ในห้องหนังสือ ชายทั้งสามหารือกันกว่าหนึ่งชั่วยามถ้าอ๋องฮวยไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงจริงๆ เขาอาจจะไปสามสถานที่นี้สถานที่แรก ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาน่าจะมีไส้ศึกแอบแฝงอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิงสถานที่ที่สอง อำเภอหยง ทหารของพวกเขาอยู่ในอำเภอหยงสถานที่ที่สาม กองกำลังทหารรักษาการณ์นอกเมืองหลวง คาดว่าหลายปีมานี้อ๋องฮวยได้แอบแฝงไส้ศึกไว้ในกองกำลังไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ก็หมายความว่าพวกเขาได้เคลื่อนไหวแล้วแต่พวกเขาคิดเสมอว่า อ๋องฮวยเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงเป็นคนแรกที่ลงมือล่ะ?อาจารย์หยูพูดขึ้นว่า : "บางทีคือทุ่มหมดตัวแล้ว เพราะยังไงเซี่ยอวี้นก็ยังไม่ตาย แทนที่พวกเขาจะหวาดกลัว ก็ลองลงมือสักตั้งดีกว่า"เซี่ยหลูโม่ส่ายหน้า "ข้าคิดว่าไม่มีทางทุ่มหมดตัว พวกเขาวางแผนมานาน ตอนที่โจมตีเขตหนานเจียงก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เคลื่อนทัพ ตอนนี้ก็ไม่มีทางก่อกบฏ จำเป็นต้องหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการก่อกบฏ ตอนนี้ข้าก็ค่อนข้างเป็นห่วงผู้บัญชาเซียวทางชายแดนเฉิงหลิงจะเกิดสถานการณ์ขึ้น""เมืองซีจิง! " ดวงตาของอาจารย์หยูมืดมนลงทันทีตัวแปรที่สำคัญที่สุดของชายแดนเฉิงหล
นางจีมาที่นี่ในครั้งนี้ก็มีจุดประสงค์ชัดเจน ก็คือต้องการสอบถามเกี่ยวกับร้ายปักเย็บและสถาบันการศึกษาสตรี ถ้าจวนเป่ยหมิงอ๋องเปิดสถาบันการศึกษาสตรีจริงๆ นางหวังว่าลูกสาวของนางสามารถมีชื่ออยู่ในนั้นปกติแล้วนางควรพาลูกสาวมาด้วย แต่ถ้าทำแบบนี้จุดประสงค์ก็ชัดเจนเกินไป และเป็นการบังคับให้พระชายาต้องรับลูกสาวของนาง ซึ่งจะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเลยไม่พาลูกสาวมา นางอยากมาลองถามดูก่อนว่า จะต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง เพื่อนางจะได้กลับไปเตรียมตัว"ไม่ต้องเกรงใจ เราไปคุยกันที่ี่ห้องโถงปีก" ซ่งซีซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม และพาพวกนางไปที่ห้องโถงปีก ปล่อยให้เซี่ยหลูโม่ที่ง่วงนอนเผชิญหน้ากับหลี่เต๋อฮวยที่หาวตลอดเวลา""อืม..." หลี่เต๋อฮวยปิดปาก จากนั้นก็หาวอีกครั้ง และถามขึ้นว่า "ที่จวนของท่านอ๋องมีที่สำหรับนอนพูดคุยไหมพ่ะย่ะค่ะ? "เซี่ยหลูโม่: "...? ? ? " อายุขนาดนี้แล้วกลางคืนยังไม่ยอมหยุดอีกหรือ? ช่างไร้ยางอายจริง ๆเมื่อรู้ว่าเสิ่นว่านจือมีบทบาทสำคัญในโรงงานซู่เจิน ดังนั้นหลี่ฮูหยินก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง "ทำไมไม่เห็นคุณหนูเสิ่น? ข้ายังอยากจะหารือกับนางเกี่ยวกับเรื่องของร้านเย็บปักซู่เจินสักหน่อย
ตอนแรกเสิ่นว่านจือก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับลูกศิษย์ เพราะนางคิดว่าช่วงวันขึ้นปีใหม่ จะมาวางท่าเป็นอาจารย์ทำไมกันแต่เมื่อสามคู่สามีภรรยาให้ความเคารพนางมาก ลู่ฮูหยินก็ยังรับชาที่สาวใช้ยื่นให้มายกให้นาง ส่วนอีกสองคนก็ยืนอยู่ข้างกายนางเหมือนกับปรนนิบัติแม่สามีอย่างนั้น ท่าทางการเป็นอาจารย์ของนาง ไม่อยากจะวางท่าแต่ก็ต้องวางท่าแต่ในใจก็สงสัยไม่ได้ ว่าจำเป็นต้องทำแบบนี้หรือ? ปกติแล้วในสถาบันชื่อเยียน นางไม่เคยปรนนิบัติอาจารย์แบบนี้ ส่วนใหญ่กลับเป็นอาจารย์ที่จะตามใจนางส่วนการรินน้ำรินชา ก็มีศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักเป็นคนทำ จะตกมาเป็นหน้าที่ของนางศิษย์พี่คนนี้ได้ยังไง?แต่ตอนที่นางเข้าสำนักก็ไม่มีแบบนี้นี่ก็ทำให้เสิ่นว่านจือรู้สึกผิดเล็กน้อยกับอาจารย์ ว่าไปแล้ว นางก็คิดถึงอาจารย์บ้างเล็กน้อยแล้ววันต่อมา กุ้นเอ๋อร์สะพายห่อผ้าเล็กห่อผ้าใหญ่ออกจากเรือน การกลับภูเขาเหม่ยชานครั้งนี้ เขาได้เรียกศิษย์พี่หลัวกับศิษย์พี่ซือโซกลับด้วยกันด้วย เพราะขึ้นปีใหม่แล้ว ก็เวลากลับไปเยี่ยมท่านอาจารย์สักหน่อยแล้วศิษย์พี่ทั้งสองบอกแล้วไม่รับเงินเดือน แต่หลานเอ่อร์ก็ซื้อของขวัญให้พวกนางมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป
ต่อจากนี้สองสามวัน ซ่งซีซีก็ไม่มีเวลาจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีก ทางกองทัพซวนเจียไม่สามารถมอบให้คนอื่นดูแลทั้งหมด นางก็ต้องกลับศาลกองกำลังเมืองหลวงแล้วเซี่ยหลูโม่กับอาจารย์หยูไปลาดตระเวนสถาบันการศึกษาสตรีก่อน เพราะมีสถานที่ที่ต้องซ่อมแซมหลายแห่ง บวกกับต้องขยายพื้นที่ อากาศก็หนาวเหน็บ เมื่อเจอกับวันปีใหม่ความคืบหน้าก็ช้าลงแต่โชคดีที่เงินเพียงพอ ทุกอย่างก็จัดการได้ง่ายวันขึ้นแปดค่ำเปิดราชสำนัก จ้านเป่ยว่างก็ส่งสาส์นการเสียมารดาของเขาให้กับหัวหน้าซ่งซีซี สาส์นก็เป็นซ่งซีซีถวายให้กับฝ่าบาทจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตรัสถามซ่งซีซี "เจ้าคิดยังไง? "ซ่งซีซีตกตะลึง นางคิดยังไง?"หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตรัสถามถึงเรื่องอะไรหรือเพคะ? ""ทหารสามารถไม่ไว้ทุกข์ ก็มีธรรมเนียมนี้อยู่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสขึ้นซ่งซีซีรู้ แต่สิ่งนี้หมายถึงนายพลทหารที่ประจำการอยู่ชายแดน แต่จ้านเป่ยว่างเป็นทหารอยู่ในเมืองหลวงทว่า จากความหมายของฝ่าบาท ทรงไม่คิดให้จ้านเป่ยว่างไว้ทุกข์?"ทั้งหมดหม่อมฉันก็ทำตามพระกระแสรับสั่งของฝ่าบาทเพคะ" ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไรมาก ถ้านางพูดว่าให้จ้านเป่ยว่างไม่ไ
หลังจากผ่านเดือนหนึ่งไปก็มีราชโองการลงมา นั้นก็หมายความว่า หลังจากเดือนหนึ่ง ไม่ก็จะมีหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์คนใหม่ ไม่ก็จ้านเป่ยว่างไม่ต้องไว้ทุกข์แล้วหลังจากซ่งซีซีออกไปแล้วจักรพรรดิ์ซูชิงก็อ่านสาส์นไว้ทุกข์ของจ้านเป่ยว่าง จากนั้นก็โยนไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง และตรัสถามอู๋ต้าปั้น "เจ้าคิดว่าจ้านเป่ยว่างควรไว้ทุกข์ไหม? "อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและกล่าวขึ้นว่า "ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้คนในราชสำนัก หม่อมฉันมิกล้าพูดมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ""แม้จะเป็นการใช้คนในราชสำนัก แต่ก็เป็นองครักษ์รักษาพระองค์ข้างกายข้า เจ้าพูดมาได้เลย"อู๋ต้าปั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยังส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ""ไม่รู้ หรือว่าไม่กล้าพูด? " แววพระเนตรของจักรพรรดิ์ซูชิงเย็นชาและเฉียบคมอู๋ต้าปั้นรับใช้จักรพรรดิ์ซูชิงมาหลายปี รู้จักนิสัยของเขาดี ถ้าเป็นขุนนางทั่วไป สามารถใช้หรือไม่ใช่ก็ได้ สาส์นไว้ทุกข์ก็ได้รับพระราชทานอนุญาตไปนานแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับพระชายามากขนาดนั้นเขาต้องการใช้จ้านเป่ยว่าง ต้องการให้มีคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขาแต่อู๋ต้าปั้นไม่สามารถฝืนใจตัวเองแนะนำจ้านเป่ยว่าง แม้
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนก็พูดอะไรไม่ออก แม้จะคาดไว้แล้วว่า หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของซีจิงขึ้นครองราชย์ จะต้องเอาเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์ แต่ไม่คิดว่าเขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ นั่งบัลลังก์ยังไม่ร้อย ก็รีบเอาเรื่องเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังยังจับตัวซูลันจีเข้าคุกทันทีก่อนหน้าซูลันจีเคยถูกลอบสังหาร เพิ่งจะรอดจากความตายมา ร่างกายยังไม่หายเป็นปกติ ตอนนี้ต้องเข้าคุก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรอดมาได้ไหมผ่านไปพักใหญ่ เซี่ยหลูโม่ก็ทำลายความเงียบงันนี้ "สิ่งที่สองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ น่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับแคว้นซาง เพื่อเอาเรื่องเรื่องเมืองลู่เปินเอ่อร์""เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย" อาจารย์หยูพูดขึ้นซ่งซีซีถามเซี่ยหลูโม่ "พวกหวังซานกับหวังหวู่ลอบเข้าไปในเมืองซีจิงแล้วหรือ? "หวังซานกับหวังหวู่เป็นคนของค่ายชีซื่อ พวกเขามาจากเมืองซูโจว เดิมทีได้รับบำเหน็จแล้วพวกก็จะกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาเต็มใจรับใช้ราชสำนักต่อ ดังนั้นหลังจากกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดแล้ว ก็มุ่งหน้าไปเมืองซีจิงทันที"ได้เข้าไปในเมืองหลวงของซีจิงและหาที่พักเรียบร้อยแล้ว""นอกจากพวกเขาสองพี่น้องแล้ว ยังมีอีกกี่คน? ""สิบสามคน
ซ่งซีซีถามขึ้นว่า "แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าอ๋องฮวยออกจากเมืองหลวงแล้ว? "เซี่ยหลูโม่พูดขึ้นว่า "ส่งคนไปเฝ้าสังเกตมาหลายคืนแล้ว เมื่อคืนจางต้าจ้วงมารายงานว่าเขาไม่อยู่ในจวนจริงๆ ก็ได้ส่งคนไปไล่ล่าแล้ว ทั้งสามทิศทางก็ได้ส่งคนไปแล้ว แต่ถ้าเขาปลอมตัว กลัวว่าก็ไม่อาจจะตามหาเขาเจอได้"อาจารย์หยูพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า "พลาดไปแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกล้าออกจากเมืองหลวงในเวลานี้"ซ่งซีซีลูบเล็บ แววตาน่าหวาดกลัว "ถ้าสืบชัดเจนดีแล้ว ก็ถึงเวลาให้ฝ่าบาทรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว"เซี่ยหลูโม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีแผนการหนึ่ง "พรุ่งนี้ให้เสด็จแม่เข้าวังสักครั้ง ขอให้ไทเฮาเชิญหมอหลวงไปที่จวนอ๋องฮวย เจ้าไปสอนเสด็จว่าจะต้องพูดยังไงต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา... อันที่จริง หลานเอ่อร์ไปคือดีที่สุด แต่ก็ไม่ต้องรบกวนนางแล้ว ให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"ขึ้นแปดค่ำเดือนหนึ่ง สนมสนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับจวนแล้ว อยู่ในวังมาสิบกว่าวันก็เบื่อแล้ว คิดว่ากลับจวนอ๋องก็เป็นอิสระหน่อย อยู่ในวังมีกฎเกณฑ์มากมาย อยู่ในจวน นางก็คือกฎ"ข้าไปหาเสด็จแม่เดี๋ยวนี้" ซ่งซีซีลุกขึ้นยืนสนมสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าบรรทมแล้ว หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงา
ปิ่นระย้าคือมอบให้กับซีซี ในเมื่อปิ่นระย้ามอบให้ไปแล้ว สนมสนมฮุ่ยไทเฟยก็บอกว่าจะเลือกให้ตัวเองด้วย เมื่อหญิงวัยกลางคนออดอ้อน แม้แต่ไทเฮาผู้สูงส่งก็ต้านทานไม่ไหว ก็ให้คนนำเครื่องประดับที่เพิ่งได้รับมาออกมาให้นางเลือกยัยคนนี้ เมื่อเลือกก็เจ็ดแปดชิ้น เหมือนฝูงตั๊กแตนที่บินผ่านไร่นา บินผ่านตรงไหนก็ไม่เหลืออะไรเลยของนอกกาย ไทเฮาก็ไม่เคยรู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่ซื้อน้องสาว หัวเราะจิ๊กๆ เหมือนกับแม่ไก่ มันก็คุ้มค่าฝูฉิวอันไปจวนอ๋องฮวยพร้อมกับหมอหลวงหมอหลวงสวี่เป็นหมอหลวงที่ไทเฮาทรงใช้เป็นประจำ หมอหลวงสวี่ก็ค่อนข้างคล้ายอวี้ฉื่อสวี่ พี่ชายของนาง เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ตรงไปตรงมา คนนิสัยแบบนี้อยู่ในสำนักหมอหลวงไม่มีทางดเติบโต แต่ไทเฮาเลื่อนตำแหน่งให้เขา และเพราะเขาก็ทำให้นางได้รู้จักตระกูลสวี่ และยกองค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง ธิดาของตัวเองให้กับสวี่เล่อเทียน หลานชายของเขาเมื่อพระชายาอ๋องฮวยได้ยินว่าฝูชิวอันคนสนิทข้างกายไทเฮาพาหมอหลวงมาเพื่อจะจับชีพจรวินิจฉัยอาการประชวรให้กับอ๋องฮวย ก็ตกใจมากจนยืนยิ่งทันทีสวรรค์ สวรรค์!นี่จะทำยังไงดี? ท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน เขาออกจากจวนตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เพียงป
ในตำหนักฮุ่ยอี๋ องค์ชายสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ องค์หญิงสามช่วยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของเขา นางกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เพิ่งสระผมไปเมื่อวันก่อนแท้ๆ เจ้าต้องเล่นกับเจ้าแมวป่าตัวนั้นให้ได้ ทำให้เส้นผมและใบหน้าของเจ้ามีแต่ขนแมว ถ้ามีคราวหน้าอีก พี่จะตีเจ้าที่ก้น”เด็กชายตัวน้อยที่งดงามราวกับแกะสลักจากหยก ดวงตาดำขลับทอประกายราวดวงดาว ยิ้มแย้มขณะที่พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดพี่สาว “ท่านพี่ เจ้าแมวป่าสนุกและน่ารักมาก มันใช้เท้าเล็กๆ เหยียบข้า รู้สึกสบายจริงๆ แถมเวลากอดมันก็อบอุ่นด้วย”องค์หญิงสามกล่าวว่า “เสด็จแม่บอกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่ชอบเจ้าแมวป่า แต่เจ้ากลับเอาแต่นำเรื่องของมันไปพูดกับเสด็จพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้เสด็จพ่อไม่มาหาเจ้าเลย”องค์ชายสามนั่งตัวตรง ปล่อยให้พี่สาวช่วยเช็ดผม แต่ปากยังไม่วายโต้กลับ “ข้ากับเสด็จพ่อเป็นคนละคน ย่อมมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกัน เสด็จพ่อไม่ชอบ แต่ข้าชอบ ข้ารักมัน ต่อให้เสด็จพ่อไม่พอใจ ก็ใช่ว่าจะบังคับให้ข้าทิ้งมันได้”องค์หญิงสามเอานิ้วแตะจมูกเขาเบาๆ “ปากคมเสียจริง”องค์ชายสามยิ้มกว้าง “ท่านพี่เถียงข้าไม่ชนะ เพราะพี่ไม่มีเหตุผล เสด็จอาบอกว่าหากพี่มีเหตุผล
ฝูเจาอี๋มิได้สังเกตเห็นรอยเย้ยหยันที่มุมปากของชุนถังชุนถังเป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายนาง ตั้งแต่นางได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยหยู นางเฉลียวฉลาดและสุขุม ยามที่ฝูเจาอี๋ต้องการคำแนะนำ นางก็มักเป็นผู้วางแผนให้อยู่เสมอ ครั้งนั้น ฮองเฮามีใจต้องการดึงนางเข้าสังกัด ทว่าชุนถังกลับเตือนว่าสถานะของฮองเฮาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถูกกักบริเวณอยู่บ่อยครั้ง ฝ่าบาททรงไม่โปรดอีกต่อไป อีกทั้งยังไม่มีอำนาจดูแลวังหลัง สู้ทำทีเป็นให้ความร่วมมือไปก่อน แล้วค่อยเบนเข้าหาเต๋อเฟยและซูเฟยจะดีกว่าและชุนถังก็คิดถูก เต๋อเฟยเมตตานางยิ่งนัก ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และข้าวของล้วนจัดหาให้อย่างดี ไม่มีใครกล้าดูแคลนนางอีกทว่า ในอดีต เต๋อเฟยเคยดีกับนางก็จริง แต่ตอนนี้กลับใช้ประโยชน์จากครรภ์ของนางเพื่อเข้าหาฝ่าบาท สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก“เจาอี๋มิทรงยินดีให้พระนางเต๋อเฟยเสด็จมาหรือเพคะ?” ชุนถังช่วยประคองศีรษะและเอวของนางให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย การต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้นางมักบ่นว่าปวดหลังฝูเจาอี๋วางใจชุนถังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยความในใจ “ตอนที่ครรภ์ของข้ายังมั่นคงอยู่ พระน
