ซ่งซีซีรีบเดินกลับมา และปลอบใจสนมฮุ่ยไทเฟยก่อน และส่งนางออกไป สนมฮุ่ยไทเฟยยังคงพูดอยู่ในขณะเดินออกไป "ก็จริงนี่ ก็แต่งงานกันแล้วจะมาอายอะไร ตอนเด็กๆ ยังพูดกับเสด็จแม่ได้ บัดนี้พูดไม่ได้แล้วเหรอ เจ้าไม่รู้ตอนเด็กเนื่องจากจุดนั้นโดนยุงกัด ยังถอดกางเกงให้ข้าทายา...""เสด็จแม่!" เสียงคำรามของเซี่ยหลูโม่ดังมาจากห้องซ่งซีซีรีบตามหาว่านจือเพื่อมาจัดการต่อ จากนั้นสั่งป้าฉงและป้าหยินเตรียมน้ำร้อน นางจะสระผมให้เขาเองเนื่องจากเขาไม่สามารถอาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนได้ จึงต้องนั่งในห้องอาบน้ำ โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ซ่งซีซีสระผมให้ และยังต้องป้องกันไม่ให้เท้าโดนน้ำแม้ว่ารู้สึกตนเองไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่พอรู้สึกถึงนิ้วของภรรยานวดหนังศีรษะและถูผมทำให้ เขารู้สึกมีความสุขในท่ามกลางความรู้สึกอับอายเขาปลอบใจตัวเองโดยคิดว่าถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ เขาคงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนี้ เมื่อก่อนที่ตนเองบาดเจ็บก็เป็นจางต้าจ้วงที่ช่วยหลังจากสระผมแล้ว ซ่งซีซีก็ช่วยเขาเช็ดผม หลังจากผ่านไปนานสองนานถึงพูดหดหู่ว่า "เสด็จแม่พูดไปเรื่อย เจ้าอย่าไปฟังนางเลย""อืม" ซ่งซีซีใช้ผ้าขนหนูหนาๆ ลูบผม "ข้าจำไม่ได้ด
สนมฮุ่ยไทเฟยมักจะพูดถึงฮ่องเต้องค์ก่อนสมอ บางครั้งก็บอกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นดีต่อนาง บางครั้งก็บ่นเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ก่อน แต่เมื่อใดก็ตามที่นางพูดถึงพระองค์ นางก็มักจะทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงตัวน้อย ราวกับว่านางไม่เคยโตเลยนางเป็นพระสนมที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่สุดในวังหลังที่มีการช่วงชิงอำนาจแย่างรุนแรง นางอยู่ในตำแหน่งพระสนม และไม่เคยถูกมุ่งร้าย แม้ว่ามีผู้ใดอยากใช้แปนการอะไรก็จะไม่มุ่งเป้านาง ต่อให้มุ่งเป้านาง ก็ยังมีไทเฮาอย่างข้าหน้านางที่ช่วยจัดการให้นางถูกเลี้ยงแบบเอาอกเอาใจตั้งแต่เด็กจนโต และถูกกล่อมให้นางมีลูกๆ อย่างเอาใจใส่ ตอนนี้ก็มีลูกสะใภ้คอยดูแลอยู่ ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่อใดๆ ทั้งสิ้นเลยแต่นางมักจะชอบหาเรื่องมาให้ตนเองกลุ้มใจ และหาเรื่องให้ตนเองต้องปวดหัว อย่างเช่นชอบไปแข่งกับพวกของเต๋อกุ้ยไทเฟยและฉีกุ้ยไทเฟยเมื่อนางชนะก็จะดีใจจนกระโดดโลดเต้น พอแพ้ไป นางก็พองแก้มและอารมณ์เสียอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็จบเรื่องไปที่นางถูกเจียอี้และเซี่ยอวี้นวางแผนหลอกลวงนั้น นางก็แค่โกรธไปไม่กี่วันเอง จากนั้นก็ลืมเรื่องนั้นไปเลย นางจะไม่เก็บเรื่องไม่ดีมาใส่ใจจนให้ตนเอง
