ตระกูลกู้ส่งเงินจำนวนห้าหมื่นตำลึงโดยบอกว่าใช้เพื่อชำระหนี้ให้กับผู้หญิงเหล่านั้น กู้ฮูหยินเอาแต่บอกว่าตนเองยากจน บอกว่าพวกเขามีเงินไม่มากนักอยู่แล้ว เงินจำนวนห้าหมื่นตำลึงนั้นถือว่าทำให้คระกูลหมดตัวไปเลยซ่งซีซีหยุดไม่ให้นางบ่นต่อไป "ฝ่าบาททรงสั่งให้พวกเจ้าออกเงินหนึ่งแสนตำลึง ขาดเบี้ยเดียวก็มิได้ อีกสามวันข้างหน้า บุตรชายของเจ้าจะถูกประหารชีวิต คนตระกูลกู้สามารถเข้าไปพบเขาเป็นครั้งสุดท้ายได้"แน่นอนว่ากู้ฮูหยินต้องการไปพบ บุตรชายที่นางเลี้ยงดูอย่างยากบาก ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของคุณท่านกู้ นางก็ยังคงร้องห่มร้องไห้ว่า "ไม่เจอแล้ว เจอแล้วมันจะได้อะไร มีแต่เพิ่มความเจ็บ...ความโกรธไปเปล่าๆ เท่านั้น เขาทำเรื่องแบบนั้นไป และตระกูลกู้ของเรารับไม่ได้""ใช่ เขามีโทษร้ายแรง ไม่เจอดีกว่า" คุณท่านกู้ก็พูดเช่นเดียวกันตอนนี้พวกเขาอยากจะขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับฝู้หม่ากู้มากกว่า ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สงสารลูก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องตาย ดังนั้นอย่าเอาครอบครัวไปพัวพันจะดีกว่าซ่งซีซีแค่มีหน้าที่มาแจ้งให้พวกเขาทราบ มันขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะตัดสินใจว่าจะพบหรือไม่ ในเมื่อไม่อยากเจอ งั้นรับเงินเสร็จ
ซ่งซีซีมองเขาอย่างเย็นชา "ข้านึกว่าใต้เท้าฉีเป็นคนมีเหตุผลและรู้ความ แต่ข้าคิดผิดไปเอง คำว่ามิใช่เหยื่อที่พูดออกมาจากปากของเจ้าอย่างสบายๆ นั้น เจ้ารู้ไหมว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อคนมากเท่าไร ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเหล่านี้ แต่ยังรวมถึงตระกูลขุนนางก็พวกนางเคยอาศัยอยู่ด้วยก็ต้องเดือดร้อนไป"ไม่ใช่ว่าซ่งซีซีต้องการมีปัญหากับเขา และไม่ใช่อยากดุเขาเพื่อระบายความโกรธ แต่เป็นเพราะว่าตอนนี้เขาเป็นคนสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท คำพูดเหล่านี้เขาสามารถพูดกับนางได้ ก็หมายความว่าเขาอาจจะพูดกับฝ่าบาทเช่นกันตอนนี้ฝ่าบาทกำลังคิดที่จะสร้างชื่อเสียงที่ดี พอผ่านไปอีกสองปีเมื่อตั้งรากฐานมั่นคง หากเขาคิดถึงคำพูดของเขา ไม่อาจรับประกันว่าเขาจะไม่เกิดความคิดกำจัดอันตรายที่แอบแฝงให้สิ้นซาก งั้นพวกนางก็จะไม่มีทางอยู่รอดได้ฉีหลิงซีรู้ด้วยว่าเมื่อกี้เขาพูดผิดไป ไม่กล้าที่จะพูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีก "ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าซ่งตกลงที่จะช่วยข้าคุยกับเจ้าอาวาสและปล่อยให้เด็กอาศัยอยู่ในสำนักแม่ชีในฐานะเด็กกำพร้าได้หรือไม่? อันที่จริงทำแบบนี้ก็หวังดีกับนางด้วย อย่างน้อยแม่ลูกสองคนก็สามารถอยู่ด้วยกันได้""ถ้านี่เป็นกา
