เขาพยายามดิ้นรน แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยและอ่อนแอราวกับป่วยหนักประตูถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับเสียง "แค่ก" เขารีบหันศีรษะไปมอง และเห็นใครบางคนเดินอ้อมฉากบังตามานางหวีผมเป็นทรงมวยตกหลังม้า(เป็นลักษณะมวยเอียงคล้ายกับคนกำลังตกลงมาและเป็นมวยแกละคล้ายหลังม้า) ประดับด้วยปิ่นระย้า เสื้อคอเหลี่ยมสีขาวมีแถบสีเขียว และเสื้อคลุมผ้าต่วนลายเมฆ นางดูอายุประมาณสี่สิบปี ยังบำรุงหน้าตาเป็นอย่างดี แต่ใบหน้าของนางดูสง่างามและจริงจัง ค่อนข้างจะมีพลังที่น่าเกรงขามของผู้นำมีคนเดินตามข้างหลังนาง และย้ายเก้าอี้ไปข้างเตียง นางค่อยๆ นั่งลงและสบตากับสายตาที่ตกตระหนกและสงสัยของซ่งจืออันด้วยสายตาที่เย็นชา"เจ้า...เจ้าเป็นใคร?" ซ่งจืออันไม่เคยเห็นองค์หญิงใหญ่มาก่อน แต่รู้ดีว่าตัวตนของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนองค์หญิงใหญ่เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขา และใจของนางก็หดหู่ถึงสุดขีด ราวกับว่าไฟที่จุดไว้ถูกราดด้วยน้ำในทันที ดับลงจนไม่มีประกายไฟเหลืออยู่แม้แต่น้อยหน้าตาคล้ายกัน แต่กิริยาท่าทางและความกล้าหาญต่างกันราวฟ้ากับดิน"เจ้ากลัวข้าเหรอ" องค์หญิงใหญ่ถามช้าๆ โดยไม่ได้ปิดบังความรังเกียจในดวงตาของนา
เมื่อแม่นมฝางได้ยินว่าให้ขังไว้คุกใต้ดิน นางก็รีบไล่ตามไป "องค์หญิง ท่านเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม?"องค์หญิงใหญ่เพียงรู้สึกหงุดหงิดมาก "ขังไว้ที่คุกใต้ดินไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน""เจ้าค่ะ ท่านอย่าทรงโกรธ เดี๋ยวจะไม่ดีต่อสุขภาพของตนเอง" แม่นมฝางเกลี้ยกล่อม"ไม่มีใครเทียบเขาได้ ถึงเขาจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แต่ถ้าไม่ใช่เขายังไงก็ไม่ใช่เขา เขาไม่สามารถทำให้ข้ารู้สึกหวั่นไหวใจใดๆ เลย มีใบหน้าเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้ามองดูแล้วก็รู้สึกโกรธด้วย"ดวงตาของนางอายแววความกราดเกรี้ยว สาวเท้าเดินกลับห้อง พอนั่งลงแต่ยังคงรู้สึกหงุดหงิดมาก "คนใช้ ไปเอาน้ำกับสบู่มา ข้าจะล้างมือ"สาวใช้ต่างๆ เริ่มทำหน้าที่ของตนเอง นางล้างมือที่สัมผัสกับซ่งจืออันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับทุกครั้งที่นางจุดตะเกียง หลังจากร่วมรักกับฝู้หม่าเสร็จ นางก็ต้องแช่ตัวในถังน้ำร้อนถังแล้วถังเล่า เพื่อชำระล้างความสกปรกที่ทำให้น่าเกียจออกไปแม่นมฝางสั่งให้สาวใช้ออกไป มองดูองค์หญิงใหญ่ที่มีทีท่าบ้าคลั่งนั้น ได้แต่ถอนหายใจ "องค์หญิง ที่ท่านรักซ่งฮวยอันเพราะรักหน้าตาของเขาหรือเปล่า เขาตายแล้วก็คือตายแล้ว แม้ว่ามีคนที่หน้าตาเหมือนเป๊ะนั้น
บ้านของซ่งจืออันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่า เป็นบ้านพักที่มีทางเข้าสองทางและทางออกสองทางและมีลานบ้านด้วยในวันธรรมดา นางหวง ภรรยาของซ่งจืออันจะมาเยี่ยมแม่สามีหลังอาหารเย็นเพื่อมาทำงานเย็บปักถักร้อยกับแม่สามีด้วย ทำเสื้อผ้าให้ทารกในครรภ์ หรือทำของเล่นให้บุตรชายสองคนของนางด้วยแต่คืนนี้ นางไม่ได้มา แม้กระทั่งไม่ได้ยินเสียงเด็กสองคนเล่นด้วยซ้ำ แม่ซ่งรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย จึงส่งพี่เลี้ยงซือไปตรวจดูสักหน่อย พี่เลี้ยงซือถามดูพอถึงบ้านของนางหวง จากนั้นกานเซียะ สาวใช้ข้างกายของนางหวงพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ฮูหยินน้อยได้ไปทำงานปักที่เรือนฮูหยินแล้วมิใช่หรือ ออกไปตั้งครึ่งชั่วยามแล้ว และพานายน้อยสองคนไปด้วย"พี่เลี้ยงซือแปลกใจ "ไม่เห็นเลย เพราะฮูหยินไม่ได้เจอฮูหยินน้อย เลยสั่งข้ามาถามดู"กานเซียะกล่าวว่า "เป็นไปได้ยังไง ได้ไปแล้วจริงๆ หลังมื้อเย็นได้กลับมาดื่มยาป้องกันทารกในครรภ์เสร็จก็ออกไปแล้ว""นางบอกว่าไปเรือนฮูหยินหรือ?""ใช่ หว่านเซียะก็ได้ตามนางไปด้วยนี่ ก่อนที่ฮูหยินน้อยจะออกไปยังสั่งให้ข้าน้อยทำความสะอาดระเบียง ข้าน้อยจึงไม่ตามนางไปด้วย"พี่เลี้ยงซือบอกว่า "ไม่เห็นเลย หรือว่าได้แวะ
เซี่ยหลูโม่เห็นอาจารย์หยูถือกระดาษใบหนึ่งอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ที่อยู่ของแม่ลูกสามคนนั้นลุงฟูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมไม่ส่งคนเยอะๆ ไปตามหาล่ะ? ดึกขนาดนี้ ต้องหาคนให้ได้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นหากเกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็สายแล้วเขามองไปที่คุณหนู ซ่งซีซียังคงเงียบ เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ลุงฟู ทำตามที่อาจารย์หยูบอก นำคนไปตามหาก็พอ ส่วนทางด้านตระกูลซ่งเจ้าไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่บอกว่าทางจวนอ๋องจะส่งคนไปตามหา หากพรุ่งนี้ยังหาไม่เจอก็ให้เขาไปแจ้งความที่สำนักเขตจิงจ้าว"ขนาดท่านเขยก็พูดเช่นนั้นแล้ว ลุงฟูตอบว่า "ขอรับ จะทำตามที่ท่านอ๋องสั่งขอรับ"ทันทีที่ลุงฟูจากไป เสิ่นว่านจือก็วิ่งเข้ามา นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จในห้อง และได้ยินคนในจวนบอกว่าลุงฟูจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาหา กลัวว่าได้เกิดอะไรขึ้นจึงวิ่งมา"เกิดอะไรขึ้น?" ผมของเสิ่นว่านจือยังไม่แห้งเลย แค่มัดด้วยปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งอาจารย์หยูจับกระดาษในมือและให้กุ้นเอ๋อร์นำคนไปเฝ้าข้างนอก "ข้อความจากสายลับที่เราแอบจัดอยู่ในจวนองค์หญิงใหญ่ โดยบอกว่าคืนนี้ตู้ฉิน หัวหน้าองครักษ์ขององค์หญิงใหญ่พาลูกน้องออกไปสองสามคน ไม่นานเขาก็กลับมาจากประตูด้านข้างและอุ้ม
เสิ่นว่านจือถามว่า "มีแผนที่ของจวนองค์หญิงใหญ่หรือไม่ คุกใต้ดินอยู่ที่ไหน?"เซี่ยหลูโม่ตอบ "จะต้องมีแผนที่อยู่แล้ว จะลงมือในคืนพรุ่งนี้ จะไม่มีแผนที่ได้อย่างไร"จู่ๆ เสิ่นว่านจือก็รู้สึกหงุดหงิดมาก นางกับพวกของหงเซียวเป็นกลุ่มที่สืบข่าวกรองเหล่านี้ แต่กลับไม่ได้ข่าวใหญ่ใดๆ "พวกเจ้าแอบจัดคนให้เข้าไปได้อย่างไร ขนาดมีสายลับที่จวนองค์หญิงใหญ่อย่างเงียบๆ ได้ยังไง? นี่เป็นสถานที่ที่จัดคนเข้าไปได้ยากที่สุดแล้วมั้ง? อีกอย่างทำงานสำคัญด้วย ทำไมจัดอย่างง่ายดาย อีกอย่างมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย"อาจารย์หยูไม่อยากพูดถึงเรื่องทำความสะอาดโถชักโครกด้วย เลยเปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็นว่า "แผนเบื้องต้นคือให้ท่านอ๋องแอบเข้าไป แต่ในเวลานี้ ไม่สามารถจะฝากข้อความไว้ได้ในสถานที่ที่กำหนดให้พวกเขาเห็นเพราะฉะนั้นพวกเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ ต้องพึ่งพาท่านอ๋องแอบเข้าไปด้วยตนเอง ดีที่เรารู้จักการจัดระบบความปลดภัยและแผนลาดตระเวนของจวนองค์หญิง แอบเข้าไปตอนยามไฮ่จะดีที่สุด บัดนี้ก็ใกล้จะยามจือแล้ว พลาดเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ข้าต้องออกเดินทางทันที เปลี่ยนชุดกลางคืนก่อน"เขาหันไปมองซ่งซีซี แล้วพูดอย่าปลอบใ
ซ่งซีซีไม่ตอบนาง "พรุ่งนี้ ข้ากับท่านอ๋องจะออกจากเมือง ช่วยทาสีเล็บให้ข้าที จะได้ไม่ต้องตื่นเช้าในวันพรุ่งนี้""คุณหนู พรุ่งนี้จะไปไหนเหรอ? จะพาข้าน้อยไปด้วยไหม?" เป่าจูถามอย่างมีความสุข"ไม่พาเจ้าไปด้วย" ซ่งซีซีจ้องมองนางอย่างแกล้งๆ "เอาแต่คิดไปเที่ยว"จิ้งซินยังคงมองไปรอบๆ มันแปลกจัง เมื่อกี้ท่านอ๋องและพระชายาได้เข้าไปในห้องด้วยกันชัดๆ ทำไมมีแต่พระชายา แล้วท่านอ๋องล่ะเขาไม่ได้ออกไปทางประตูอย่างแน่นอน ประตูถูกล็อคตลอดเวลา เป็นไปได้ไหมที่เขากระโดดออกไปนอกหน้าต่าง? ทำไมลึกลับจัง?เมื่อนำสีทาเล็บออกมา ทั้งสองคนกำลังจะทำเล็บให้ซ่งซีซีอยู่ กลับได้ยินเสียงของเสิ่นว่านจือดังขึ้น "ซีซี ทำไมต่างหูไข่มุกตงจูที่เจ้าให้ข้าถึงหายไป? อยู่กับเจ้าหรือเปล่า?"เสิ่นว่านจือกล่าวพร้อมกับก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ "ช่วยดูให้หน่อยสิว่ามันอยู่ที่นี่หรือเปล่า"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "เจ้าไม่เคยถอดต่างหูในเรือนของข้าเลย ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? เป็นเพราะเจ้าถอดมันออกแล้ววางไว้ที่ไหนสักแห่งแล้วลืมมันไปหรือเปล่า? ได้เช็คดูอย่างละเอียดแล้วหรือยัง?"เสิ่นว่านจือเปิดกล่งเก็บของและกล่องเก็บเครื่องประ
การค้นหาครั้งใหญ่เช่นนี้ต้องกวนสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าแน่ๆไทเฟยเข้านอนตั้งนานแล้ว และกำลังหลับสนิทอยู่ก็ได้ยินเสียงโวยวายจากข้างนอก จึงถามแม่นมเกาซึ่งนอนห้องเดียวกันให้ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อได้ยินว่ามีคนรับใช้ในจวนขโมยของและขโมยต่างหูไข่มุกตงจูของเสิ่นว่านจือไป นางก็โกรธเล็กน้อย "ค่าแรงและสวัสดิการของจวนอ๋องดีกว่าจวนอื่นๆ ตั้งเยอะ ยังมีคนที่ไม่รู้จักพออีก หากได้จับตัวได้ก็ต้องให้หักมือทิ้งเลย""พระชายามาแล้ว" คนนอกเข้ามารายงานในคืนที่หนาวเย็น สนมฮุ่ยไทเฟยไม่ยอมลุกจากผ้าห่มที่อุ่นๆ และพูดว่า "นางไม่ได้ดูแลสถานการณ์โดยรวมภายนอก มาทำอะไรที่นี่ที่นี่ ข้าก็เข้านอนแล้ว""เสด็จแม่" ซ่งซีซีสาวเท้าเข้ามา นางมาที่นี่ด้วยตนเอง ต่างหูตงจู่จะถูกพบได้จากเตียงของจิ้งซินเท่านั้นในคืนนี้ และจิ้งซินเคยเป็นคนของไทเฟย ดังนั้นนางจึงมาเฝ้าที่นี่ก่อน เมื่อถูกค้นพบแล้วค่อยหารือกับนางว่าต้องจัดการอย่างไร"เจ้ามาที่นี่ทำไม กลางคืนหนาวจัดเช่นนี้ ไม่รู้ใส่เสื้อให้เยอะๆ หน่อยหรือไง" ใบหน้าที่ไม่พอใจของสนมฮุ่ยไทเฟยเปลี่ยนเป็นดีอกดีใจขึ้นมาทันทีหลังจากเห็นซ่งซีซี "มานั่งนี่สิ"ซ่งซีซีไหว้ให้นาง นางรู้ดีว่าเส
ไม่นานหลังจากนั้น จิ้งซินก็ถูกพาเข้ามา ใบหน้าของนางซีดเผือด แม่นมเหลียงนำกล่องไม้ที่พบจากใต้เตียงของนางขึ้นมา และเทสิ่งของทั้งหมดลงในกล่องบนโต๊ะนอกจากต่างหูไข่มุกตงจูแล้ว ยังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีกมากมาย แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันมีราคาไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ยังมีตัวเงินหลายใบอยู่ใต้กล่องไม้อีกด้วย เมื่อเปิดมันออก ล้วนเป็นตัวเงินหนึ่งร้อยตำลึง และยังมีทองคำสองแท่ง แท่งเงินห้าแท่ง เศษเงินอีกมากมายสนมฮุ่ยไทเฟยเบิกตากว้าง นางได้ลุกขึ้นหลังจากสาวใช้ไปชงชาให้แล้ว ตอนนี้เมื่อมองดูสิ่งของบนโต๊ะ นางหยิบปิ่นปักผมทองชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู ปิ่นปักผมนั้นมีอัญมณีฝังอยู่ ผลิตภัณฑ์นี้สนมฮุ่ยไทเฟยคุ้มเคยมาก ล้วนเป็นสิ้นค้าจากร้านจิน ของที่เลียนแบบจากร้านจินจิงจากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาอีกอันหนึ่งแล้วมองดู ฝีมืองานก็คล้ายกันเครื่องประดับดังกล่าวมีสิบกว่าชิ้น รวมถึงตัวเงิน แท่งทองคำ และแท่งเงินพวกนั้น พอคำนวณคร่าวๆ จะรวมกันได้เงินหลายพันตำลึงทีแรกสนมฮุ่ยไทเฟยคิดว่านางขโมยของไป แต่คนในจวนอ๋องมีใครบ้างที่จะใช้เครื่องประดับจากร้านจินล่ะ? แม้ว่าเครื่องประดับของนางในก่อนหน้านี้ก็เอาไปขายหมดแล้ว หลังจากวาดเส
พระอาการของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็ทรงเรียกดูฎีกาทันที พระองค์ทรงไว้วางพระทัยเสนาบดีมู่ แต่ก็มิได้ไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระองค์ทรงหวาดระแวงที่สุดก็คือ หากกองทัพไม่ได้อยู่ที่หนานเจียง และไม่ได้อยู่ที่ซีม่อน เพื่อติดตามโจมตีกองทัพแคว้นซา แต่กลับเป็นว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังนำทัพบุกกลับมายังเมืองหลวง และข่าวทั้งหมดถูกปิดกั้น มิอาจมาถึงพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความเร็วของเซี่ยหลูโม่ ภายในสามเดือน กองทัพของเขาย่อมสามารถกวาดล้างและยึดครองทุกหัวเมืองที่ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงต้องการตรวจสอบฎีกาจากแต่ละแคว้นด้วยพระองค์เอง บัดนี้ซ่งซีซีกลับไปประจำการที่จวนกองกำลังเมืองหลวงแล้วพระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกตัวนางเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร ครานี้มิใช่การสนทนาสัพเพเหระ หากแต่เป็นการไต่ถามว่านางมีข่าวเกี่ยวกับเซี่ยหลูโม่หรือไม่ ซ่งซีซีกราบทูลตามตรงว่านางเองก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรนาง ก็ไม่ทรงพบพิรุธใดๆ แต่ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นเช่นไร ก็ล้วนเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งสิ้น หากกองทัพของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี นั่นหมายความว่ากองทัพ