เรื่องโรงงานเย็บปักถักร้อยไม่ว่าโดนด่าหรือมีคนเข้าใจด้วย ในที่สุดมันก็ขยายการประชาสัมพันธ์ออกไปโรงงานเย็บปักถักร้อยสามารถก่อตั้งเสร็จเรียบร้อยได้หลังปีใหม่ ทั้งนี้ต้องขอบคุณการกำกับดูแลของอาจารย์หยูและบวกกับดำเนินขั้นตอนทางเอกสารต่างๆ เสร็จสิ้นตั้งแต่เนิ่นๆ หัวหน้าลู่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดซื้อเสิ่นว่านจือโยนตัวเงินออกมาก้อนหนึ่งแล้วพูดอย่างใจปล้ำว่า "ถ้าไม่พอก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ"หัวหน้าลู่ไม่ได้ไปซื้อมันด้วยตนเอง แต่เป็นฮูหยินของหลี่เต๋อฮวย เจ้ากรมกระทรวงกลาโหมพาเขาไปด้วยสิ่งที่ใช้ตกแต่งพื้นที่ เครื่องนอน ผ้าปูที่นอน หม้อ กระทะ เครื่องทอผ้า ด้ายไหมหลากสี เข็ม ผ้าปัก ถัง กระโถนเป็นต้น ทุกอย่างที่คิดได้ หลี่ฮูหยินก็ซื้อมันหมดแล้วถึงยังไงแล้วนางหลี่ได้บริหารดูแลครอบครัวมานานหลายปี อีกอย่างคู่กับหัวหน้าลู่ที่ ผู้ดูแลกิจการทั่วไปของจวนอ๋อง ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างที่ต้องซื้อก็จะถูกจัดซื้อเรียบร้อย ของที่ต้องสั่งทำพิเศษนั้นก็จะถูกส่งมาหลังปีใหม่โรงงานเย็บปักถักร้อยตั้งชื่อว่าโรงงานซู่เจิน เขียนโดยเสิ่นชิงเหอ จากนั้นจึงสลักไว้บนแผ่นไม้ที่แขวนอยู่ที่ประตูโรงงานเย็บปักถักร้อย
ดวงตาของจ้านเป่ยว่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า "ข้ารู้ว่าข้าทำให้ท่าหมอต้องผิดหวัง ข้าเองก็รู้สึกเวียใจอย่างมากเช่นกัน""ตอนแรกทางตระกูลซ่งมองหาลูกเขย คนที่มาสู่ขอมีจำนวนนับไม่ถ้วนเลย แต่กลับเลือกเจ้า รู้หรือไม่ว่าซ่งฮูหยินเลือกเจ้าด้วยเหตุผลอันใด"เมื่อพูดถึงแม่ยายผู้ล่วงลับของเขา จ้านเป่ยว่างก็ส่งเสียงสะอื้น "รู้ขอรับ นางบอกว่าข้าติดดินและซื่อสัตย์ บวกกับข้าสัญญาว่าจะไม่แต่งอนุภรรยาเด็ดขาด... มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าผิดสัญญา ข้าขอโทษนาง""นั่นมันเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลคือเห็นๆ อยู่ว่าเจ้าเป็นลูกชายคนรองแต่กลับยินยอมแบกรับความรับผิดชอบที่สำคัญของตระกูล มันแสดงว่าเจ้าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ขอพูดตรงๆ ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่ตั้งหลักจวนแม่ทัพให้ใหม่อีกครั้ง ด้วยความสามารถของเจ้าคนเดียวมันยิ่งยากว่า ในกระบวนการที่ยากลำบากในการต่อสู้เพื่ออนาคตของเจา นางคิดว่าเจ้าจะเป็นคนเหมือนแม่ทัพซ่งฮวยอันในอดีต ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าและมีใจหนักแน่น เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้คนซื่อตรงและมีความรับผิดชอบนั้นมักจะทำเช่นนี้ หากเจ้าดูแลเรื่องฝ่ายนอก ส่วนซีซีดูแลกิจการฝ่ายใน เจ้าหาใช่ว่าจะประสบความสำเร็จสูงนัก
จ้านเป่ยว่างออกจากร้านขายยาเย่าหวังด้วยความสิ้นหวังหงเชวี่ยเข้ามาถามว่า "อาจารย์ เหตุใดท่านจึงต้องพูดกับเขามากขนาดนี้?"