มันทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำจริงๆซ่งซีซีพยุงเซี่ยหลูโม่ที่เดินกะโผลกกะเผลกและเดินลงภูเขาอย่างช้าๆปิ่นปักผมของเขาหายไปแล้ว และผมยุ่งเหยิง มันมีหิมะติดอยู่ จนเปียกไปหมด และปลิวไปด้านข้าง แข้งทื่อเป็นแผ่นหนึ่ง มันตกอยู่ในสภาพไม่น่ามองมากเลยบนใบหน้าก็ฟกช้ำดำเขียวและแดงด้วย ที่มีสีแดงเพราะมันเป็นรอยขีดข่วนและมีเลือดออก โชคดีที่บาดแผลตื้นและเล็กน้อย และบวกกับอากาศหนาวจัด เลือดก็หยุดอย่างรวดเร็วบนหน้าผากได้บวมขึ้นอย่างกับไข่ห่านไม่มีผิด ซึ่งดูทั้งน่าสางสารแต่ก็ตลกมากการฝึกศิลปะการต่อสู้ การต่อสู้ และการรับใช้ราชการล้วนเป็นจุดแข็งของเขา แต่เล่นสนุกนั้น เขาไม่เป็นจริงๆ ด้วย เลื่อนบนหิมะจะเลื่อนแบบนั้นได้อย่างไรใครๆ ก็รู้ดีว่าเล่นบนภูเขาแต่อย่าเล่นกับน้ำ เพราะว่าบริเวณน้ำลึกนั้นจะอันตรายมาก ก็ไม้ไม่ได้บอกว่าจะให้เล่นบนภูเขาได้ตามอำเภอใจนี่ โดยเฉพาะปกติแล้วภูเขาจะไม่มีหิมะ มีแต่ฤดูหนาวที่หนาวจัดนั้นถึงมีหิมะปกคลุม ภูเขาขรุขระที่ซ่อนอยู่ใต้หิมะนั้นมันจะเล่นได้ยังไงภูมิประเทศที่นี่แตกต่างจากทางเขตหนานเจียง อีกอย่างตอนออกรบได้สวมชุดเกราะ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเซี่ยหลูโม่รู้สึกอับอายถึงขีดสุด เข
หลังจากที่จางต้าจ้วงถูกอาจารย์หยูลงโทษด้วยวิธีไปกวาดลานบ้าน หลานเชวี่ยนจากร้านขายยาเย่าหวังก็มาถึงด้วยหลานเชวี่ยนเป็นลูกศิษย์คนที่หกของหมอมหัศจรรย์ดัน เขาอายุยังน้อยแต่มีทักษะทางการแพทย์ที่โดดเด่น ในปกติแล้วเขาจะประจำอยู่ร้านขายยาเย่าหวัง และไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเพื่อรักษาให้คนไข้วันนี้ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บจากการล้ม และหมอมหัศจรรย์ดันจึงส่งเขามาที่นี่โดยเฉพาะ จุดประสงค์คือเพื่อตรวจสอบทุกอย่างทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าได้บาดเจ็บที่จึดสำคัญหรือไม่ เขายังหนุ่มยังไม่มีลูก แต่กินยาพวกนั้นตลอด แล้วจะไม่ให้หมอมหัศจรรย์ดันไม่กังวลได้อย่างไร?สนมฮุ่ยไทเฟยและเสิ่นว่านจือกลับมาจากการซื้อของ เมื่อได้ยินว่าเซี่ยหลูโม่ได้รับบาดเจ็บ สนมฮุ่ยไทเฟยก็รีบร้อนเดินเข้ามาหลานเชวี่ยนกำลังรักษาให้เขาอยู่ และซ่งซีซีเฝ้าดูอยู่ข้างกาย เมื่อเห็นไทเฟย มา นางก็ทำการไหว้ "คารวะเสด็จแม่"สนมตอบีบอืม จากนั้นก็มองดูบุตรชายของตนทันที เนื่องจากหลังกลับมายังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่า มรงผมยังชี้ตั้ง และมองดูใบหน้าที่ช้ำของเขาและแผลบวมบนหน้าผาก สนมฮุ่ยไทเฟยก็หัวเราะอย่างเห็นใจ "ฮะ ทำไม...ทำไมกายเป็นสภาพแบบนี้เล่า ไหนบอกว่า