คืนนั้นหมอมหัศจรรย์ดันแบกหีบยาไปพร้อมกับหงเชวี่ย ออกจากร้านยา ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกับหมอเวรกลางคืนของร้านยาเย่าหวังว่าจะไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของพระชายาอ๋อง รถม้าหยุดที่จวนอ๋อง หมอมหัศจรรย์ตั้นเดินพรวดพราดเข้าไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เมื่อทุกคนทยอยออกมารับหน้า เขามองซ่งซีซีแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบายโทสะใส่นาง กลับหันไปเล่นงานอาจารย์หยูแทน "ใช้ข้าเป็นข้ออ้างอย่างน้อยก็ควรบอกข้าล่วงหน้าสักหน่อย! เกือบทำให้ข้าถูกผู้ตรวจการสวี่จับผิดได้แล้ว!" พอได้ยินท่านผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าหมายถึงเรื่องอะไรอาจารย์หยูรีบขออภัยแล้วถามว่า “ผู้ตรวจการสวี่ถามท่านไปแล้วหรือ?” “เขาป่วย! องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงเชิญข้าไปตรวจอาการให้เขา พอเจอข้าเขาก็ร้องไห้เหมือนเด็ก แล้วคอยถามอยู่นั่นว่าฮ่องเต้ยังมีหนทางรักษาหรือไม่ แรกๆ เขายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นโรคอะไร ข้าฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก!” หมอมหัศจรรย์ดันพูดจบก็ฮึดฮัด “ท่านไม่ได้หลุดพิรุธใช่หรือไม่?” ซ่งซีซีรีบถาม เพราะเรื่องที่ผู้ตรวจการสวี่ตั้งใจจะถวายฎีกาตักเตือนด้วยชีวิตทำให้พวกนางตกใจไม่น้อย เขาเป็นคนที่ยอมให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเสิ่นว่านจือเอ่ยชวนผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไปเดินเล่นในลานกว้างของตึกว่างจิง ไม่ไกลจากตึกว่างจิงมีโรงแสดงศิลปะพื้นบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยนักเล่านิทาน นักแสดงงิ้ว พ่อค้า และร้านขายอาหาร ครึกครื้นครบครันทุกอย่าง ตั้งแต่มาเมืองหลวง เสิ่นว่านจือก็ยุ่งตลอด ไม่เคยมีเวลาว่างไปเดินเที่ยวเล่นเลย ครั้งนี้จึงถือโอกาสแยก ผิงหนานป๋อ ออกไป ให้ซ่งซีซีได้พูดคุยกับจูจิ่นเป็นการส่วนตัว อีกทั้งตนเองก็จะได้ไปเที่ยวเล่นกับเฉินเฉินด้วย เมื่อคนอื่นออกไปแล้วซ่งซีซีกับจูจิ่นก็ลดเสียงให้เบาลง ก่อนหน้านี้ พวกนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญเลย บัดนี้ ย่อมต้องกล่าวถึงบ้างแล้ว แขกที่เฝ้าดูจากภายนอก เมื่อเห็นผิงหนานป๋อและฮูหยินออกไป ต่างพากันเข้าใจว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องจะลงโทษคุณหนูเจ็ดเป็นการส่วนตัว จึงตั้งใจเงี่ยหูฟัง รอชมเรื่องสนุก ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม สองคนนี้คุยกันด้วยเสียงเบาๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ บรรยากาศกลับดูกลมเกลียวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก! เมื่อมีบ่าวไพร่เข้าออกตลอดเวลา ก็มีคนช่างสังเกตจงใจเลิกม่านขึ้นด้านหนึ่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกสามารถมองเ
ซ่งซีซีพร้อมด้วยเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินรออยู่ในเรือนหลันซี เมื่อเด็กในร้านนำผิงหนานป๋อและครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่เดินผ่านสวนเข้ามาถึงด้านหน้าเรือนหลันซีก็ร้องบอก ซ่งซีซีได้รับการพยุงจากเสิ่นว่านจือและเฉินเฉินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ผิงหนานป๋อและภรรยา รวมถึง คุณหนูเจ็ดจูจิ่นรีบคำนับทำความเคารพ ซ่งซีซีแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในนั่งเถอะ” ระหว่างที่ซ่งซีซีกล่าวคำเชื้อเชิญ นางก็ลอบพินิจทั้งสามคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพบเจอผู้คนมามากมาย การสังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางก็พอจะทำให้นางมองเห็นอะไรบางอย่างได้ ผิงหนานป๋อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์ปักลายดอกไม้และวิหคขลิบทองบริเวณคอเสื้อ บริเวณอกมีสร้อยประคำขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ดูเหมือนเป็นผู้มีฐานะดี แต่ก็แฝงกลิ่นอายของความละวางทางโลก ทว่าขณะยืนอยู่ ร่างของเขากลับโน้มเอียงไปทางบุตรสาวโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้าเผยให้เห็นท่าทางประจบประแจงเล็กน้อย ชัดเจนว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ส่วนฮูหยินผิงหนานป๋อสวมเสื้อนอกสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ทำให้ดูสดใสเปล่งประกาย นางเป็นสตรีร่างท้วม ผิวพรรณเปล่
ซ่งซีซีรู้สึกว่าคุณหนูเจ็ดไม่ควรต้องรับคำด่าทอโดยไร้เหตุผล อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจวนป๋อผิงหนานในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม ดังนั้น นางจึงสั่งให้หัวหน้าลู่ส่งเทียบเชิญไปยังจวนป๋อผิงหนาน ขอเชิญทั้งครอบครัวไปตึกว่างจิงเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ขณะเดียวกัน เมื่อส่งเทียบเชิญ นางก็ปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่เชิญไปที่จวนของตนเอง นั่นเพราะเรื่องนี้ต้องการให้มีการชี้แจงความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ การนัดพบกันภายในจวนจึงไม่เหมาะสม ตึกว่างจิงเป็นสถานที่หรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อจวนป๋อผิงหนานและคุณหนูเจ็ดการปล่อยข่าวล่วงหน้า ทำให้บรรดาพ่อค้าและขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านย่อมไม่พลาดโอกาสเฝ้าดูเรื่องนี้ เมื่อมีคนจับตาอยู่มาก ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ภายในเรื่องนี้ยังมีเจตนาชดเชยให้กับคุณหนูเจ็ดตลอดหลายปีที่นางทำการค้า ผู้คนมักดูถูกนางเพียงเพราะเป็นสตรี ถูกเอาเปรียบและถูกกดขี่อยู่เสมอ จวนป๋อผิงหนาน ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่สามารถเป็นเสาหลักได้ เดิมทีตระกูลนี้เคยเป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำจนแท
ฮองเฮาถูกลงโทษให้กักบริเวณอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นไทเฮาที่มีรับสั่งให้กักบริเวณ อีกทั้งยังสั่งถอนข้ารับใช้ในตำหนักของนางไปกว่าครึ่ง คงเหลือเพียงคนสนิทไว้รับใช้ จากนั้นยังทรงเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ ตำหนักฉางชุน ขณะที่ฮองเฮาเฝ้าดูแลจักรพรรดิ์ซูชิงนางได้ยินอู๋ย่วนเจิ้งเอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงประชวรเป็นโรคปอดเรื้อรัง แรกเริ่มนางยังไม่รู้ว่าโรคนี้คืออะไร แต่หลังจากถูกกักบริเวณ นางจึงถามหลานเจี่ยนกูกู เมื่อหลานเจี่ยนกูกูบอกว่านี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต นางก็ทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ประการแรก นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงประชวร ประการที่สอง นางร้องไห้เพราะฮ่องเต้ทรงล้มป่วยด้วยโรคนี้ ก็สมควรต้องกำหนดองค์รัชทายาทแล้ว ทว่ากลับถูกไทเฮากักบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังโง่เขลาไปล่วงเกินซ่งซีซีเพราะความสัมพันธ์ของ รองแม่ทัพซ่ง ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับซ่งรุ่ยเป็นพิเศษ หากนางไม่เคยล่วงเกินซ่งซีซีและให้ซ่งซีซีส่งซ่งรุ่ยเข้ามาวัง เพื่ออยู่เป็นเพื่อน องค์ชายใหญ่ แล้วล่ะก็ฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยในตัวเขามากขึ้น “หลานเจี่ยน ข้าควรทำสิ่งใด? ข้าทำอะไรได้บ้าง?” นางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วก็คิดก
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก
จักรพรรดิ์ซูชิงกลับไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายในครั้งนี้จะลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงในการทดลองสูตรยารักษาใหม่ ทรงมอบหมายกิจการราชการสำคัญให้แก่เสนาบดีใหญ่ ตำรับยารักษาใหม่นี้เป็นผลจากการวิจัยอย่างหนักของหมอหลวงหลายคน ซึ่งใช้การบำบัดด้วยความร้อนเป็นหลัก ร่วมกับการฝังเข็ม และเสริมด้วยยาต้มเพื่อบำรุงร่างกาย ผ่านไปปหลายวัน มีผลดีอยู่บ้าง อาการปวดศีรษะลดลง และไม่ทรงมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน ดังนั้น ในวันนี้ที่เสด็จมาร่วมประชุมราชการ พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากรมฉีแม้จะได้ไปพบอวี้ฉื่อสวี่แล้ว แต่ความคิดของอวี้ฉื่อสวี่กลับไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ เพราะทรงทำตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ และไม่สนใจสถานการณ์สงคราม เป็นการกระทำที่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อคำกล่าวของเจ้ากรมฉีที่ว่า การเลือกพระชายารองให้เป่ยหมิงอ๋องเป็นความคิดของฮองเฮา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ ตามที่เขารู้มา ฮองเฮาเพิ่งถูกปลดจากการกักบริเวณได้ไม่นาน หลังจากได้รับอิ
ฉีฮองเฮายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ได้? ฮ่องเต้มีงานราชกิจล้นมือ จะมายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ส่วนอวี้ฉื่อสวี่นั่น ข้าจะไปทำให้เขาตายได้อย่างไร?” อวี้ฉื่อสวี่ เป็นพ่อตาขององค์หญิงใหญ่หมินฉิง ฉีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับตระกูลนี้ ฉีฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เป่ยหมิงอ๋องกำลังออกรบ เจ้ากลับไปยุ่งเรื่องหา พระชายารองให้เขา ไหนจะเรื่องที่ฮ่องเต้เคยให้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนเดียวหลายวัน แล้วเสด็จไปเยี่ยมกลางดึก เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เจ้ายังจะสร้างเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้คนเขาคิดมากได้อย่างไร?” “นั่นมันพวกเขาคิดมากไปเองทั้งนั้น เป็นการคาดเดาแบบไม่มีมูล” ฉีฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ฉีฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง “อย่าว่าแต่เรื่องร้อยเรียงที่ผู้คนเขาคาดเดากันเลย แค่ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหรือพูดอะไรออกมา ขุนนางก็ยังตีความกันไปต่างๆ นานา เจ้าจะพูดว่าไม่เกี่ยว แต่แม้แต่ในวังหลัง ฮ่องเต้ทำสีหน้ากับเจ้า เจ้าจะไม่