แม้แต่ซ่งซีซีเองก็เหลือบมองท่านอ๋องฮุยแวบหนึ่ง ตอนนี้ถึงจะรู้ว่าเขาก็เป็นคนกตัญญู ก็คือหมายความว่าเมื่อก่อนเขาไม่ค่อยกตัญญูมากนักอย่างน้อยก็ให้ความรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยกตัญญูนักเพียงแต่เมื่อเชื้อพระวงศ์ได้ยินแล้ว กลับรู้สึกงุนงงมาก ตามหลักแล้ว อ๋องเยี่ยนก็กตัญญูมาโดยตลอด ทุกปีก็กลับมาเมืองหลวงในนามของการมาเยี่ยมเสด็จแม่ บางครั้งสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น บางครั้งก็ถูกปฏิเสธ แม้ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่เขาก็ทำแบบนี้ ความกตัญญูนี้ของเขา จะไม่ทำให้คนซาบซึ้งใจได้ยังไง?แต่วันนี้ทุกคนต่างมีความสุข ก็ไม่มีคนสนใจคำพูดนี้มากนักในทางกลับกัน จักรพรรดิ์ซูชิงกลับทอดพระเนตรมองอ๋องเยี่ยนอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง หลังจากสีหน้าของอ๋องเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็ทรงยิ้มเหมือนดั่งปกติ "บรรพบุรุษของเราปกครองประเทศด้วยความเมตตาและกตัญญู ลูกหลานจะกล้าอกตัญญูได้ยังไง? "เซี่ยหลูโม่เหลือบมองท่านอ๋องฮุยแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไร เสวยอาหารต่อกับซ่งซีซีหลังจากเสวยอาหารเสร็จแล้ว เหล่าฮูหยินก็ไปดูงิ้ว ช่วงวันขึ้นปีใหม่แบบนี้คณะงิ้วก็ไม่มีวันหยุด จะเล่นไปถึงวันเปิดราชสำนักขึ้นแปด
หลังจากส่งท้ายปีเก่าและออกจากวังแล้ว ซ่งซีซีก็บอกเรื่องนี้กับเซี่ยหลูโม่บนรถม้าเซี่ยหลูโม่ก็นึกเรื่องที่อาจารย์หยูได้รายงานขึ้นได้ หลังจากคดีสมรู้ร่วมคิด จวนอ๋องฮวยก็เงียบสงบมาก อ๋องฮวยเองก็ไม่ค่อยออกไปไหนเลยอาจารย์หยูได้ส่งคนไปจับตาดูจวนอ๋องเยี่ยนกับจวนอ๋องฮวย อ๋องฮวยเคยออกไปข้างนอกสองสามครั้ง แต่ก็ต่างไปหาคนดื่มเหล้า ไปมาสองสามครั้งก็ไม่ไปอีกเลย"เป็นไปได้ว่าอ๋องฮวยไม่ได้ประชวร แต่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว" เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว "แม้คนของเราจะคอยจับตามองจวนอ๋องฮวย แต่จับตามานาน ก็ต้องมีบางครั้งที่หย่อนยาน ถ้าอ๋องฮวยปลอมตัว พวกเขาก็อาจจะจำไม่ได้""เขาออกไปจากเมืองหลวงในเวลานี้ จะไปที่ไหนหรือ? " ซ่งซีซีถามขึ้น"กลับถึงจวนแล้วค่อยว่ากัน" เซี่ยหลูโม่นึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีความคิดหนึ่งในใจคืนนี้จวนอ๋องก็ครึกครื้นมาก คนของทางจวนเสนาบดีกั๋วกงก็มาร่วมกินอาหารส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน แต่ตระกูลข่งไม่ได้ส่งรุ่ยเอ๋อร์กลับมา บอกว่ารู้ว่าพวกเขาต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง ปล่อยให้เขาอยู่ที่จวนอ๋อง ก็อยู่ฉลองปีใหม่ที่ตระกูลขงดีกว่าดังนั้นเมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง พวกเขาก็สนุกสนานกั