ซ่งซีซีรีบเดินกลับมา และปลอบใจสนมฮุ่ยไทเฟยก่อน และส่งนางออกไป สนมฮุ่ยไทเฟยยังคงพูดอยู่ในขณะเดินออกไป "ก็จริงนี่ ก็แต่งงานกันแล้วจะมาอายอะไร ตอนเด็กๆ ยังพูดกับเสด็จแม่ได้ บัดนี้พูดไม่ได้แล้วเหรอ เจ้าไม่รู้ตอนเด็กเนื่องจากจุดนั้นโดนยุงกัด ยังถอดกางเกงให้ข้าทายา...""เสด็จแม่!" เสียงคำรามของเซี่ยหลูโม่ดังมาจากห้องซ่งซีซีรีบตามหาว่านจือเพื่อมาจัดการต่อ จากนั้นสั่งป้าฉงและป้าหยินเตรียมน้ำร้อน นางจะสระผมให้เขาเองเนื่องจากเขาไม่สามารถอาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนได้ จึงต้องนั่งในห้องอาบน้ำ โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ซ่งซีซีสระผมให้ และยังต้องป้องกันไม่ให้เท้าโดนน้ำแม้ว่ารู้สึกตนเองไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่พอรู้สึกถึงนิ้วของภรรยานวดหนังศีรษะและถูผมทำให้ เขารู้สึกมีความสุขในท่ามกลางความรู้สึกอับอายเขาปลอบใจตัวเองโดยคิดว่าถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ เขาคงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนี้ เมื่อก่อนที่ตนเองบาดเจ็บก็เป็นจางต้าจ้วงที่ช่วยหลังจากสระผมแล้ว ซ่งซีซีก็ช่วยเขาเช็ดผม หลังจากผ่านไปนานสองนานถึงพูดหดหู่ว่า "เสด็จแม่พูดไปเรื่อย เจ้าอย่าไปฟังนางเลย""อืม" ซ่งซีซีใช้ผ้าขนหนูหนาๆ ลูบผม "ข้าจำไม่ได้ด
สนมฮุ่ยไทเฟยมักจะพูดถึงฮ่องเต้องค์ก่อนสมอ บางครั้งก็บอกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนนั้นดีต่อนาง บางครั้งก็บ่นเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ก่อน แต่เมื่อใดก็ตามที่นางพูดถึงพระองค์ นางก็มักจะทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงตัวน้อย ราวกับว่านางไม่เคยโตเลยนางเป็นพระสนมที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่สุดในวังหลังที่มีการช่วงชิงอำนาจแย่างรุนแรง นางอยู่ในตำแหน่งพระสนม และไม่เคยถูกมุ่งร้าย แม้ว่ามีผู้ใดอยากใช้แปนการอะไรก็จะไม่มุ่งเป้านาง ต่อให้มุ่งเป้านาง ก็ยังมีไทเฮาอย่างข้าหน้านางที่ช่วยจัดการให้นางถูกเลี้ยงแบบเอาอกเอาใจตั้งแต่เด็กจนโต และถูกกล่อมให้นางมีลูกๆ อย่างเอาใจใส่ ตอนนี้ก็มีลูกสะใภ้คอยดูแลอยู่ ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่อใดๆ ทั้งสิ้นเลยแต่นางมักจะชอบหาเรื่องมาให้ตนเองกลุ้มใจ และหาเรื่องให้ตนเองต้องปวดหัว อย่างเช่นชอบไปแข่งกับพวกของเต๋อกุ้ยไทเฟยและฉีกุ้ยไทเฟยเมื่อนางชนะก็จะดีใจจนกระโดดโลดเต้น พอแพ้ไป นางก็พองแก้มและอารมณ์เสียอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็จบเรื่องไปที่นางถูกเจียอี้และเซี่ยอวี้นวางแผนหลอกลวงนั้น นางก็แค่โกรธไปไม่กี่วันเอง จากนั้นก็ลืมเรื่องนั้นไปเลย นางจะไม่เก็บเรื่องไม่ดีมาใส่ใจจนให้ตนเอง