เสิ่นว่านจือเดินออกมาและถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?"ซ่งซีซีเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ ด้วยน้ำเสียงไม่ดีเท่าไร "เจ้ากรมฉีเคยบอกว่าข้างกายเขามีเด็กไม่ได้ ตอนนี้จะส่งเด็กมาที่นี่ การเป็นเจ้ากรมกลับกลับคำพูด ไม่สามารถจัดที่อยุ่ให้เด็กของตนเองด้วยซ้ำ ทำไมให้เด็กมาโลกนี้ล่ะ เด็กไม่รู้เรื่องอะไรเลย"เสิ่นว่านจือก็โมโหกับคนแบบนี้เช่นกัน "คาดว่าที่บอกว่าตนเองจะจัดการเองคงพูดด้วยอารมณ์ หลังจากกลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วถึงพบวว่ามันใช้ไม่ได้ ดังนั้นจึงมาขอเจ้าถึงสำนักแม่ชี แต่ส่งมาให้แล้วกลับให้แม่ลูกอยู่ด้วยกันไม่ได้ ใช้ตัวตนเป็นเด็กกำพร้าให้เจ้าอาวาสเลี้ยงดู บ้าจริงๆ มีพ่อแม่ชัดๆ กลับให้เป็นเด็กกำพร้า เจ้ากรมฉีนี่กำลังแช่งตัวเองเหรอ?"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ช่างเถอะ เราแค่ทำหน้าที่ให้จัดการกับคนที่ต้องจัดการให้ดี หากตระกูลฉีไม่อยากเลี้ยงเด็กคนนั้น งั้นก็เลี้ยงไว้ที่สำนักแม่ชีแทน จริงๆ แล้วสำหรับฮูหยินเจ้ากรม ไม่ว่าจะเป็นกู้ชิงเมี่ยวหรือเด็กคนนี้ พวกเขาทั้งคู่มันอย่างกับสิ่งแทงใจ""จริงด้วย ความสุขที่พังไปแล้วยังเรียกว่ามีความสุขอยู่หรือเปล่า นางไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เหรอ?""มีแต่นางเองที่รู้""จริงสิ" เ
ในขณะนี้ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือต่างก็รู้สึกอึดอัดใจมาก"หยงโน่ เราจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว หนูจะไปกับน้าหรือเปล่า" เสิ่นว่านจือสงบลงและถามเด็กหญิงตัวเล็กๆ เบาๆเด็กหญิงวัยหนึ่งขวบยังพูดไม่คล่องนัก เอาแต่พูดว่าจะตามหาแม่เสิ่นว่านจือตอบด้วยรอยยิ้ม "ได้ ไปหาแม่นะ"นางและซ่งซีซีมองหน้ากัน ทั้งคู่หนักใจเล็กน้อย เพราะแม้ว่าจะไป นางก็จะอยู่กับเจ้าอาวาสหรือมีคนอื่นดูแลนาง และไม่สามารถอยู่ข้างกายกู้ชิงเมี่ยวได้พี่เลี้ยงเด็กหาสายรัดมาให้เด็กขี่หลังเสิ่นว่านจือไว้ พี่เลี้ยงเด็กไม่ได้ไปด้วย หยงโน่ร้องไห้อยู่นาง หลังจากถูกเสิ่นว่านจือกล่อมให้หยุด จากนั้นเสิ่นว่านจือถึงนำม้าออกมาทันทีที่มาถึงด้านนอกหมู่บ้านจาว ก็เห็นรถม้าจอดอยู่ข้างนอก ซ่งซีซีเหลือบมองตราสัญลักษณ์บนรถม้าซึ่งเป็นของจวนเจ้ากรมฉีนางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นั่นคือเจ้ากรมฉีหรือฉีหลิงซี? หรือว่าจะเป็น?เสิ่นว่านจือก็เห็นมันเช่นกัน นางทำกำลังจูงม้า ฝีเท้าหยุดลง จากนั้นเอื้อมมือไปตบก้นของหยงโน่เพื่อไม่ให้นางเคลื่อนไหวตลอดม่านรถม้าเปิดออกในเวลาต่อมา เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ซีดเซียวนางสวมชุดผ้าสีฟ้า และมวยของนางก็ตกแต่งด้วยไข่มุกอย่