ในห้องหนังสือ ชายทั้งสามหารือกันกว่าหนึ่งชั่วยามถ้าอ๋องฮวยไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงจริงๆ เขาอาจจะไปสามสถานที่นี้สถานที่แรก ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาน่าจะมีไส้ศึกแอบแฝงอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิงสถานที่ที่สอง อำเภอหยง ทหารของพวกเขาอยู่ในอำเภอหยงสถานที่ที่สาม กองกำลังทหารรักษาการณ์นอกเมืองหลวง คาดว่าหลายปีมานี้อ๋องฮวยได้แอบแฝงไส้ศึกไว้ในกองกำลังไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ก็หมายความว่าพวกเขาได้เคลื่อนไหวแล้วแต่พวกเขาคิดเสมอว่า อ๋องฮวยเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงเป็นคนแรกที่ลงมือล่ะ?อาจารย์หยูพูดขึ้นว่า : "บางทีคือทุ่มหมดตัวแล้ว เพราะยังไงเซี่ยอวี้นก็ยังไม่ตาย แทนที่พวกเขาจะหวาดกลัว ก็ลองลงมือสักตั้งดีกว่า"เซี่ยหลูโม่ส่ายหน้า "ข้าคิดว่าไม่มีทางทุ่มหมดตัว พวกเขาวางแผนมานาน ตอนที่โจมตีเขตหนานเจียงก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เคลื่อนทัพ ตอนนี้ก็ไม่มีทางก่อกบฏ จำเป็นต้องหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการก่อกบฏ ตอนนี้ข้าก็ค่อนข้างเป็นห่วงผู้บัญชาเซียวทางชายแดนเฉิงหลิงจะเกิดสถานการณ์ขึ้น""เมืองซีจิง! " ดวงตาของอาจารย์หยูมืดมนลงทันทีตัวแปรที่สำคัญที่สุดของชายแดนเฉิงหล
นางจีมาที่นี่ในครั้งนี้ก็มีจุดประสงค์ชัดเจน ก็คือต้องการสอบถามเกี่ยวกับร้ายปักเย็บและสถาบันการศึกษาสตรี ถ้าจวนเป่ยหมิงอ๋องเปิดสถาบันการศึกษาสตรีจริงๆ นางหวังว่าลูกสาวของนางสามารถมีชื่ออยู่ในนั้นปกติแล้วนางควรพาลูกสาวมาด้วย แต่ถ้าทำแบบนี้จุดประสงค์ก็ชัดเจนเกินไป และเป็นการบังคับให้พระชายาต้องรับลูกสาวของนาง ซึ่งจะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเลยไม่พาลูกสาวมา นางอยากมาลองถามดูก่อนว่า จะต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง เพื่อนางจะได้กลับไปเตรียมตัว"ไม่ต้องเกรงใจ เราไปคุยกันที่ี่ห้องโถงปีก" ซ่งซีซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม และพาพวกนางไปที่ห้องโถงปีก ปล่อยให้เซี่ยหลูโม่ที่ง่วงนอนเผชิญหน้ากับหลี่เต๋อฮวยที่หาวตลอดเวลา""อืม..." หลี่เต๋อฮวยปิดปาก จากนั้นก็หาวอีกครั้ง และถามขึ้นว่า "ที่จวนของท่านอ๋องมีที่สำหรับนอนพูดคุยไหมพ่ะย่ะค่ะ? "เซี่ยหลูโม่: "...? ? ? " อายุขนาดนี้แล้วกลางคืนยังไม่ยอมหยุดอีกหรือ? ช่างไร้ยางอายจริง ๆเมื่อรู้ว่าเสิ่นว่านจือมีบทบาทสำคัญในโรงงานซู่เจิน ดังนั้นหลี่ฮูหยินก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง "ทำไมไม่เห็นคุณหนูเสิ่น? ข้ายังอยากจะหารือกับนางเกี่ยวกับเรื่องของร้านเย็บปักซู่เจินสักหน่อย