เรื่องโรงงานเย็บปักถักร้อยไม่ว่าโดนด่าหรือมีคนเข้าใจด้วย ในที่สุดมันก็ขยายการประชาสัมพันธ์ออกไปโรงงานเย็บปักถักร้อยสามารถก่อตั้งเสร็จเรียบร้อยได้หลังปีใหม่ ทั้งนี้ต้องขอบคุณการกำกับดูแลของอาจารย์หยูและบวกกับดำเนินขั้นตอนทางเอกสารต่างๆ เสร็จสิ้นตั้งแต่เนิ่นๆ หัวหน้าลู่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดซื้อเสิ่นว่านจือโยนตัวเงินออกมาก้อนหนึ่งแล้วพูดอย่างใจปล้ำว่า "ถ้าไม่พอก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ"หัวหน้าลู่ไม่ได้ไปซื้อมันด้วยตนเอง แต่เป็นฮูหยินของหลี่เต๋อฮวย เจ้ากรมกระทรวงกลาโหมพาเขาไปด้วยสิ่งที่ใช้ตกแต่งพื้นที่ เครื่องนอน ผ้าปูที่นอน หม้อ กระทะ เครื่องทอผ้า ด้ายไหมหลากสี เข็ม ผ้าปัก ถัง กระโถนเป็นต้น ทุกอย่างที่คิดได้ หลี่ฮูหยินก็ซื้อมันหมดแล้วถึงยังไงแล้วนางหลี่ได้บริหารดูแลครอบครัวมานานหลายปี อีกอย่างคู่กับหัวหน้าลู่ที่ ผู้ดูแลกิจการทั่วไปของจวนอ๋อง ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างที่ต้องซื้อก็จะถูกจัดซื้อเรียบร้อย ของที่ต้องสั่งทำพิเศษนั้นก็จะถูกส่งมาหลังปีใหม่โรงงานเย็บปักถักร้อยตั้งชื่อว่าโรงงานซู่เจิน เขียนโดยเสิ่นชิงเหอ จากนั้นจึงสลักไว้บนแผ่นไม้ที่แขวนอยู่ที่ประตูโรงงานเย็บปักถักร้อย
ดวงตาของจ้านเป่ยว่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า "ข้ารู้ว่าข้าทำให้ท่าหมอต้องผิดหวัง ข้าเองก็รู้สึกเวียใจอย่างมากเช่นกัน""ตอนแรกทางตระกูลซ่งมองหาลูกเขย คนที่มาสู่ขอมีจำนวนนับไม่ถ้วนเลย แต่กลับเลือกเจ้า รู้หรือไม่ว่าซ่งฮูหยินเลือกเจ้าด้วยเหตุผลอันใด"เมื่อพูดถึงแม่ยายผู้ล่วงลับของเขา จ้านเป่ยว่างก็ส่งเสียงสะอื้น "รู้ขอรับ นางบอกว่าข้าติดดินและซื่อสัตย์ บวกกับข้าสัญญาว่าจะไม่แต่งอนุภรรยาเด็ดขาด... มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าผิดสัญญา ข้าขอโทษนาง""นั่นมันเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลคือเห็นๆ อยู่ว่าเจ้าเป็นลูกชายคนรองแต่กลับยินยอมแบกรับความรับผิดชอบที่สำคัญของตระกูล มันแสดงว่าเจ้าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ขอพูดตรงๆ ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่ตั้งหลักจวนแม่ทัพให้ใหม่อีกครั้ง ด้วยความสามารถของเจ้าคนเดียวมันยิ่งยากว่า ในกระบวนการที่ยากลำบากในการต่อสู้เพื่ออนาคตของเจา นางคิดว่าเจ้าจะเป็นคนเหมือนแม่ทัพซ่งฮวยอันในอดีต ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าและมีใจหนักแน่น เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้คนซื่อตรงและมีความรับผิดชอบนั้นมักจะทำเช่นนี้ หากเจ้าดูแลเรื่องฝ่ายนอก ส่วนซีซีดูแลกิจการฝ่ายใน เจ้าหาใช่ว่าจะประสบความสำเร็จสูงนัก
จ้านเป่ยว่างออกจากร้านขายยาเย่าหวังด้วยความสิ้นหวังหงเชวี่ยเข้ามาถามว่า "อาจารย์ เหตุใดท่านจึงต้องพูดกับเขามากขนาดนี้?"หงเชวี่ยไม่เข้าใจ อาจารย์รำคาญกับคนในจวนแม่ทัพมากที่สุด เขามักจะปฏิเสธที่จะพูดอะไรกับพวกเขาด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับสละเวลาที่พักผ่อนเพื่อพูดตักเตือนเขาหมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจเบาๆ "ไม่ต้องการให้คนในโลกคิดว่าซ่งฮูหยินไม่เพียงแต่ตาบอดและยังซื่อไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง อาจารย์ก็ไม่ชอบได้ยินคนอื่นต่อว่านางแบบนี้"เขาลุกขึ้นยืนวางถ่านไฟชิ้นหนึ่งลงในเตาถ่านแล้วเอามือไปเข้าใกล้เพื่อทำให้อุ่น "นอกจากนี้ เขาไม่ใช่คนชั่วร้ายถึงขั้นร้ายแรงจริงๆ เขาสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งถูกและผิดได้ด้วย คุณชายสามของตระกูลเซียวเพื่อช่วยเขาต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง หากไม่ตักเตือนเขา ให้ถูกหลอกไปต้องทำผิดตลอดไป งั้นแขนที่คุณชายสามเสียไปนั้นก็เท่ากับเสียเปล่า""อาจารย์ ยังมีเรื่องอย่างอื่นหรือเปล่า?" หงเชวี่ยมักรู้สึกว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น เนื่องจากหากอาจารย์เกลียดบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เขาจึงจะไม่มีทางพูดอะไรกับคนๆ นั้นมากนักหมอมหัศจรรย์ดันมีดวงตาสีเข้ม "อย่าถามเลย หวังว่าจะใช้งานไม่ได้"จ้านเป่ยว่าง
ในคืนแรม ๑๐ ค่ำเดือนสิบสอง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็มองเห็นภาพหลอนขึ้นจริงๆ ร่างกายของนางดูเหมือนจะหายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถลุกขึ้นนั่งชี้ด่าอากาศ "ไสหัวออกไป ไสหัวออกไป พวกสวะไร้ประโยชน์ พวกเจ้าต่างเป็นสวะไร้ประโยชน์""นางหมิน เจ้ากล้ามาก เจ้ากล้าบีบคอข้า? เจ้ามันอกตัญญู..."มือทั้งสองข้างของนางจับคอ เหมือนกับกำลังดิ้นรนอย่างนั้น อึดอัดจนหน้าแดงก่ำแต่เพราะท่านหมอได้บอกอาการของนางไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นทุกคนเลยไม่คิดว่านางจะเห็นผี จากนั้นจ้านเป่ยว่างก็ไปเอามือของนางออก และเรียกขึ้นเสียงดัง "ท่านแม่ ไม่มีใครขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ได้มาที่นี่ขอรับ""นางมาแก้แค้นข้า นางแค้นข้า" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านจับแขนเสื้อของจ้านเป่ยว่าง และความดุร้ายบนใบหน้าของนางก็กลายเป็นความหวาดกลัว "เจ้าบอกกับนาง ข้าแค่จะให้นางรู้กฎเกณฑ์เท่านั้น ข้าต้องการสั่งสอนนาง อ้า... ไปให้พ้น นางหมิน เจ้ากล้ามาก"มือของนางยังคงปัดไปมาไม่หยุด และตบลงไปบนหน้าของจ้านเป่ยว่าง จ้านเปยว่างเองก็ไม่ขยับ ปล่อยให้นางตบอย่างนั้นหลังจากดิ้นอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดถึงจะสงบลง แต่ลมหายใจของนางกลับแผ่วเบาแล้วบางครั้งนางก็มีสติ ลืมตามองผ
ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง
ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก