Share

บทที่ 682

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หวังเชียงออกมาจากกระทรวงโยธาธิการ และรถม้ารออยู่ด้านนอกแล้ว ก่อนขึ้นรถม้าเขาพูดว่า "ไปที่ปลายถนนฉางเล่อก่อน สองวันก่อนฮูหยินบอกว่าอยากกินเกี๊ยวของเหล่าจาง ไปซื้อของดิบกลับไปปรุงเอง"

"เกรงว่าตอนนี้ไม่ได้เปิดร้านนะ" คนขับบอก

แผงขายเกี๊ยวของเหล่าจางนั้นตั้งขึ้นเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เมืองหลวงแคว้นซางก็เจริญรุ่งเรือง ส่วนถนนฉางเล่อและถนนเป่ยอันก็เอิกเกริกมากหลังฟ้ามืด

"ใกล้แล้ว พอถึงที่นั่นค่อยรอสักพักก็ได้" หวังเชียงพูด

คนขับรถม้ายิ้ม "นายคนรองรักฮูหยินสองจริงๆ นะ"

หวังเชียงเอาพัดในมือไปตีหัวของคนขับเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "นางเป็นสตรีที่ดีได้แต่งงานกับข้า มีลูกๆ ให้ข้า ข้าจะไม่ทำดีกับนางได้อย่างไร เจ้าก็เช่นกัน ให้ปฏิบัติต่อหยานเอ๋อร์ให้ดีๆ ด้วย"

คนขับรถม้ายิ้ม "ข้าน้อยรับทราบขอรับ"

คนขับรถม้าเป็นเด็กที่เกิดจากคนรับใช้ที่บ้าน และหยานเอ๋อร์ถูกซื้อมาตั้งแต่นางยังเด็ก สองปีก่อนได้ตัดสินให้พวกเขาแต่งงานกัน หยานเอ๋อร์ตอนนี้รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินรองนางหลาน

เมื่อรถม้ามาถึงสุดถนนฉางเล่อ พ่อค้าแม่ค้าก็เริ่มตั้งแผงขายของทีละร้าน เหล่าจางอายุเยอะแล้วเลยทำอะไรก็ช้าๆ หว
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 683

    เกี๊ยวนึ่งถูกส่งมาอย่างร้อนๆ และมีกลิ่นหอม คุณหนูว่านขอบคุณหวังเชียง "ขอบคุณใต้เท้าหวังที่เมตตานะ ครั้งต่อไปมาซื้อใบชาที่ร้านข้า ข้าจะคิดส่วนลดให้นะ"หวังเชียงมองดูนาง "ส่วนลดเท่าไหร่?"คุณหนูว่านกระพริบตาและถามอย่างฉลาดว่า "ใต้เท้าหวังอยากได้ส่วนลดเท่าไหร่ล่ะ"คุณหนูว่านมีรูปลักษณ์ที่อ่อนหวานและมีเสน่ห์โดยเฉพาะเวลาที่นางกระพริบตาพร้อมรอยยิ้มที่เบ่งบานบนริมฝีปากของนาง ราวกับดอกกล้วยไม้ที่เบ่งบานในตอนกลางคืน เมื่อผู้ชายเห็นนางในสภาพแบบนี้ ต่อให้เป็นสุภาพบุรุษมากแค่ไหน ก็ย่อมรู้สึกหวั่นไหวใจเล็กน้อยแต่หวังเชียงราวกับมองไม่เห็นความงามของนาง และเขาแค่สนใจว่าใบชามีส่วนลดเท่าไร "คุณหนูให้ราคากับใต้เท้าซุนเท่าไรก็ให้ราคานั้นกับข้าด้วยเถอะ"คุณหนูว่านระเบิดเสียงหัวเราะ มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสวยงาม "ไม่ได้สิ บุญคุณที่ใต้เท้ายอมให้ข้ากินเกี๊ยวก่อน ข้าจะตอบแทนอย่างดี หากเจ้ามาด้วยตนเอง ซื้อหนึ่งตาชั่ง แถมให้ครึ่งตาชั่งเป็นอย่างไรบ้าง?"หวังเชียงพูดอย่างมีความสุข "งั้นตกลงตามนี้นะ""ตกลงตามนี้!" คุณหนูว่านยิ้มให้เขา ราวกับกล้วยไม้ในหุบเขา ทั้งเย็นชาและสวยงามตระการตาแต่หวังเชียงมองไปทางอื่นแ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 684