ตอนแรกเสิ่นว่านจือก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับลูกศิษย์ เพราะนางคิดว่าช่วงวันขึ้นปีใหม่ จะมาวางท่าเป็นอาจารย์ทำไมกันแต่เมื่อสามคู่สามีภรรยาให้ความเคารพนางมาก ลู่ฮูหยินก็ยังรับชาที่สาวใช้ยื่นให้มายกให้นาง ส่วนอีกสองคนก็ยืนอยู่ข้างกายนางเหมือนกับปรนนิบัติแม่สามีอย่างนั้น ท่าทางการเป็นอาจารย์ของนาง ไม่อยากจะวางท่าแต่ก็ต้องวางท่าแต่ในใจก็สงสัยไม่ได้ ว่าจำเป็นต้องทำแบบนี้หรือ? ปกติแล้วในสถาบันชื่อเยียน นางไม่เคยปรนนิบัติอาจารย์แบบนี้ ส่วนใหญ่กลับเป็นอาจารย์ที่จะตามใจนางส่วนการรินน้ำรินชา ก็มีศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักเป็นคนทำ จะตกมาเป็นหน้าที่ของนางศิษย์พี่คนนี้ได้ยังไง?แต่ตอนที่นางเข้าสำนักก็ไม่มีแบบนี้นี่ก็ทำให้เสิ่นว่านจือรู้สึกผิดเล็กน้อยกับอาจารย์ ว่าไปแล้ว นางก็คิดถึงอาจารย์บ้างเล็กน้อยแล้ววันต่อมา กุ้นเอ๋อร์สะพายห่อผ้าเล็กห่อผ้าใหญ่ออกจากเรือน การกลับภูเขาเหม่ยชานครั้งนี้ เขาได้เรียกศิษย์พี่หลัวกับศิษย์พี่ซือโซกลับด้วยกันด้วย เพราะขึ้นปีใหม่แล้ว ก็เวลากลับไปเยี่ยมท่านอาจารย์สักหน่อยแล้วศิษย์พี่ทั้งสองบอกแล้วไม่รับเงินเดือน แต่หลานเอ่อร์ก็ซื้อของขวัญให้พวกนางมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป
ต่อจากนี้สองสามวัน ซ่งซีซีก็ไม่มีเวลาจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีก ทางกองทัพซวนเจียไม่สามารถมอบให้คนอื่นดูแลทั้งหมด นางก็ต้องกลับศาลกองกำลังเมืองหลวงแล้วเซี่ยหลูโม่กับอาจารย์หยูไปลาดตระเวนสถาบันการศึกษาสตรีก่อน เพราะมีสถานที่ที่ต้องซ่อมแซมหลายแห่ง บวกกับต้องขยายพื้นที่ อากาศก็หนาวเหน็บ เมื่อเจอกับวันปีใหม่ความคืบหน้าก็ช้าลงแต่โชคดีที่เงินเพียงพอ ทุกอย่างก็จัดการได้ง่ายวันขึ้นแปดค่ำเปิดราชสำนัก จ้านเป่ยว่างก็ส่งสาส์นการเสียมารดาของเขาให้กับหัวหน้าซ่งซีซี สาส์นก็เป็นซ่งซีซีถวายให้กับฝ่าบาทจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตรัสถามซ่งซีซี "เจ้าคิดยังไง? "ซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดยังไง?"หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตรัสถามถึงเรื่องอะไรหรือเพคะ? ""ทหารสามารถไม่ไว้ทุกข์ ก็มีธรรมเนียมนี้อยู่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสขึ้นซ่งซีซีรู้ แต่สิ่งนี้หมายถึงนายพลทหารที่ประจำการอยู่ชายแดน แต่จ้านเป่ยว่างเป็นทหารอยู่ในเมืองหลวงทว่า จากความหมายของฝ่าบาท ทรงไม่คิดให้จ้านเป่ยว่างไว้ทุกข์?"ทั้งหมดหม่อมฉันก็ทำตามพระกระแสรับสั่งของฝ่าบาทเพคะ" ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไรมาก ถ้านางพูดว่าให้จ้านเป่ยว่างไม่ไ