ซ่งซีซีตกตะลึงและแทบไม่น่าเชื่อ "เอากลับไป ฮูหยิน เด็กคนนี้ไม่ใช่... ทำไมเจ้าถึงอยากพาเด็กกลับไป?"นางอยากจะบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กของเจ้ากรมฉี แต่โกหกไม่ลงคอจริงๆ และฉีฮูหยินใหญ่สามารถมาที่นี่ได้คงจะรู้หมดแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะพูดโกหกนาง"แน่นอนว่าพานางกลับไปเลี้ยงดู เด็กน้อยเช่นนี้ถูกส่งไปสำนักแม่ชีจะทนความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร" นางยิ้มอย่างน่าสมเพช "เด็กไม่ได้ทำผิดอะไร นางเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกตัวต้นไม่ได้ คนที่ทำผิดคือผู้ใหญ่ เป็นคนทำผิดก็ต้องรับผิดชอบผที่ตามมา"ซ่งซีซีเห็นด้วยกับคำพูดของนางและชื่นชมนางมาก "เจ้ากรมฉีรู้ไหมว่าเจ้ามาที่นี่ เขา... รู้ว่าเจ้าได้รู้เรื่องนี้ไหม"ฉีฮูหยินใหญ่น้ำตาคลอเบ้า แต่ก็ไม่ได้ไหลออกมา "เขาคิดว่าเขาหลอกข้าได้สำเร็จ และตอนแรกๆ ข้าก็เชื่อเขา แต่หลังจากคิดเรื่องนี้อย่างดีๆ แล้ว ก็เข้าใจทุกอย่าง เข้าใจได้ไม่ยากเลยหรอก ใช่ไหม""ถ้าเจ้าเอาเด็กกลับไป เขาอาจจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจก็ได้นะ พานางกลับบ้านหมายความว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปกปิดได้อีก""ข้าได้เตรียมตัวมาอย่างดีแล้วถึงมา ถ้าอยากจะซ่อนก็มีวิธีซ่อนได้แหละ ก็บอกว่าเป็นลูกของอนุเฉินแล้วกัน ถึงย
ในเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์สีทองค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้ามีสีสันซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือขี่ม้าลงมาจากภูเขา แม้ว่าคดีจะยังไม่จบ แต่ก็ถือยุติลงในชั่วคราวและสามารถผ่อนคลายได้เล็กน้อย"ฝู้หม่ากู้จะถูกประหารชีวิตในวันพรุ่งนี้ เจ้าคิดว่าตระกูลกู้จะมาเก็บศพของเขาหรือไม่" เสิ่นว่านจือถาม"ก็ไม่รู้นี่" ซ่งซีซีกำลังคิดถึงเรื่องที่ฉีฮูหยินใหญ่จะพาเด็กกลับบ้านเสิ่นว่านจือรู้จักนางเป็นอย่างดี "ฉีฮูหยินใหญ่คนนั้นต้องการรับเด็กกลับจริงๆ หรือ?""นางพูดไปอย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดจะอารมณ์ชั่ววูบหรือไม่"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "แม้ว่าเด็กๆ จะเป็นเหยื่อที่ถูกเซี่ยอวี้นทำร้าย และไม่ใช่ฝ่ายผิด แต่ทำไมต้องให้ฉีฮูหยินใหญ่ทนกับผลที่ตามมาทั้งหมดนี้ สำหรับฉีฮูหยินใหญ่ การปรากฏตัวของเด็กคนนี้ทำให้ชีวิตของนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจมาก ความงดงามแห่งอดีตกลายเป็นภาพหลอนอันน่าเศร้ายิ่งนัก""นางถามในรถม้าว่าหากข้าเป็นนางข้าจะทำอย่างไร" ซ่งซีซีปล่อยให้ม้าเดินต่อไปอย่างสบายๆ สายฟ้าเดินบนถนนบนภูเขาค่อนข้างคงที่ "เจ้าคิดว่าถ้าศิษย์น้องมีบ้านเล็กอยู่ข้างนอกแล้วมีลูกด้วย ข้าจะทำอย่างไร?"เสิ่นว่านจือพูดโดยไม่ต้