    แน่นอนว่าหวังเชียงจะไม่รู้ว่าคุณหนูว่านคนนั้นมุ่งเป้าที่เขา หากเขาได้ฉลาดเช่นนั้นก็คงไม่ใช่แค่เป็นผู้ช่วยในกระทรวงโยธาธิการแล้วกลับถึงจวน ทุกคนยังไม่ได้กินข้าวกำลังรอเขาอยู่ เขายื่นเกี๊ยวให้คนใช้ เพื่อให้พวกเขาปรุงอย่างโดยเร็ว ให้ทุกคนได้กินคนละชามอย่างร้อนๆนางจีพูดติดตลกว่า "กลับมาช้าขนาดนี้ ที่แท้ไปซื้อเกี๊ยวเหรอ? เจ้ารองเนี่ย ตอนนี้ในสายตาเจ้ามีแต่ภรรยาเท่านั้นแล้ว ไม่มีแม่อีกแล้ว ทำให้แม่ต้องทนหิวเพื่อรอเจ้ากลับมา"หวังเชียงรีบกล่าวขอโทษ และอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมาว่า "เดิมทีก็เร็วกว่านี้ได้ แต่เหล่าจางทำช้ามาก ต่อมาคุณหนูว่านก็มา โดยบอกว่านางหิวแย่ขอร้องให้ข้ายอมให้พวกนางสองคนกินก่อน ก็เลยกลับมาสายหน่อย""คุณหนูว่าน" นางจีจับใจความสำคัญได้ นางรู้จักน้องคนนี้เป็นอย่างดี และมักจะไม่ค่อยสุงสิงกับผู้หญิง ทำไมจู่ๆ มีคุณหนูว่านโผล่มานางถามต่อว่า "คุณหนูว่านคือใครหรือ""คนที่เปิดร้านใบชา ตอนที่ใต้เท้าซุนจัดงานเงี้ยง ก็ให้นางไปส่งใบชา ใต้เท้าซุนแนะนำให้รู้จัก ข้าก็ได้ให้เถี่ยจู่ไปซื้อใบชาที่นั่นด้วย นั่นไง คืออันที่ข้านำกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน"นางหลานตอบว่า "ใบชาพอได้อยู่ แต่ราค

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 685

    นกพิราบของร้านอวี๋นยี่บินไปทั่วสถานที่ แลกเปลี่ยนข้อความอย่างต่อเนื่อง หลังจากบินอยู่หลายๆ วัน พวกมันก็มาถึงเมืองหลวงในตอนเย็นสองวันก่อนเทศกาลหันอี้ หลังจากที่พวกหงเซียวได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ ลงในจดหมายฉบับเดียวและส่งไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋องในตอนเย็นหงเซียวมอบให้แก่เสิ่นว่านจือ แต่เสิ่นว่านจือไม่ได้เปิดซองจดหมาย นางเรียกให้ทุกคนไปที่ห้องอ่านหนังสือโดยตรงและมอบให้กับอาจารย์หยู เพราะเรื่องรชนี้เกี่ยวกับหยูไป๋ งั้นปล่อยให้อาจารย์หยูอ่านก่อนจะดีกว่าหลังจากที่อาจารย์หยูอ่านเสร็จแล้ว เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดออกมา "กล้าดียังไง มันเป็นเรื่องสมรู้ร่วมคิดจริงๆ บุญคุณช่วยชีวิตอะไรกัน ล้วนเป็นแผนการชัดๆ"เซี่ยหลูโม่รับจดหมายมาอ่าน จากนั้นก็พูดคร่าวๆ ว่า "คนที่มาก่อปัญหาคือพวกอันธพาลในท้องถิ่นที่ถูกจ้างไปก่อเรื่อง คนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาคือเจ้าของจวนที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอหยง นั่นก็คือองค์หญิงใหญ่ ทุกครั้งที่องค์หญิงใหญ่ไปที่นั่นก็จะพักที่นั่น ซีซีที่เจ้าเคยให้ตรวจสอบว่าก่อนและหลังเกิดเหตุการณ์ในกลุ่มกายกรรม องค์หญิงใหญ่ได้ไปที่อำเภอหยงหรือไม่ นางไปแล้วจริงๆ คาดว่านางคงดูการแสดงกายกรรมของพวกเขาแล้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 686