หลังจากผ่านเดือนหนึ่งไปก็มีราชโองการลงมา นั้นก็หมายความว่า หลังจากเดือนหนึ่ง ไม่ก็จะมีหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์คนใหม่ ไม่ก็จ้านเป่ยว่างไม่ต้องไว้ทุกข์แล้วหลังจากซ่งซีซีออกไปแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงก็อ่านสาส์นไว้ทุกข์ของจ้านเป่ยว่าง จากนั้นก็โยนไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง และตรัสถามอู๋ต้าปั้น "เจ้าคิดว่าจ้านเป่ยว่างควรไว้ทุกข์ไหม? "อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและกล่าวขึ้นว่า "ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้คนในราชสำนัก หม่อมฉันมิกล้าพูดมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ""แม้จะเป็นการใช้คนในราชสำนัก แต่ก็เป็นองครักษ์รักษาพระองค์ข้างกายข้า เจ้าพูดมาได้เลย"อู๋ต้าปั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยังส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ""ไม่รู้ หรือว่าไม่กล้าพูด? " แววพระเนตรของจักรพรรดิ์ซูชิงเย็นชาและเฉียบคมอู๋ต้าปั้นรับใช้จักรพรรดิ์ซูชิงมาหลายปี รู้จักนิสัยของเขาดี ถ้าเป็นขุนนางทั่วไป สามารถใช้หรือไม่ใช่ก็ได้ สาส์นไว้ทุกข์ก็ได้รับพระราชทานอนุญาตไปนานแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับพระชายามากขนาดนั้นเขาต้องการใช้จ้านเป่ยว่าง ต้องการให้มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขาแต่อู๋ต้าปั้นไม่สามารถฝืนใจตัวเองแนะนำจ้านเป่ยว่าง แม้
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนก็พูดอะไรไม่ออก แม้จะคาดไว้แล้วว่า หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของซีจิงขึ้นครองราชย์ จะต้องเอาเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์ แต่ไม่คิดว่าเขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ นั่งบัลลังก์ยังไม่ร้อย ก็รีบเอาเรื่องเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังยังจับตัวซูลันจีเข้าคุกทันทีก่อนหน้าซูลันจีเคยถูกลอบสังหาร เพิ่งจะรอดจากความตายมา ร่างกายยังไม่หายเป็นปกติ ตอนนี้ต้องเข้าคุก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาได้ไหมผ่านไปพักใหญ่ เซี่ยหลูโม่ก็ทำลายความเงียบงันนี้ "สิ่งที่สองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ น่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับแคว้นซาง เพื่อเอาเรื่องเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์""เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย" อาจารย์หยูพูดขึ้นซ่งซีซีถามเซี่ยหลูโม่ "พวกหวังซานกับหวังหวู่ลอบเข้าไปในเมืองซีจิงแล้วหรือ? "หวังซานกับหวังหวู่เป็นคนของค่ายชีซื่อ พวกเขามาจากเมืองซูโจว เดิมทีได้รับบำเหน็จแล้วพวกก็จะกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาเต็มใจรับใช้ราชสำนักต่อ ดังนั้นหลังจากกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดแล้ว ก็มุ่งหน้าไปเมืองซีจิงทันที"ได้เข้าไปในเมืองหลวงของซีจิงและหาที่พักเรียบร้อยแล้ว""นอกจากพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ยังมีอีกกี่คน? ""สิบสามคน