตรวจนับออกมาทีละหีบๆ แล้ว เขาพบว่าที่แท้ท่านแม่ยังซ่อนแท่งทองคำ และเครื่องประดับล้ำค่าอีกมากมายไว้แม่นมบอกเขาว่า บางส่วนเป็นสินสอดของท่านแม่ของเขา และบางส่วนเป็นท่านย่าของเขาทิ้งไว้ เพราะไม่ได้แยกครอบครัว เลยไม่แบ่งให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเรือนรอง และมีบางส่วนที่ซ่งซีซีมอบให้ ตอนที่ซ่งซีซีหย่า ของเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ โชคดีที่ซ่งซีซีก็ไม่ถามจ้านเป่ยว่างให้แม่นมเลือกของที่เป็นของซ่งซีซีมอบให้ออกมา หลังจากเลือกออกมาแล้วก็คืนให้กับนางแม่นมถอนหายใจ "จริงๆ แล้วคืนให้กับนาง นางก็ไม่มีทางรับ ก็มอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่ารองดีกว่า ยังไงแล้วนางกับฮูหยินผู้เฒ่ารองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน""นางมอบให้กับอาสะใภ้รองก็เป็นเรื่องของนาง แต่เราไม่สามารถตัดสินใจแทนนาง" จ้านเป่ยว่างคิดแบบนี้เรื่องนี้หวังชิงหลูไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะนางโลภเงินหรือเครื่องประดับเหล่านั้น แต่เป็นเพราะนางไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครในจวนอ๋องอีกแล้วจริง ๆยังไงแล้วซ่งซีซีก็ไม่ได้เอาไป ถ้าอย่างนั้นก็ขายทิ้งไม่ก็นำไปจำนำ ขายไปได้เงินมาเท่าไหร่ยังไงก็มอบให้กั