นางนั่งลงก่อนแล้วจึงสั่งอย่างใจเย็น "หลิงซีปิดประตู เราสามคนนั่งลง มีเรื่องจะคุยด้วย"ฉีหลิงซีก็มองออกว่ามีอะไรผิดปกติ เขามองไปที่ท่านพ่ออย่างสงสัย และเห็นว่าท่านพ่อเม้มริมฝีปากแน่นด้วย ดูสับสนและวุ่นวายใจเขาปิดประตูแล้วเดินกลับด้วยฝีเท้าหนักอึ้งฉีฮูหยินใหญ่วางมือข้างหนึ่งไว้บนที่วางแขนและอีกข้างหนึ่งอยู่ข้างหน้า หลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่ง สามีภรรยารักใคร่กัน ดังนั้นนางจึงดูอ่อนกว่าวัยกว่าคนรอบข้าง มีรูปร่างอวบอิ่ม แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นผู้ดี เพียงแต่ช่วงนี้จะดูซีดเซียวนิดหน่อยนางมองไปที่เจ้ากรมฉี ราวกับกำลังเล่าถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ "วันนี้ข้าได้พบกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง"เจ้ากรมฉีดูเหมือนถูกงูพิษกัดอย่างแรง เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจและพูดว่า "นางไปหาเจ้าหรือ นางได้บอกข่าวลืออะไรกับเจ้า ไม่ว่านางจะพูดอะไร ฮูหยินอย่าไปเชื่อใจนางเลย นางไว้ใจไม่ได้"ฉีฮูหยินใหญ่มองดูเขา ดวงตาที่ไม่มืดทะมึนอีกแต่กลับสง่างามเป็นพิเศษ "แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยรู้จักกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง แต่ข้ารู้ว่านางไม่ใช่คนแบบนั้น นอกจากนี้ ไม่ใช่นางมาหาข้า แต่เป็นข้าไปบ้านพักจ่าวจวงแล้วพบนางไปรับเด็ก"ริมฝีปา
วันรุ่งขึ้น ฉีหลิงซีไปที่สำนักแม่ชีหลี่ซุยเพื่อรับฉีหยงโน่ซ่งซีซีอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงขอคุยกับซ่งซีซีตามลำพัง "ใต้เท้าซ่งวางใจได้ ท่านแม่ของข้าจะปฏิบัติต่อนางอย่างดีแน่นอน และจะไม่ทำให้นางลำบากใจ ข้ามีน้องต่างแม่ด้วย ท่านแม่ใจดีกับพวกเขาตลอด"ซ่งซีซีพูดตรงๆ "ข้าได้พูดคุยกับแม่ของเจ้ามา ไม่ได้กังวลว่าแม่ของเจ้าจะปฏิบัติต่อเด็กไม่ดี มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าอยากจะบอกเจ้าให้ชัดเจน เมื่อวาน แม่ของเจ้าถามข้าว่าเด็กคนนี้ชื่ออะไร ข้าบอกนางว่าเด็กคนนี้ชื่อเสี่ยวเฉา ส่วนจะให้เด็กชื่ออะไร หลังกลับไปพวกเจ้าจะใช้ชื่อฉีหยงโน่อีกหรือไม่ก็ตัดสินใจเองแล้วกัน"ฉีหลิงซีถอนหายใจเล็กน้อย "ขอบคุณใต้เท้าซ่ง""ถึงยังไงพวกเจ้าจะพาเด็กกลับไป จะให้นางพบกับกู้ชิงเมี่ยวสักครั้งหรือไม่"ฉีหลิงซีพยักหน้า "ได้ จริงๆ แล้วเมื่อวานนี้ท่านแม่ก็พูดด้วยว่าถ้าท่านพ่อต้องการนำนางกลับบ้าง ท่านแม่ก็ยินยอม"ซ่งซีซีมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ใต้เท้าฉีไม่ใช่คนเรียบง่ายขนาดนั้น นั่นคือแม่ของเจ้า โปรดเห็นใจนางบ้างเถอะ คำนึงถึงความรู้สึกของนางด้วย"ฉีหลิงซีรีบอธิบายขึ้นมา "ใต้เท้าซ่งอย่าเข้าใจข้าผิด ท่านแม่ของข้ามิได้ตระหนี่ขนา