    ทางตระกูลฝางไม่มีความคิดเห็นใดๆ องค์หญิงใหญ่เร่งไปแล้วหลายครั้ง สุดท้ายฮูหยินโหวกู้ก็ต้องไปตระกูลฝางด้วยตนเองเมื่อถึงตระกูลฝาง พอถามดูแล้วถึงรู้ว่าที่แท้เจ้าสิบเอ็ดได้ไปที่ซูโจวเพื่อเยี่ยมหวังหวู่จากกลุ่มชีซื่อ บอกว่าหวังหวู่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งเขาและฉีฟาง บุตรบุญธรรมของตระกูลฉีก็ไปที่นั่นแล้วนางลู่แสดงความขอโทษ "ที่จริงแล้วเรื่องนี้ควรจะตกลงกันให้เร็วๆ แต่เจ้าเด็กคนนี้ยืนกรานที่จะไปเยี่ยมสหายของเขา ต้องรอกลับมาค่อยให้คำตอบ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง แต่ข้าชอบใจคุณหนูเซี่ยมากนะ เจ้าก็รู้ ตั้งแต่ที่ข้าเห็นนางในวันนั้น ข้าตาสว่างเลย อยากให้นางเป็นลูกสะใภ้ของข้าเร็วๆ เลย"นางลู่พูดอย่างจริงใจ และบวกกับการแสดงออกในวันนั้นก็ดูท่าชอบใจมากด้วยจริงๆ ฮูหยินโหวกู้เลยเชื่อที่นางพูด "แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่วันนั้นก็เจอหน้ามาแล้ว ตอนกลับมาไม่ได้ถามว่าเขาถูกใจหรือไม่หรือ หากถูกใจ ก็ตกลงเรื่องแต่งงานให้เร็วๆ ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องแต่งงานของนางอีก"ฮูหยินโหวกู้พูดเองเออเองว่า "นอกจากนี้ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ การคลุมถุงชนนี้ ตราบใดที่เขาไม่ขัดแย้งกับเรื่องนี้ เจ้ามาตัดสิน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 687

    เห็นแก่เรื่องนี้ เขาก็เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ บุตรชายนามสกุลกู้ ต่อไปจะต้องเป็นร่วมทุกข์ร่วมสุขกับจวนโหวกู้แน่นอน"ข้าจะกลับไปเตือนพวกเขาสักหน่อย" ฝู้หม่ากู้ตอบองค์หญิงใหญ่ถามว่า "ใกล้เทศกาลหันอี้ ได้เชิญอาจารย์จื้อหยวนหรือยัง?""เชิญแล้ว ครั้งนี้รวมอาจารย์จื้อหยวนด้วย ทั้งหมดมีพระภิกษุผู้มีชื่อเสียงแปดรูป ข้าจะไปรับพวกเขาด้วยตนเองในตอนเช้าตรู่ของวันที่หนึ่ง"องค์หญิงใหญ่ตอบรับอืม แล้วแสดงน้ำใจเป็นพิเศษ "วันนั้นให้แม่เจ้าก็มาด้วยเถอะ แต่ต้องบอกนางว่าต้องอยู่ทั้งคืน ถ้านางทนความยากลำบากนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องมา""ทนได้ ทนได้แน่นอน ท่านเป็นชาวพุทธมาหลายปีแล้วและอยากมาร่วมงานมาโดยตลอด" ฝู้หม่ากู้รีบตอบ พวกฮูหยินที่มาร่วมเทศกาลหันอี้นั้นรวมถึงฮูหยินเสนาบดีมู่ ฮูหยินไทฟู่ คุณนายใหญ่หลี่เป็นต้น ล้วนเป็นคุณนายใหญ่หรือฮูหยินจากตระกูลขุนนาง และสามีหรือลูกหลานของพวกนางต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนักนอกจากนี้ พวกนางมีความเมตตากรุณาและใจดีต่อผู้อื่น หากท่านแม่ได้สนิทกับพวกนาง ต่อไปก็มีผลประโยชน์อย่างมากต่อลูกหลานในจวนโหวกู้ในอนาคต และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจวนองค์หญิงอย่างเดียวองค์หญิงใหญ่ไม่คิ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 688