หงเชวี่ยไม่เข้าใจ อาจารย์รำคาญกับคนในจวนแม่ทัพมากที่สุด เขามักจะปฏิเสธที่จะพูดอะไรกับพวกเขาด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับสละเวลาที่พักผ่อนเพื่อพูดตักเตือนเขาหมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจเบาๆ "ไม่ต้องการให้คนในโลกคิดว่าซ่งฮูหยินไม่เพียงแต่ตาบอดและยังซื่อไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง อาจารย์ก็ไม่ชอบได้ยินคนอื่นต่อว่านางแบบนี้"เขาลุกขึ้นยืนวางถ่านไฟชิ้นหนึ่งลงในเตาถ่านแล้วเอามือไปเข้าใกล้เพื่อทำให้อุ่น "นอกจากนี้ เขาไม่ใช่คนชั่วร้ายถึงขั้นร้ายแรงจริงๆ เขาสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งถูกและผิดได้ด้วย คุณชายสามของตระกูลเซียวเพื่อช่วยเขาต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง หากไม่ตักเตือนเขา ให้ถูกหลอกไปต้องทำผิดตลอดไป งั้นแขนที่คุณชายสามเสียไปนั้นก็เท่ากับเสียเปล่า""อาจารย์ ยังมีเรื่องอย่างอื่นหรือเปล่า?" หงเชวี่ยมักรู้สึกว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น เนื่องจากหากอาจารย์เกลียดบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เขาจึงจะไม่มีทางพูดอะไรกับคนๆ นั้นมากนักหมอมหัศจรรย์ดันมีดวงตาสีเข้ม "อย่าถามเลย หวังว่าจะใช้งานไม่ได้"จ้านเป่ยว่าง
ในคืนแรม ๑๐ ค่ำเดือนสิบสอง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็มองเห็นภาพหลอนขึ้นจริงๆ ร่างกายของนางดูเหมือนจะหายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถลุกขึ้นนั่งชี้ด่าอากาศ "ไสหัวออกไป ไสหัวออกไป พวกสวะไร้ประโยชน์ พวกเจ้าต่างเป็นสวะไร้ประโยชน์""นางหมิน เจ้ากล้ามาก เจ้ากล้าบีบคอข้า? เจ้ามันอกตัญญู..."มือทั้งสองข้างของนางจับคอ เหมือนกับกำลังดิ้นรนอย่างนั้น อึดอัดจนหน้าแดงก่ำแต่เพราะท่านหมอได้บอกอาการของนางไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นทุกคนเลยไม่คิดว่านางจะเห็นผี จากนั้นจ้านเป่ยว่างก็ไปเอามือของนางออก และเรียกขึ้นเสียงดัง "ท่านแม่ ไม่มีใครขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ได้มาที่นี่ขอรับ""นางมาแก้แค้นข้า นางแค้นข้า" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านจับแขนเสื้อของจ้านเป่ยว่าง และความดุร้ายบนใบหน้าของนางก็กลายเป็นความหวาดกลัว "เจ้าบอกกับนาง ข้าแค่จะให้นางรู้กฎเกณฑ์เท่านั้น ข้าต้องการสั่งสอนนาง อ้า... ไปให้พ้น นางหมิน เจ้ากล้ามาก"มือของนางยังคงปัดไปมาไม่หยุด และตบลงไปบนหน้าของจ้านเป่ยว่าง จ้านเปยว่างเองก็ไม่ขยับ ปล่อยให้นางตบอย่างนั้นหลังจากดิ้นอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดถึงจะสงบลง แต่ลมหายใจของนางกลับแผ่วเบาแล้วบางครั้งนางก็มีสติ ลืมตามองผ
เสิ่นว่านจือไม่มีความรู้สึกเห็นใจจ้านเป่ยว่างอยู่แล้ว นางพูดขึ้น "ได้ยินหงเซียวบอกว่า จ้านเส้าฮวนไม่ได้กลับไปร่วมงานศพ แต่ยี่ฝางออกมาจากเรืองมงคลเพื่อไว้ทุกข์ให้กับยายแก่นั่น"หลังจากถูกลอบสังหาร ยี่ฝางก็แทบจะไม่ออกจากเรืองมงคลเลย ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านใกล้สิ้นใจ นางก็ไม่ออกมาดูแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้กลับมาไว้ทุกข์ มันไม่แปลกหรือ?