ในฐานะภรรยาไม่มีเหตุผลที่จะตบหน้าสามีของตนเอง อย่าว่าแต่จวนแม่ทัพที่เป็นตระกูลใหญ่ แม้แต่คนธรรมดาก็จะไม่สามารถตบหน้าโดยตรง โกรธมากสุดก็แค่ต่อยที่ร่างกายสักหน่อย เพราะหมัดของผู้หญิงก็มีแรงไม่มากนักการตบหน้าคือการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายมีคนรับใช้อยู่ข้างนอกด้วย งั้นจ้านเป่ยว่างยังจะมีเกียรติในจวนแห่งนี้ได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ การตบครั้งนี้ทำให้ความสุขที่หลงเหลืออยู่ในใจของจ้านเป่ยว่างหายไปจริงๆหวังชิงหลูกัดริมฝีปากและหลั่งน้ำตา นางรู้ดีว่าตนเองทำมากเกินไป แต่นางก็ไม่สามารถก้มหน้ากล่าวขอโทษให้"ช่างเถอะ เจ้าออกไปได้แล้ว" จ้านเป่ยว่างระงับความโกรธของเขาและไม่ต้องการโต้เถียงกับเขา ความทุกข์ใจจากความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาเขาทนมามากพอแล้ว มันกินพลังงานมากเกินไปหวังชิงหลูรู้สึกผิดเล็กน้อยหลังจากตบหน้าเขา แต่เมื่อได้ยินคำพูดเย็นชาของเขา ก็รู้สึกอึดอัดใจ "ข้ากำลังท้องอยู่ยังมาดูแลเจ้า อยากให้เจ้าพักฟื้นดีๆ จะได้หายไวๆ ไปขอบพระทัยฮ่องเต้เพื่อรับตำแหน่ง แต่ท่าทางของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก"จ้านเป่ยว่างหลับตา ไม
ฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซีไม่ใช่คนไมเธอรู้่รู้ความ นางรู้ดีว่าลูกสาวตนเองมีนิสัยอย่างไร แต่เมื่อเห็นนางกลับมาพลางร้องไห้ในขณะตั้งท้องอย่างนั้นก็อดใจอ่อนลงไม่ได้เพราะช่วงนี้นาง ชไม่ก่อปัญหาใดๆ เลย เรื่องในอดีตก็ถือว่าผ่านไปแล้ว ผู้เป็นแม่จะคิดเล็กคิดน้อยกับลูกตนเองได้อย่างไรดังนั้น หลังจากได้ยินหวังชิงหลูพูดว่าจ้านเป่ยว่างละเลยนาง และนางกลับบ้านพ่อแม่ทั้งๆ ที่ยังตั้งท้องอยู่กลับไม่สนใจใยดี นางเลยส่งคนไปตามหาลูกสะใภ้มา เพื่อให้ช่วยหาทางออกมาจัดการเรื่องระหว่างนางกับสามีนางเมื่อนางจีมาถึง นางหลานจากห้องสองก็นั่งอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว"พี่สะใภ้มาแล้ว!" นางหลานยืนขึ้นและแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าพี่สะใภ้ยังไม่มา นางก็ต้องหาทางหลบหนีแล้วนางจีพยักหน้าให้นาง แล้วคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่า "คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ""อืม เจ้ามาพอดีเลย" ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนที่นั่งหลักด้วยสีหน้าจริงจัง ข้างๆ นางคือหวังชิงหลู ซึ่งยังคงร้องไห้อยู่ เนื่องจากหวังชิงหลูกำลังตั้งครรภ์ นางแค่เรียก "พี่สะใภ้" แล้วไม่ได้ยืนขึ้นไหว้นางนางจีนั่งลง เงยหน้าขึ้นมองหวังชิงหลู แล้วถามโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย "คุณหน