ครรภ์ของฝูเจาอี๋ เดิมทีก็มั่นคงดี หมอหลวงเองก็กล่าวว่าไม่มีปัญหาใหญ่อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเข้าสู่เดือนเหมันต์ ครรภ์นี้กลับเริ่มไม่มั่นคง อีกทั้งยังมีเลือดออกถึงสองครั้งหมอหลวงจินทุ่มเทสรรพวิธีเพื่อรักษาครรภ์ของนางไว้ ทำให้พอประคองสถานการณ์ได้ แต่นางก็ต้องนอนพักอยู่บนเตียง ยังไม่อาจลุกเดินไปไหนได้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมอหลวงย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตรวจสอบทั้งอาหารการกินและข้าวของที่ใช้ในวังอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ฝ่าบาทเสวยโอสถมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ครรภ์นี้ไม่มั่นคงจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเป็นกังวลอย่างยิ่งกับครรภ์นี้ นับตั้งแต่นางต้องนอนพักรักษาครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเกือบวันเว้นวัน บางคราก็ทรงประทับร่วมเสวยพระกระยาหารเมื่อเอาใจใส่สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมละเลยอีกสิ่งหนึ่งไป ทำให้ช่วงนี้ฝ่าบาทแทบไม่ได้เสด็จไปยังตำหนักของซูเฟย อีกทั้งยังมิได้ทรงเรียกองค์ชายสามเข้าพบที่ห้องพระอักษรเลยส่วนเต๋อเฟยนั้น เนื่องจากต้องดูแลกิจการในวังหลัง เมื่อพอมีเวลาว่างก็มักจะพาองค์ชายรองมาเยี่ยมฝูเจาอี๋ด้วย ดังนั้นจึงได้มีโอกา
ในวังหลัง เดิมทีมีผู้คาดเดาเกี่ยวกับพระอาการของฝ่าบาทไม่น้อย แม้ยามนี้ฝูเจาอี๋จะตั้งครรภ์ ทว่าหมอมหัศจรรย์กลับพำนักอยู่ในวัง เป็นหลักฐานว่าพระวรกายของฝ่าบาทหาใช่เพียงต้องบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดังนั้น การที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้ ทำให้บางคนเริ่มอยู่นิ่งไม่ได้โดยเฉพาะฮองเฮา นางรับรู้เรื่องพระอาการของฝ่าบาทอยู่บ้าง ตอนนี้หมอมหัศจรรย์กลับเข้าวังเพื่อถวายการรักษา ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนางไม่อาจคาดเดา เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทอาจอยู่ในช่วงที่พละกำลังถดถอยเต็มที่แล้วครรภ์ของฝูเจาอี๋ นางไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่อาจทราบได้ ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ยังไม่ถึงคราวของเขาแต่การที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์ชายสามถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามเดิมทีฝ่าบาทให้ทางเลือกแก่นาง นางเลือกตำแหน่งฮองเฮา เลือกมีชีวิตรอด ทว่าหลังจากนิ่งเฉยมาพักหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงละทิ้งองค์ชายใหญ่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ยิ่งตอนนี้องค์ชายใหญ่ขยันขันแข็งศึกษาหาความรู้ แม้แต่ไท่ฝู่และเสด็จอายังเอ่ยปากชม นางยังสืบมาว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยองค์ชายใหญ่อยู่ไม่น้อยองค์ชายรองและองค์ชายสามล
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่