    รถม้าออกจากเมือง ซ่งจืออันต้องไปเมืองซุยโจว งานที่นั่นเกิดเรื่องนิดหน่อย แม้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ท่านพ่อกำชับให้เขาไปด้วยตนเองเดิมทีเขาอยู่ซุยโจวมาตลอด แต่เนื่องจากภรรยาตั้งครรภ์ เขาจึงส่งนางกลับไปเมืองหลวงเพื่อรอการคลอดบุตร หลังจากจัดการเรื่องในซุยโจวอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็สามารถฝากเรื่องไว้กับหัวหน้าร้าน ที่เขากลับเมืองหลวงก็วางแผนทำธุรกิจอื่นในเมืองหลวงด้วยเขาเป็นพ่อคนมานานแล้ว แต่งงานเมื่ออายุยี่สิบปี และตอนนี้มีบุตรชายสองคน เขาหวังว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกสาวมีคนน้อยมากในครอบครัวที่รับอนุภรรยา และเขาก็ไม่ได้แต่งอนุภรรยา ความสัมพันธ์ระหว่าเขากับภรรยาก็ใกล้ชิดมาก ก่อนหน้านี้ทำธุรกิจอยู่ข้างนอกก็มักจะนำนางไปด้วย ปัจจุบันนี้ธุรกิจค่อยๆ กลับมาอยู่เมืองหลวง งั้นพวกเขาสี่คน...ไม่สิ ห้าคนในครอบครัวนี้ก็จะอยู่ในเมืองหลวงเขาไม่ได้ไปเยี่ยมซีซี แต่ได้ไปเจอรุ่ยเอ๋อร์ในสถาบันการศึกษาแล้ว ครูของเขาเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถาบันด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าไปเยี่ยมชมในสถาบันได้อย่างราบรื่นเหตุผลที่เขาไม่ได้ไปจวนอ๋อง ก็เพราะธุรกิจของเขายังไม่มั่นคงอย่างเป็นทางการ ไท่กงบอกว่าเขาไปควรไปจนกว่าธ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 689

    เขาพยายามดิ้นรน แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยและอ่อนแอราวกับป่วยหนักประตูถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับเสียง "แค่ก" เขารีบหันศีรษะไปมอง และเห็นใครบางคนเดินอ้อมฉากบังตามานางหวีผมเป็นทรงมวยตกหลังม้า(เป็นลักษณะมวยเอียงคล้ายกับคนกำลังตกลงมาและเป็นมวยแกละคล้ายหลังม้า) ประดับด้วยปิ่นระย้า เสื้อคอเหลี่ยมสีขาวมีแถบสีเขียว และเสื้อคลุมผ้าต่วนลายเมฆ นางดูอายุประมาณสี่สิบปี ยังบำรุงหน้าตาเป็นอย่างดี แต่ใบหน้าของนางดูสง่างามและจริงจัง ค่อนข้างจะมีพลังที่น่าเกรงขามของผู้นำมีคนเดินตามข้างหลังนาง และย้ายเก้าอี้ไปข้างเตียง นางค่อยๆ นั่งลงและสบตากับสายตาที่ตกตระหนกและสงสัยของซ่งจืออันด้วยสายตาที่เย็นชา"เจ้า...เจ้าเป็นใคร?" ซ่งจืออันไม่เคยเห็นองค์หญิงใหญ่มาก่อน แต่รู้ดีว่าตัวตนของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนองค์หญิงใหญ่เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขา และใจของนางก็หดหู่ถึงสุดขีด ราวกับว่าไฟที่จุดไว้ถูกราดด้วยน้ำในทันที ดับลงจนไม่มีประกายไฟเหลืออยู่แม้แต่น้อยหน้าตาคล้ายกัน แต่กิริยาท่าทางและความกล้าหาญต่างกันราวฟ้ากับดิน"เจ้ากลัวข้าเหรอ" องค์หญิงใหญ่ถามช้าๆ โดยไม่ได้ปิดบังความรังเกียจในดวงตาของนา