หลังจากได้ยินดังนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็โกรธมากจนเกือบหัวใจวาย นางชี้ไปที่หวังชิงหลูพลางตะโกนด้วยความโมโห "มันไร้สาระจริงๆ การเลื่อนตำแหน่งของลูกเขยไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไร? ทำไมเจ้าต้องพูดไม่น่าฟังอย่างนั้น เอาแต่พูดถึงพระชายาเพื่ออะไร เขาจะชอบที่เจ้าพูดแบบนี้ไหม อีกอย่างแม่เคยสอนเจ้าในฐานะภรรยาจะไปตบหน้าสามีเมื่อไรกัน ยังมีหน้ากลับมาร้องห่มร้องไห้อีก ข้ายังว่าอยู่ว่าเขาทะเลาะกับเจ้าเพราะเรื่องที่เจ้าว่าในก่อนหน้านี้ แต่แล้วนี่มันเจ้าเล่นแง่เอาแต่ใจจริงๆ เขาได้รับบาดเจ็บ เจ้าเป็นภรรยาเขาไม่ดูแลเขาอย่างดี กลับตบหน้าเขาเพราะคำพูดไม่กี่คำเอง เจ้านี่หังแข็งไม่เปลี่ยนเลย เจ้าอยากให้ข้าโกรธจนหัววายตายหรือไง"หวังชิงหลูก้มหัวลง แต่ก็ยังรู้สึกน้อยใจมาก นางไม่กล้าอาละวาด แต่แค่พูดสำลัก "ท่านแม่ พี่สะใภ้ หาใช่ว่าข้าอยากทะเลาะกับเขา ข้าตั้งครรภ์คอย่างลากลำบากเช่นนี้ แต่ในใจของเขากลับมีซ่ง...อดีตภรรยา แล้วให้ใครยอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ"นางจียังคงเงียบ นางไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้ แม่สามีของนางค่อนข้างมีเหตุผล นับจากนี้ไป เรื่องของหวังชิงหลูก็ปล่อยให้ท่านแม่ไปจัดการ นางก็นั่งฟังเฉยๆ ก็พอฮูหยิน
ซ่งซีซีไม่รู้ว่าหวังชิงหลูกลับบ้านพ่อแม่ของนางแล้ว นางมาเพราะมีเรื่องจะบอกนางจี เหตุผลที่เลือกมาตอนกลางคืนก็เพราะนางต้องจัดการคดีในตอนกลางวันนอกจากนี้ จวนป๋อผิงซีไม่มีการติดต่อใกล้ชิดกับจวนองค์หญิง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนเพื่อซักถาม หากมาในระหว่างวัน งั้นต้องนำกองกำลังเมืองหลวงไปด้วยเหมือนกับการไปจวนอื่นๆ มิฉะนั้นจะถูกมองว่าได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปเมื่อเห็นซ่งซีซีอย่ในชุดสตรีและไม่ใช่เครื่องแบบข้าราชการ นางจีก็โล่งใจเล็กน้อยและพูดอย่างสุภาพ "คารวะพระชายา คารวะคุณหนูเสิ่น!""คารวะฮูหยิน!" เสิ่นว่านจือชอบนางจีเป็นพิเศษ แม้ว่าวันนี้นางจะเหนื่อยมาก แต่เมื่อได้ยินซีซีจะไปจวนป๋อผิงซี นางก็เลยตามนางมา"เชิญนั่งเร็วๆ !" นางจีทักทายด้วยรอยยิ้มและสั่งให้คนรับใช้นำน้ำชามาให้หลังจากนั่งลงแล้ว นางจีก็พูดว่า "ถ้าพระชายามีอะไรแค่ส่งคนมาบอกข้าจะไปหาเองเลย ทำไมต้องให้พระชายามาด้วยตนเองเล่า""ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อบอกเจ้าสักสองสามคำ" ซ่งซีซีเหลือบมองผู้คนที่รออยู่ห้องโถงหลัก "ให้พวกเขาออกไปได้ไหม"นางจีขยิบตาให้จินซิ่ว จินซิ่วพูดทันที "ทุกคนออ