ถ้ามีคนคิดจะฆ่านางอีกครั้ง ถือโอกาสตอนที่ในจวนกำลังจัดพิธีศพ ฉวยโอกาสลอบเข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องยากทว่ายี่ฝางก็ยังคงมีสมองอยู่บ้าง เพิ่งจะสืบคดีกบฏ คดีนี้ยังไม่ปิด ใครจะกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในเวลานี้"พิธีศพใครเป็นคนช่วยจัดหรือ? " ซ่งซีซีถามขึ้นประโยคหนึ่ง หลังจากหวังชิงหลูคลอดก่อนกำหนดร่างกายก็รักษาไม่หายมาโดยตลอด นางไม่มีทางเป็นคนจัดแน่นอน ยี่ฝางเองก็ไม่น่าจะออกหน้าจัดพิธีศพ" ฮูหยินผู้เฒ่ารอง " เสิ่นว่านจือ กล่าว "ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีความเกลียดชังระหว่างพี่น้องสะใภ้ และไม่มีการแยกครอบครัวอย่างแท้จริง นางยังคงต้องทำสิ่งที่ต้องทำ""อันที่จริงฮูหยินผู้เฒ่ารองก็จิตใจดีมีความยุติธรรม" ซ่งซีซีกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง "ก็หายากมากแล้ว"ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ชื่
วันขึ้นปีใหม่ ก็ค่อนข้างน่าเบื่องานเลี้ยงในวัง เชื้อพระวงศ์บางคนที่พบเห็นกันปีละครั้งก็พาครอบครัวออกมาเข้าร่วมงานผู้ชายก็มีกลุ่มใหญ่ ผู้หญิงก็มีกลุ่มใหญ่เช่นกันซ่งซีซีอก็ตามฮองเฮากับพระสนมไปเข้าเฝ้าคารวะไทเฮาพร้อมกับเหล่าพระชายาและองค์หญิงเหล่าไทเฟยก็อยู่ด้วยกัน แน่นอนก็มีสนมฮุ่ยไทเฟยอยู่ในนั้นด้วยส่วนพระชายาอ๋องเยี่ยนนางเสิ่นกับชายารองจินก็อยู่ในตำหนักของหรงไทเฟย อยู่พูดคุยกับนาง ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้มาทุกคนพูดคุยเรื่องไร้สาระด้วยกัน ไม่ก็ชื่นชมกันไปมา ไม่ก็แข่งกันว่าใครงามกว่ากัน ไม่ก็โอ้อวดเครื่องประดับกันพระสนมของฮ่องเต้ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นางมองจนตาลาย ก็รู้จักเพียงฮองเฮา พระสนมซูเฟย พระสนมกง และพระสนมเต๋อ ส่วนสนมคนอื่นๆ ก็ไม่รู้จักสักคนเดียวสำหรับคนอื่นๆ ที่สถานะต่ำต้อย ก็ก้มหน้าต่ำตลอดเวลา บางครั้งก็ยิ้มให้ บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองพระโอรสของฮองเฮาเป็นโอรสคนโต ดูเป็นคนเยือกเย็น อายุยังน้อย แต่ท่าทางการเดินเหมือนกับจักรพรรดิ์ซูชิง เอามือไขว้หลัง ยืดตัวตรง ถ้ารูปร่างไม่ผอมบาง ก็ยังคิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่พระสนมซูเฟยมีธิดาและโอรสหนึ่งคน โอรสนางเป็นคนเลี้ยงดู แ
ในตำหนักฮุ่ยอี๋ องค์ชายสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ องค์หญิงสามช่วยเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นของเขา นางกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เพิ่งสระผมไปเมื่อวันก่อนแท้ๆ เจ้าต้องเล่นกับเจ้าแมวป่าตัวนั้นให้ได้ ทำให้เส้นผมและใบหน้าของเจ้ามีแต่ขนแมว ถ้ามีคราวหน้าอีก พี่จะตีเจ้าที่ก้น”เด็กชายตัวน้อยที่งดงามราวกับแกะสลักจากหยก ดวงตาดำขลับทอประกายราวดวงดาว ยิ้มแย้มขณะที่พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดพี่สาว “ท่านพี่ เจ้าแมวป่าสนุกและน่ารักมาก มันใช้เท้าเล็กๆ เหยียบข้า รู้สึกสบายจริงๆ แถมเวลากอดมันก็อบอุ่นด้วย”องค์หญิงสามกล่าวว่า “เสด็จแม่บอกแล้วว่าเสด็จพ่อไม่ชอบเจ้าแมวป่า แต่เจ้ากลับเอาแต่นำเรื่องของมันไปพูดกับเสด็จพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงนี้เสด็จพ่อไม่มาหาเจ้าเลย”องค์ชายสามนั่งตัวตรง ปล่อยให้พี่สาวช่วยเช็ดผม แต่ปากยังไม่วายโต้กลับ “ข้ากับเสด็จพ่อเป็นคนละคน ย่อมมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกัน เสด็จพ่อไม่ชอบ แต่ข้าชอบ ข้ารักมัน ต่อให้เสด็จพ่อไม่พอใจ ก็ใช่ว่าจะบังคับให้ข้าทิ้งมันได้”องค์หญิงสามเอานิ้วแตะจมูกเขาเบาๆ “ปากคมเสียจริง”องค์ชายสามยิ้มกว้าง “ท่านพี่เถียงข้าไม่ชนะ เพราะพี่ไม่มีเหตุผล เสด็จอาบอกว่าหากพี่มีเหตุผล
ฝูเจาอี๋มิได้สังเกตเห็นรอยเย้ยหยันที่มุมปากของชุนถังชุนถังเป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ข้างกายนาง ตั้งแต่นางได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยหยู นางเฉลียวฉลาดและสุขุม ยามที่ฝูเจาอี๋ต้องการคำแนะนำ นางก็มักเป็นผู้วางแผนให้อยู่เสมอ ครั้งนั้น ฮองเฮามีใจต้องการดึงนางเข้าสังกัด ทว่าชุนถังกลับเตือนว่าสถานะของฮองเฮาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถูกกักบริเวณอยู่บ่อยครั้ง ฝ่าบาททรงไม่โปรดอีกต่อไป อีกทั้งยังไม่มีอำนาจดูแลวังหลัง สู้ทำทีเป็นให้ความร่วมมือไปก่อน แล้วค่อยเบนเข้าหาเต๋อเฟยและซูเฟยจะดีกว่าและชุนถังก็คิดถูก เต๋อเฟยเมตตานางยิ่งนัก ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และข้าวของล้วนจัดหาให้อย่างดี ไม่มีใครกล้าดูแคลนนางอีกทว่า ในอดีต เต๋อเฟยเคยดีกับนางก็จริง แต่ตอนนี้กลับใช้ประโยชน์จากครรภ์ของนางเพื่อเข้าหาฝ่าบาท สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก“เจาอี๋มิทรงยินดีให้พระนางเต๋อเฟยเสด็จมาหรือเพคะ?” ชุนถังช่วยประคองศีรษะและเอวของนางให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย การต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานเช่นนี้ ทำให้นางมักบ่นว่าปวดหลังฝูเจาอี๋วางใจชุนถังมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยความในใจ “ตอนที่ครรภ์ของข้ายังมั่นคงอยู่ พระน
ครรภ์ของฝูเจาอี๋ เดิมทีก็มั่นคงดี หมอหลวงเองก็กล่าวว่าไม่มีปัญหาใหญ่อันใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอเข้าสู่เดือนเหมันต์ ครรภ์นี้กลับเริ่มไม่มั่นคง อีกทั้งยังมีเลือดออกถึงสองครั้งหมอหลวงจินทุ่มเทสรรพวิธีเพื่อรักษาครรภ์ของนางไว้ ทำให้พอประคองสถานการณ์ได้ แต่นางก็ต้องนอนพักอยู่บนเตียง ยังไม่อาจลุกเดินไปไหนได้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมอหลวงย่อมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตรวจสอบทั้งอาหารการกินและข้าวของที่ใช้ในวังอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ฝ่าบาทเสวยโอสถมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ครรภ์นี้ไม่มั่นคงจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเป็นกังวลอย่างยิ่งกับครรภ์นี้ นับตั้งแต่นางต้องนอนพักรักษาครรภ์ ฝ่าบาทก็ทรงเสด็จมาเยี่ยมเกือบวันเว้นวัน บางคราก็ทรงประทับร่วมเสวยพระกระยาหารเมื่อเอาใจใส่สิ่งหนึ่ง ก็ย่อมละเลยอีกสิ่งหนึ่งไป ทำให้ช่วงนี้ฝ่าบาทแทบไม่ได้เสด็จไปยังตำหนักของซูเฟย อีกทั้งยังมิได้ทรงเรียกองค์ชายสามเข้าพบที่ห้องพระอักษรเลยส่วนเต๋อเฟยนั้น เนื่องจากต้องดูแลกิจการในวังหลัง เมื่อพอมีเวลาว่างก็มักจะพาองค์ชายรองมาเยี่ยมฝูเจาอี๋ด้วย ดังนั้นจึงได้มีโอกา
ในวังหลัง เดิมทีมีผู้คาดเดาเกี่ยวกับพระอาการของฝ่าบาทไม่น้อย แม้ยามนี้ฝูเจาอี๋จะตั้งครรภ์ ทว่าหมอมหัศจรรย์กลับพำนักอยู่ในวัง เป็นหลักฐานว่าพระวรกายของฝ่าบาทหาใช่เพียงต้องบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นดังนั้น การที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนี้ ทำให้บางคนเริ่มอยู่นิ่งไม่ได้โดยเฉพาะฮองเฮา นางรับรู้เรื่องพระอาการของฝ่าบาทอยู่บ้าง ตอนนี้หมอมหัศจรรย์กลับเข้าวังเพื่อถวายการรักษา ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนางไม่อาจคาดเดา เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าบาทอาจอยู่ในช่วงที่พละกำลังถดถอยเต็มที่แล้วครรภ์ของฝูเจาอี๋ นางไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่อาจทราบได้ ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ยังไม่ถึงคราวของเขาแต่การที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์ชายสามถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามเดิมทีฝ่าบาทให้ทางเลือกแก่นาง นางเลือกตำแหน่งฮองเฮา เลือกมีชีวิตรอด ทว่าหลังจากนิ่งเฉยมาพักหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงละทิ้งองค์ชายใหญ่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ยิ่งตอนนี้องค์ชายใหญ่ขยันขันแข็งศึกษาหาความรู้ แม้แต่ไท่ฝู่และเสด็จอายังเอ่ยปากชม นางยังสืบมาว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยองค์ชายใหญ่อยู่ไม่น้อยองค์ชายรองและองค์ชายสามล
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประชุมหารือกับขุนนางในห้องทรงอักษรยาวนานจนถึงดึกดื่น สุดท้ายเป็นหมอมหัศจรรย์ดันที่ต้องเข้าไปขัดจังหวะ แจ้งว่าดึกมากแล้ว พระองค์ถึงกับเหยียดพระกรพลางแย้มพระสรวล “ถึงกับดึกเพียงนี้แล้วรึ? เช่นนั้นก็เลิกประชุมเถิด ประตูวังใกล้จะปิดแล้ว”แม้จะเป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว แต่พระองค์กลับยังดูสดชื่น โดยเฉพาะบนพระพักตร์ที่มีเลือดฝาดขึ้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ที่ประชวรเลยซ่งซีซีรอให้เซี่ยหลูโม่ประชุมเสร็จ ก่อนจะออกจากวังกลับจวนพร้อมกันนางอ่อนล้ามาก พิงไหล่ของเซี่ยหลูโม่แล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวน เซี่ยหลูโม่อุ้มนางขึ้นมา ซ่งซีซีรับรู้ได้รางๆ แต่ก็ขี้เกียจจะตื่น เลยปล่อยให้เขาอุ้มเข้าไป อ้อมแขนอบอุ่นแข็งแกร่งช่างสบายเหลือเกินตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากตอนอยู่ที่ด่านเฉิงหลิง นางแทบไม่มีคืนไหนที่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อกลับถึงจวน ก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราลึกทว่า…นอนหลับไปก็ยังรู้สึกว่ามีมือร้อนจัดคู่หนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างนางยังคงหลับตา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ลืมที่ท่านลุงดันบอกไปแล้วหรือ?”เสียงร้อนผ่าวกระซิบข
วันที่ 15 เดือนสิบ คณะทูตจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุดกองทัพซวนเจียได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปพักก่อน ขณะที่หลี่เต๋อฮวยและขุนนางจากสำนักหงหลู่ต้องเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อถวายรายงาน ส่วนฉินอ๋องที่ตลอดทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตอนนี้กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที กล่าวว่าจะเข้าเฝ้าพร้อมกับพวกเขาด้วยส่วนซ่งซีซีนั้น ถูกเซี่ยหลูโม่ที่เฝ้ารออยู่ที่ประตูเมืองรับตัวกลับจวนไปก่อนแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสั่งให้คนคอยเฝ้ารอที่ประตูเมืองทุกวัน บางครั้งตอนพักกลางวันก็ยังมารอด้วยตนเอง และวันนี้ก็บังเอิญได้พบกันจริงๆขณะที่หลี่เต๋อฮวยและคนอื่นๆเข้าเฝ้าในวัง ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปคารวะฮุ่ยไท่เฟยก่อนแล้วเมื่อฮุ่ยไท่เฟยรู้ว่านางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ถวายคำนับก่อนออกไป และกลับไปยังเรือนเหมยฮวาหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากของนางกลับดูบวมขึ้นเล็กน้อย รุ่ยจูที่เห็นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง พระชายาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่านอ๋องยืนกรานจะปรนนิบัติด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่าไรน
เมื่อได้พักฟื้นอยู่ห้าวันที่ด่านเฉิงหลิง ฉินอ๋องก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อฉินอ๋องหายดี ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแม้จะอาลัยเพียงใด ซ่งซีซีก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตากล่าวคำอำลา นางคุกเข่าคารวะต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวอยู่หลายครั้ง จนแทบจะทำให้ท่านน้ำตาคลอหลี่เต๋อฮวยเป็นผู้ที่เคารพนับถือแม่ทัพใหญ่เซียวที่สุด เมื่อซ่งซีซีเพียงแค่น้ำตาคลอ แต่เขากลับปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเต็มที่ เพราะเขารู้ว่า บางทีตลอดชีวิตนี้ อาจไม่มีโอกาสได้พบกับท่านแม่ทัพผู้เฝ้ารักษาด่านเฉิงหลิงมาเป็นสิบๆ ปีอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวเข้าสู่วัยชราโดยสมบูรณ์ เมื่อมองดูอีกครั้งก็ดูแก่ชรากว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าฮ่องเต้จะพระราชทานอนุญาตให้ท่านกลับเมืองหลวงได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยากลำบาก ทายาทตระกูลเซียวก็คงไม่ยอมให้ท่านเดินทางกลับอีกแล้วแม่ทัพใหญ่เซียวสนทนากับหลี่เต๋อฮวยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะบรรเทาความรู้สึกของเขา กลับทำให้เขาร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกด้านนางหนานผู้เป็นป้าใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยถามถึงเรื่องของ พระชายาอ๋องฮวยเลย จนกระทั่งถึงเวลาต้องอำลากัน นางจึงดึงซ่งซีซีไปค
การเดินทางกลับเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนเก้าอากาศไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เริ่มมีความเย็นสบายแผ่วเบาซูลันจีนำทัพออกมาส่งด้วยตัวเอง พาพวกเขาไปจนถึงเมืองลู่เปินเอ่อร์ตลอดเส้นทางขากลับ ไม่มีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อข้ามภูเขาสลับซับซ้อนมาได้ ก็เข้าสู่เขตแดนของแคว้นซางเดิมทีพวกเขาไม่ได้แจ้งแม่ทัพใหญ่เซียวล่วงหน้า คิดว่าคงไม่มีใครมารับ แต่ทันทีที่เข้าสู่ชายแดนแคว้นซาง ก็พบว่าจ้านเป่ยว่างนำทัพเซียวเจียจวินรออยู่ที่นั่นเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาโดยปลอดภัย จ้านเป่ยว่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขากระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ ก่อนลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพฉินอ๋อง หลี่เต๋อฮวยและขุนนางท่านอื่นๆ “ท่านอ๋อง เสนาบดีหลี่ ท่านขุนนางทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่เซียวสั่งให้ข้านำทัพมาคอยเฝ้ารอที่นี่ทุกวัน เพื่อคุ้มกันพวกท่านกลับไปยังเฉิงหลิงกวน”หลี่เต๋อฮวยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่ทัพใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะกลับมาวันนี้?”จ้านเป่ยว่างตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ไม่ทราบ เพียงแต่สั่งให้ข้าและกองทัพมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลี่เต๋อฮวยรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นคนรอบคอบย
อันเฟิงชินอ๋องกล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อซีจิงและแคว้นซาง แต่ก็เพื่อเป่ยถังของเราด้วย มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ระหว่างแคว้นต่อแคว้น สิ่งที่มาก่อนคือผลประโยชน์ มีเพียงความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง”ซ่งซีซีรับคำสอน แต่ก็นึกสงสัย จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเคยรู้จักอาจารย์เหรินหยางอวิ๋นของข้าหรือไม่?”อันเฟิงชินอ๋องหัวเราะเบาๆ “รู้จัก เขาเคยมาเยือนเป่ยถัง และเคยพำนักอยู่ที่ไจ้ซิงโหลวอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ทัพองครักษ์เงาของข้า ‘เฮยอิ่ง’ สนิทสนมกับอาจารย์ของเจ้ามาก พวกเขามักดื่มสุราด้วยกันเป็นประจำ”“เช่นนี้เองหรือ” ซ่งซีซีนึกถึงบรรดาผู้สวมชุดดำพวกนั้น ไม่รู้ว่าคนไหนคือเฮยอิ่ง หากไม่ได้พบหน้าสักครั้ง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอันเฟิงชินอ๋องคล้ายจะมองออกถึงความคิดของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามปี หรืออาจห้าปี พวกเราจะไปเยือนแคว้นซาง ถึงตอนนั้น ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับเฮยอิ่ง”ซ่งซีซีกำลังจะกล่าวขอบคุณ ทว่าเสิ่นว่านจือก็ถามขึ้นก่อน “เหตุใดต้องเป็นสามปีหรือห้าปี? ไปเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? พวกเราตั้งตารอให้ท่านกับพระชายามาเยือน”อันเฟิงชินอ๋องเพียงยิ้ม แต่