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 690

    เมื่อแม่นมฝางได้ยินว่าให้ขังไว้คุกใต้ดิน นางก็รีบไล่ตามไป "องค์หญิง ท่านเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม?"องค์หญิงใหญ่เพียงรู้สึกหงุดหงิดมาก "ขังไว้ที่คุกใต้ดินไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน""เจ้าค่ะ ท่านอย่าทรงโกรธ เดี๋ยวจะไม่ดีต่อสุขภาพของตนเอง" แม่นมฝางเกลี้ยกล่อม"ไม่มีใครเทียบเขาได้ ถึงเขาจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แต่ถ้าไม่ใช่เขายังไงก็ไม่ใช่เขา เขาไม่สามารถทำให้ข้ารู้สึกหวั่นไหวใจใดๆ เลย มีใบหน้าเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้ามองดูแล้วก็รู้สึกโกรธด้วย"ดวงตาของนางอายแววความกราดเกรี้ยว สาวเท้าเดินกลับห้อง พอนั่งลงแต่ยังคงรู้สึกหงุดหงิดมาก "คนใช้ ไปเอาน้ำกับสบู่มา ข้าจะล้างมือ"สาวใช้ต่างๆ เริ่มทำหน้าที่ของตนเอง นางล้างมือที่สัมผัสกับซ่งจืออันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับทุกครั้งที่นางจุดตะเกียง หลังจากร่วมรักกับฝู้หม่าเสร็จ นางก็ต้องแช่ตัวในถังน้ำร้อนถังแล้วถังเล่า เพื่อชำระล้างความสกปรกที่ทำให้น่าเกียจออกไปแม่นมฝางสั่งให้สาวใช้ออกไป มองดูองค์หญิงใหญ่ที่มีทีท่าบ้าคลั่งนั้น ได้แต่ถอนหายใจ "องค์หญิง ที่ท่านรักซ่งฮวยอันเพราะรักหน้าตาของเขาหรือเปล่า เขาตายแล้วก็คือตายแล้ว แม้ว่ามีคนที่หน้าตาเหมือนเป๊ะนั้น

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1449

    พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1448

    คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1447

    หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1446

    ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1445

    ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1444

    ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1443

    ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1442

    จักรพรรดิ์ซูชิงกลับไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายในครั้งนี้จะลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงในการทดลองสูตรยารักษาใหม่ ทรงมอบหมายกิจการราชการสำคัญให้แก่เสนาบดีใหญ่ ตำรับยารักษาใหม่นี้เป็นผลจากการวิจัยอย่างหนักของหมอหลวงหลายคน ซึ่งใช้การบำบัดด้วยความร้อนเป็นหลัก ร่วมกับการฝังเข็ม และเสริมด้วยยาต้มเพื่อบำรุงร่างกาย ผ่านไปปหลายวัน มีผลดีอยู่บ้าง อาการปวดศีรษะลดลง และไม่ทรงมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน ดังนั้น ในวันนี้ที่เสด็จมาร่วมประชุมราชการ พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากรมฉีแม้จะได้ไปพบอวี้ฉื่อสวี่แล้ว แต่ความคิดของอวี้ฉื่อสวี่กลับไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ เพราะทรงทำตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ และไม่สนใจสถานการณ์สงคราม เป็นการกระทำที่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อคำกล่าวของเจ้ากรมฉีที่ว่า การเลือกพระชายารองให้เป่ยหมิงอ๋องเป็นความคิดของฮองเฮา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ ตามที่เขารู้มา ฮองเฮาเพิ่งถูกปลดจากการกักบริเวณได้ไม่นาน หลังจากได้รับอิ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1441

    ฉีฮองเฮายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ได้? ฮ่องเต้มีงานราชกิจล้นมือ จะมายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ส่วนอวี้ฉื่อสวี่นั่น ข้าจะไปทำให้เขาตายได้อย่างไร?” อวี้ฉื่อสวี่ เป็นพ่อตาขององค์หญิงใหญ่หมินฉิง ฉีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับตระกูลนี้ ฉีฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เป่ยหมิงอ๋องกำลังออกรบ เจ้ากลับไปยุ่งเรื่องหา พระชายารองให้เขา ไหนจะเรื่องที่ฮ่องเต้เคยให้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนเดียวหลายวัน แล้วเสด็จไปเยี่ยมกลางดึก เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เจ้ายังจะสร้างเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้คนเขาคิดมากได้อย่างไร?” “นั่นมันพวกเขาคิดมากไปเองทั้งนั้น เป็นการคาดเดาแบบไม่มีมูล” ฉีฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ฉีฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง “อย่าว่าแต่เรื่องร้อยเรียงที่ผู้คนเขาคาดเดากันเลย แค่ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหรือพูดอะไรออกมา ขุนนางก็ยังตีความกันไปต่างๆ นานา เจ้าจะพูดว่าไม่เกี่ยว แต่แม้แต่ในวังหลัง ฮ่องเต้ทำสีหน้ากับเจ้า เจ้าจะไม่

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status