นางจีจับที่วางแขนของเก้าอี้แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยสีหน้าของนางก็ดูซับซ้อนเช่นกันภรรยาย่อมรู้จักสามีตนเองเป็นอย่างดีเมื่อเขาไปเฝ้าเขตหนานเจียง เขาได้นำอนุภรรยาสองคนไปด้วย แต่เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็รับผู้หญิงเพิ่มอีกสองคน แม้ว่ายังไม่แต่งตั้งตำแหน่งให้ แต่เนื่องจากได้รับมแล้ว ฐานะอนุก็ต้องแต่งตั้งให้ในไม่ช้าก็เร็วนางเข้มงวดมากในการบริหารครอบครัว และอนุภรรยาในจวนต่างก็เชื่อฟังและนับถือนาง เพราะงั้นจวนป๋อผิงซีจึงไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องอนุภรรยาที่ก่อปัญหานางเกือบจะรับประกันได้ว่าหากกู้ชิงหวู่เข้าใกล้เขาได้ นางไม่จำเป็นต้องไปเอาใจเขา แค่แสดงใบหน้าของหญิงงามเมืองนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาตกหลุมรักเสิ่นว่านจือมองดูสีหน้าของนางจี และดูท่านางรู้ว่าหวังเบียวไม่สามารถต้านทานความงามของกู้ชิงหวู่ได้เสิ่นว่านจือคิดว่ามันค่อนข้างน่าเศร้า นางจีเป็นคนเยี่ยมมาก แต่นางไม่ได้พบกับผู้ชายดีๆ เลย แม้ว่าหวังเบียวจะเป็นผู้บัญชาการที่เฝ้าเขตหนานเจียง แต่เขาก็ไม่คู่ควรกับนางนางทำงานอย่างหนักเพื่อจัดการทั้งเรื่องภายในและภายนอกจวนในเมืองหลวง รับใช้แม่สามี แก้ปัญหาให้น้องสามี และต่อต้านผู้คนและสิ่งของ
จินซิ่วก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อพยุงนางพร้อมกับหงเอ๋อร์ และพูดว่า "หมอบอกว่าคุณหนูไม่ควรเคลื่อนไหวมากเกินไป รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ แค่ให้ฮูหยินไปส่งพระชายาก็พอ ท่านไม่ต้องไปส่งด้วย"คำว่า "พระชายา" ทำให้หวังชิงหลูกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางตระหนักว่าตนเองหุนหันพลันแล่นไป ถ้าพี่สะใภ้ต้องการพูดถึงเรื่องของนางจะให้ซ่งซีซีมาถึงที่ได้อย่างไร เกรงว่ามาเพราะการกบฏขององค์หญิงใหญ่นางรู้สึกอึดอัดใจมากและวุานวายใจ จากนั้นไหว้ให้กับซ่งซีซีอย่างขอไปที่ก่อนจะจากไปซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมองหน้ากัน นางเป็นบ้าอะไรอีก?ขณะที่นางจีส่งพวกนางออกไป เสิ่นว่านจือก็ถามว่า "นี่ก็ดึกแล้วทำไมคุณหนูของพวกเจ้ายังอยู่นี่ล่ะ กลับมาพักที่บ้านพ่อแม่เหรอ ทะเลาะกับสามีงั้นเหรอ"ไม่ใช่ว่าเสิ่นว่านจืออยากรู้อยากเห็น เป็นเพราะหวังชิงหลูชอบหาเรื่องจริงๆ เมื่อกี้จู่ๆ ก็พูดอย่างก้าวร้าว บอกว่าเรื่องกับจ้านเป่ยว่าง เห็นๆ อยู่ว่าต้องเกี่ยวข้องกับซีซี นางเลยถามอย่างนั้นนางจีรู้ดีว่าไม่ควรเปิดเผยความอัปลักษณ์ของครอบครัวต่อสาธารณะ แต่พวกนางทุกคนรู้ถึงธาตุแท้ของหวังชิงหลู ดังนั้นจึงอาจพูดตรงๆ ว่า "ต้องมาขายหน้าต่อพระชายาและคุณห
หลายวันต่อมา ผู้คนในจวนองค์หญิงใหญ่ต่างก็ได้รับการสอบสวนแล้ว เซี่ยหลูโม่คิดว่าถึงเวลาที่จะสอบปากคำเซี่ยอวี้นแล้ววันนี้ ซ่งซีซีไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อตามหาท่านหญิงเจียอี้ ส่วนเซี่ยหลูโม่สอบปากคำเซี่ยอวี้น และทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันหลังจากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินเป็นเวลาห้าหกวัน แรกๆ เซี่ยอวี้นยังคงแสร้งทำเป็นบ้า แต่หลังจากตระหนักว่าแผนไม่ได้ผล นาง ก็หยุดเอะอะและดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างใจเย็นอย่างน้อยมองจากภายนอกคือเป็นเช่นนั้นในห้องสอบสวน อาหลานสองคนนั่งหันหลังให้กันเซี่ยอวี้นยังคงสวมชุดธรรมดาในคืนเทศกาลหันอี้ แค่อยู่ในคุกใต้ดินเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เสื้อผ้าก็มีรอยยับ และทรงผมก็หลวม ท่าทางของนางดูไร้ชีวิตชีวา ใต้ตาลึกคล้ำและทรุดตัวลง เมื่อมองดูรูปร่างของนาง ไม่กี่วันมานนี้นางผอมลงมาก ทำให้ผิวหน้าดูหย่อนคล้อย ทำเอานางดูแก่กว่าห้าปีในชั่วพริบตาจู่ๆ นางก็ผอมลงในวัยกลางคน และทำให้ก็ดูใจร้ายมาก โดยเฉพาะนิสัยของนางร้ายกาจอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ใจตรงกับหน้าตาแล้วเซี่ยหลูโม่พูดก่อนว่า "ที่ผ่านมา เจ้าขังพวกอนุภรรยาเหล่านั้นไว้ในคุกใต้ดิน แต่ตอนนี้เจ้าก็มีโอกาสพักอยู่ในคุกด้วย
เซี่ยอวี้นเอียงหัว หยุดหัวเราะ และพูดอย่างจริงจัง "ก็อาจารย์หยู ในจวนของเจ้าทำหน้าที่ติดต่อกับข้ามาโดยตลอดไง เจ้าลืมไปแล้วเหรอ? เจ้าบอกว่าเจ้าไม่สามารถแสดงตนได้ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนคนอื่นมาจับจุดอ่อนได้ ดังนั้นครั้งแรกที่เจ้าบอกข้าว่าเจ้าต้องการก่อกบฏ เรื่องทั้งหมดก็มอบให้อาจารย์หยูมารับผิดชอบ เจ้าไปนำตัวอาจารย์หยูมาสอบสวน ให้ใช้วิธีทรมานสุดๆ เลย เช่นนี้ก็รู้ความจริงแล้วนี่ ใช่แล้ว หลังจากเจ้ากลับมาจากสนามรบ และคนที่รับผิดชอบติดต่อข้านอกจากอาจารย์หยูแล้ว ยังมีซ่งซีซี อาวุธเหล่านั้นก็เป็นนางที่ให้นักรบจากแวดวงการต่อสู้ให้ส่งมามิใช่หรือ จับตัวนาง สอบสวนให้ดีๆ นางก็จะยอมรับแน่ๆ"นางพูดพลางยิ้มกว้าง "แต่ถ้าเจ้าไม่สอบสวนพวกเขาอย่างหนักหน่วงด้วยวิธีรุนแรง งั้นเจ้าก็ทำกับข้าไม่ได้เช่นกัน นั่นเป็นการปฏิบัติที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ข้าชี้แจงว่าเจ้าคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อคดีนี้ได้ เปลี่ยนคนมาทำเถอะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ฝ่าบาทอ่านคำสารภาพของเจ้าแล้วพระองค์จะตัดสินเอง หากพระองค์คิดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนคน งั้นคนที่มาสอบสวน
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า