ฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซีไม่ใช่คนไมเธอรู้่รู้ความ นางรู้ดีว่าลูกสาวตนเองมีนิสัยอย่างไร แต่เมื่อเห็นนางกลับมาพลางร้องไห้ในขณะตั้งท้องอย่างนั้นก็อดใจอ่อนลงไม่ได้เพราะช่วงนี้นาง ชไม่ก่อปัญหาใดๆ เลย เรื่องในอดีตก็ถือว่าผ่านไปแล้ว ผู้เป็นแม่จะคิดเล็กคิดน้อยกับลูกตนเองได้อย่างไรดังนั้น หลังจากได้ยินหวังชิงหลูพูดว่าจ้านเป่ยว่างละเลยนาง และนางกลับบ้านพ่อแม่ทั้งๆ ที่ยังตั้งท้องอยู่กลับไม่สนใจใยดี นางเลยส่งคนไปตามหาลูกสะใภ้มา เพื่อให้ช่วยหาทางออกมาจัดการเรื่องระหว่างนางกับสามีนางเมื่อนางจีมาถึง นางหลานจากห้องสองก็นั่งอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว"พี่สะใภ้มาแล้ว!" นางหลานยืนขึ้นและแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าพี่สะใภ้ยังไม่มา นางก็ต้องหาทางหลบหนีแล้วนางจีพยักหน้าให้นาง แล้วคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่า "คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ""อืม เจ้ามาพอดีเลย" ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนที่นั่งหลักด้วยสีหน้าจริงจัง ข้างๆ นางคือหวังชิงหลู ซึ่งยังคงร้องไห้อยู่ เนื่องจากหวังชิงหลูกำลังตั้งครรภ์ นางแค่เรียก "พี่สะใภ้" แล้วไม่ได้ยืนขึ้นไหว้นางนางจีนั่งลง เงยหน้าขึ้นมองหวังชิงหลู แล้วถามโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย "คุณหน
หลังจากได้ยินดังนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็โกรธมากจนเกือบหัวใจวาย นางชี้ไปที่หวังชิงหลูพลางตะโกนด้วยความโมโห "มันไร้สาระจริงๆ การเลื่อนตำแหน่งของลูกเขยไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไร? ทำไมเจ้าต้องพูดไม่น่าฟังอย่างนั้น เอาแต่พูดถึงพระชายาเพื่ออะไร เขาจะชอบที่เจ้าพูดแบบนี้ไหม อีกอย่างแม่เคยสอนเจ้าในฐานะภรรยาจะไปตบหน้าสามีเมื่อไรกัน ยังมีหน้ากลับมาร้องห่มร้องไห้อีก ข้ายังว่าอยู่ว่าเขาทะเลาะกับเจ้าเพราะเรื่องที่เจ้าว่าในก่อนหน้านี้ แต่แล้วนี่มันเจ้าเล่นแง่เอาแต่ใจจริงๆ เขาได้รับบาดเจ็บ เจ้าเป็นภรรยาเขาไม่ดูแลเขาอย่างดี กลับตบหน้าเขาเพราะคำพูดไม่กี่คำเอง เจ้านี่หังแข็งไม่เปลี่ยนเลย เจ้าอยากให้ข้าโกรธจนหัววายตายหรือไง"หวังชิงหลูก้มหัวลง แต่ก็ยังรู้สึกน้อยใจมาก นางไม่กล้าอาละวาด แต่แค่พูดสำลัก "ท่านแม่ พี่สะใภ้ หาใช่ว่าข้าอยากทะเลาะกับเขา ข้าตั้งครรภ์คอย่างลากลำบากเช่นนี้ แต่ในใจของเขากลับมีซ่ง...อดีตภรรยา แล้วให้ใครยอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ"นางจียังคงเงียบ นางไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้ แม่สามีของนางค่อนข้างมีเหตุผล นับจากนี้ไป เรื่องของหวังชิงหลูก็ปล่อยให้ท่านแม่ไปจัดการ นางก็นั่งฟังเฉยๆ ก็พอฮูหยิน
ซ่งซีซีไม่รู้ว่าหวังชิงหลูกลับบ้านพ่อแม่ของนางแล้ว นางมาเพราะมีเรื่องจะบอกนางจี เหตุผลที่เลือกมาตอนกลางคืนก็เพราะนางต้องจัดการคดีในตอนกลางวันนอกจากนี้ จวนป๋อผิงซีไม่มีการติดต่อใกล้ชิดกับจวนองค์หญิง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนเพื่อซักถาม หากมาในระหว่างวัน งั้นต้องนำกองกำลังเมืองหลวงไปด้วยเหมือนกับการไปจวนอื่นๆ มิฉะนั้นจะถูกมองว่าได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปเมื่อเห็นซ่งซีซีอย่ในชุดสตรีและไม่ใช่เครื่องแบบข้าราชการ นางจีก็โล่งใจเล็กน้อยและพูดอย่างสุภาพ "คารวะพระชายา คารวะคุณหนูเสิ่น!""คารวะฮูหยิน!" เสิ่นว่านจือชอบนางจีเป็นพิเศษ แม้ว่าวันนี้นางจะเหนื่อยมาก แต่เมื่อได้ยินซีซีจะไปจวนป๋อผิงซี นางก็เลยตามนางมา"เชิญนั่งเร็วๆ !" นางจีทักทายด้วยรอยยิ้มและสั่งให้คนรับใช้นำน้ำชามาให้หลังจากนั่งลงแล้ว นางจีก็พูดว่า "ถ้าพระชายามีอะไรแค่ส่งคนมาบอกข้าจะไปหาเองเลย ทำไมต้องให้พระชายามาด้วยตนเองเล่า""ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อบอกเจ้าสักสองสามคำ" ซ่งซีซีเหลือบมองผู้คนที่รออยู่ห้องโถงหลัก "ให้พวกเขาออกไปได้ไหม"นางจีขยิบตาให้จินซิ่ว จินซิ่วพูดทันที "ทุกคนออ
นางจีจับที่วางแขนของเก้าอี้แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยสีหน้าของนางก็ดูซับซ้อนเช่นกันภรรยาย่อมรู้จักสามีตนเองเป็นอย่างดีเมื่อเขาไปเฝ้าเขตหนานเจียง เขาได้นำอนุภรรยาสองคนไปด้วย แต่เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็รับผู้หญิงเพิ่มอีกสองคน แม้ว่ายังไม่แต่งตั้งตำแหน่งให้ แต่เนื่องจากได้รับมแล้ว ฐานะอนุก็ต้องแต่งตั้งให้ในไม่ช้าก็เร็วนางเข้มงวดมากในการบริหารครอบครัว และอนุภรรยาในจวนต่างก็เชื่อฟังและนับถือนาง เพราะงั้นจวนป๋อผิงซีจึงไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องอนุภรรยาที่ก่อปัญหานางเกือบจะรับประกันได้ว่าหากกู้ชิงหวู่เข้าใกล้เขาได้ นางไม่จำเป็นต้องไปเอาใจเขา แค่แสดงใบหน้าของหญิงงามเมืองนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาตกหลุมรักเสิ่นว่านจือมองดูสีหน้าของนางจี และดูท่านางรู้ว่าหวังเบียวไม่สามารถต้านทานความงามของกู้ชิงหวู่ได้เสิ่นว่านจือคิดว่ามันค่อนข้างน่าเศร้า นางจีเป็นคนเยี่ยมมาก แต่นางไม่ได้พบกับผู้ชายดีๆ เลย แม้ว่าหวังเบียวจะเป็นผู้บัญชาการที่เฝ้าเขตหนานเจียง แต่เขาก็ไม่คู่ควรกับนางนางทำงานอย่างหนักเพื่อจัดการทั้งเรื่องภายในและภายนอกจวนในเมืองหลวง รับใช้แม่สามี แก้ปัญหาให้น้องสามี และต่อต้านผู้คนและสิ่งของ
จินซิ่วก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อพยุงนางพร้อมกับหงเอ๋อร์ และพูดว่า "หมอบอกว่าคุณหนูไม่ควรเคลื่อนไหวมากเกินไป รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ แค่ให้ฮูหยินไปส่งพระชายาก็พอ ท่านไม่ต้องไปส่งด้วย"คำว่า "พระชายา" ทำให้หวังชิงหลูกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางตระหนักว่าตนเองหุนหันพลันแล่นไป ถ้าพี่สะใภ้ต้องการพูดถึงเรื่องของนางจะให้ซ่งซีซีมาถึงที่ได้อย่างไร เกรงว่ามาเพราะการกบฏขององค์หญิงใหญ่นางรู้สึกอึดอัดใจมากและวุานวายใจ จากนั้นไหว้ให้กับซ่งซีซีอย่างขอไปที่ก่อนจะจากไปซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมองหน้ากัน นางเป็นบ้าอะไรอีก?ขณะที่นางจีส่งพวกนางออกไป เสิ่นว่านจือก็ถามว่า "นี่ก็ดึกแล้วทำไมคุณหนูของพวกเจ้ายังอยู่นี่ล่ะ กลับมาพักที่บ้านพ่อแม่เหรอ ทะเลาะกับสามีงั้นเหรอ"ไม่ใช่ว่าเสิ่นว่านจืออยากรู้อยากเห็น เป็นเพราะหวังชิงหลูชอบหาเรื่องจริงๆ เมื่อกี้จู่ๆ ก็พูดอย่างก้าวร้าว บอกว่าเรื่องกับจ้านเป่ยว่าง เห็นๆ อยู่ว่าต้องเกี่ยวข้องกับซีซี นางเลยถามอย่างนั้นนางจีรู้ดีว่าไม่ควรเปิดเผยความอัปลักษณ์ของครอบครัวต่อสาธารณะ แต่พวกนางทุกคนรู้ถึงธาตุแท้ของหวังชิงหลู ดังนั้นจึงอาจพูดตรงๆ ว่า "ต้องมาขายหน้าต่อพระชายาและคุณห
หลายวันต่อมา ผู้คนในจวนองค์หญิงใหญ่ต่างก็ได้รับการสอบสวนแล้ว เซี่ยหลูโม่คิดว่าถึงเวลาที่จะสอบปากคำเซี่ยอวี้นแล้ววันนี้ ซ่งซีซีไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อตามหาท่านหญิงเจียอี้ ส่วนเซี่ยหลูโม่สอบปากคำเซี่ยอวี้น และทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันหลังจากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินเป็นเวลาห้าหกวัน แรกๆ เซี่ยอวี้นยังคงแสร้งทำเป็นบ้า แต่หลังจากตระหนักว่าแผนไม่ได้ผล นาง ก็หยุดเอะอะและดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างใจเย็นอย่างน้อยมองจากภายนอกคือเป็นเช่นนั้นในห้องสอบสวน อาหลานสองคนนั่งหันหลังให้กันเซี่ยอวี้นยังคงสวมชุดธรรมดาในคืนเทศกาลหันอี้ แค่อยู่ในคุกใต้ดินเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เสื้อผ้าก็มีรอยยับ และทรงผมก็หลวม ท่าทางของนางดูไร้ชีวิตชีวา ใต้ตาลึกคล้ำและทรุดตัวลง เมื่อมองดูรูปร่างของนาง ไม่กี่วันมานนี้นางผอมลงมาก ทำให้ผิวหน้าดูหย่อนคล้อย ทำเอานางดูแก่กว่าห้าปีในชั่วพริบตาจู่ๆ นางก็ผอมลงในวัยกลางคน และทำให้ก็ดูใจร้ายมาก โดยเฉพาะนิสัยของนางร้ายกาจอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ใจตรงกับหน้าตาแล้วเซี่ยหลูโม่พูดก่อนว่า "ที่ผ่านมา เจ้าขังพวกอนุภรรยาเหล่านั้นไว้ในคุกใต้ดิน แต่ตอนนี้เจ้าก็มีโอกาสพักอยู่ในคุกด้วย
เซี่ยอวี้นเอียงหัว หยุดหัวเราะ และพูดอย่างจริงจัง "ก็อาจารย์หยู ในจวนของเจ้าทำหน้าที่ติดต่อกับข้ามาโดยตลอดไง เจ้าลืมไปแล้วเหรอ? เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถแสดงตนได้ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนคนอื่นมาจับจุดอ่อนได้ ดังนั้นครั้งแรกที่เจ้าบอกข้าว่าเจ้าต้องการก่อกบฏ เรื่องทั้งหมดก็มอบให้อาจารย์หยูมารับผิดชอบ เจ้าไปนำตัวอาจารย์หยูมาสอบสวน ให้ใช้วิธีทรมานสุดๆ เลย เช่นนี้ก็รู้ความจริงแล้วนี่ ใช่แล้ว หลังจากเจ้ากลับมาจากสนามรบ และคนที่รับผิดชอบติดต่อข้านอกจากอาจารย์หยูแล้ว ยังมีซ่งซีซี อาวุธเหล่านั้นก็เป็นนางที่ให้นักรบจากแวดวงการต่อสู้ให้ส่งมามิใช่หรือ จับตัวนาง สอบสวนให้ดีๆ นางก็จะยอมรับแน่ๆ"นางพูดพลางยิ้มกว้าง "แต่ถ้าเจ้าไม่สอบสวนพวกเขาอย่างหนักหน่วงด้วยวิธีรุนแรง งั้นเจ้าก็ทำกับข้าไม่ได้เช่นกัน นั่นเป็นการปฏิบัติที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ข้าชี้แจงว่าเจ้าคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อคดีนี้ได้ เปลี่ยนคนมาทำเถอะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ฝ่าบาทอ่านคำสารภาพของเจ้าแล้วพระองค์จะตัดสินเอง หากพระองค์คิดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนคน งั้นคนที่มาสอบสวน
เซี่ยหลูโม่ยิ้มให้นางโดยเผยให้เห็นฟันขาวสองแถว "การสอบสวนของข้าพอแค่นี้""แค่นี้เหรอ?" เซี่ยอวี้นยิ้มเยาะ "จะไม่ถามต่อเหรอ? มาต่อสิ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "วางใจได้เลย ข้าไม่สอบสวน เดี๋ยวมีคนอื่นมาสอบสวนแทน เจ้าเตรียมใจไว้เลย คืนนี้อาจจะอดนอน"เซี่ยอวี้นจ้องมองเขาอย่างดุเดือด "เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวงั้นหรือ? ไม่ว่าใครมาถามก็มีคำตอบเดียว เซี่ยหลูโม่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เจ้ากำลังคิดอะไร เจ้ามันผู้ก่อกบฏอย่าคิดจะเอาตัวรอด ข้าจะกัดเจ้าไม่ปล่อย มีกลอุบายอะไรก็เอาเลย""ไม่มีกลอุบายอะไร ทุกอย่างได้รับการจัดการตามกฎหมาย" เซี่ยหลูโม่เดินออกไปเซี่ยหลูโม่ออกจากห้องสอบสวน และเฉินยีก็เข้าไปนั่ง"เซี่ยอวี้น ข้าไม่ได้มาเจ้าเกี่ยวกับคดีกบฏ เราพบศพหลายศพและโครงกระดูกทารกหลายสิบโครงจากบ่อน้ำในจวนของเจ้า เราได้สอบปากคำคนรับใช้ในจวนของเจ้าแล้ว พวกเขาทั้งหมดบอกว่าคนเหล่านี้ถูกเจ้าฆ่าตาย เจ้ายอมรับหรือไม่"เซี่ยอวี้นมองเฉินยีด้วยสายตาที่เยือกเย็น และเงียบพลางทำท่าดูถูกเฉินยีเอนหลังและพูดว่า "ไม่เป็น เรามีเวลาเล่นกับเจ้า!"ณ จวนโหวผิงหยาง ท่านหญิงเจียอี้กำลังจ้องมองซ่งซีซีด้วยสายตาอาฆาตโหวผิงหยางก็อยู
ภายใน ตำหนักฉางชุน มังกรดินใต้พื้นถูกจุดให้ความอบอุ่นทั่วทั้งห้อง ซ่งซีซีถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมาถึง นางกำนัลได้แจ้งว่าฮองเฮาเสด็จกลับไปเปลี่ยนเครื่องทรง ให้รอสักครู่ นางจึงนั่งรอโดยมิได้เร่งรีบ ขณะเดียวกัน ฉีฮองเฮากำลังกินรังนกอยู่ในตำหนักบรรทม นางไม่พอใจนักที่หลานเจี่ยนกูกูเร่งเร้าให้รีบออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ให้นางรอหน่อยแล้วอย่างไร?” หลานเจี่ยนกูกูเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ฮองเฮา ท่านทรงกล่าวมาตลอดว่า ไม่ควรทำให้พระชายาอ๋องขุ่นเคือง บัดนี้เมื่อทรงเชิญนางมาแล้ว ก็ควรพูดจากันดีๆ อธิบายเรื่องเข้าใจผิดให้กระจ่าง เรื่องก็จะจบลง” ฮองเฮาหัวเราะเยาะตนเอง ก่อนจะกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้าเองก็ได้ยินว่าตอนที่ข้าขอตัวออกมา ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า ต่อให้ซ่งซีซีจะตีหรือด่าข้า ข้าก็ต้องอดทนรับไว้ พระองค์มิได้เห็นข้าเป็นฮองเฮาเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากให้คนที่อยู่ในดวงใจของพระองค์ได้ระบายความโกรธออกมา” ฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ ดันถ้วยรังนกออกไป น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ “เขาทรงป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว หรือแท้จริงทรงโปรดปรานซ่ง
ปีนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในวัง เงียบเหงากว่าปีที่แล้วมาก ฮองเฮา แม้จะได้รับอนุญาตให้พ้นโทษกักบริเวณเป็นเวลา หนึ่งวัน แต่นางกลับแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องในใจมากมาย แม้แต่เหล่าพระโอรสพระธิดาที่เข้ามาทักทาย นางก็เพียงรับคำอย่างเรียบเฉย จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงอ่อนล้ายิ่งนัก ตั้งแต่เช้าตรู่ทรงต้องเสด็จออกประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์ วุ่นวายไปทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรง ไทเฮาเองก็ทรงได้รับลมเย็นจนประชวร จึงทรงลุกจากที่นั่งแต่เนิ่นๆ โดยมี สนมฮุ่ยไทเฟย ประคองกลับไปยังตำหนักฉืออัน ตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากงานฮองเฮารีบสั่งการทันที “พาองค์ชายใหญ่ ไปยังตำหนักฉืออันให้ไปอยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา” จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดพระขนง “เสด็จแม่ประชวร เจ้าให้เขาไปอยู่ด้วยทำไม?” ฮองเฮาสีพระพักตร์เคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จแม่ทรงรักและเอ็นดูเขานัก บัดนี้พระองค์ทรงประชวร เขาก็ต้องไปอยู่ข้างกาย คอยปรนนิบัติ” กล่าวจบ นางก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติพระอาการของไทเฮาแต่หม่อมฉันกลับไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ให้เขาทำหน้าที่กตัญญูแทนหม่อมฉันเถิด” จักร
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก