ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงตาพร่ามัว และนางเกือบจะสติแตกแล้ ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย และต้องใช้เวลาสักพักกว่านางจะสงบอารมณ์ลง นางชี้ไปที่สนมฮุ่ยไทเฟย และตัวสั่นอยู่พักหนึ่ง "ข้า...ข้าจะฟ้องให้ไทเฮาทราบแน่นอน สนมฮุ่ยไทเฟยรังแกคนมากเกินไป""ไปฟ้องเลย แม่มด!" สนมฮุ่ยไทเฟยเงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง "ไทเฮาเป็นท่านพี่ของข้า แต่นางเป็นคนมีเหตุผล ถ้านางรู้ว่าครอบครัวของเจ้ารังแกหลานเอ่อร์ ด้วยความโกรธ เกรงว่ายศถาบรรดาศักดิ์ที่ของจวนป๋อก็จะถูกยกเลิกได้น่ะ นับประสาฮูหยินที่มียศ ไปเป็นคนสามัญชนได้เลย"“ยศถาบรรดาศักดิ์ของข้าเจ้ามีสิทธิ์มาตัดสินอะไรกัน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร”ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงรู้สึกหงุดหงิดถึงที่สุด จนนางโยนไม้ค้ำยันออกแล้วยื่นมือออกไปผลัก สนมฮุ่ยไทเฟยก็ทำท่าล้มลงกับพื้นแล้วตะโกนว่า "เจ้ากล้าดียังไงมาลงมือกับข้า คนของจวนป๋อกล้าไม่เคารพผู้มียศมากกว่า กล้าลงมือกับข้า"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนในจวนป๋อต่างก็ตกตะลึง สนมฮุ่ยไทเฟยที่เมื่อกี้ยังดุผู้คนไปเรื่อย ตอนนี้กลายเหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อยที่ถูกรังแก และถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว ซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่ได้ขึ้น
เมื่อทุกคนได้ยินคำแรกที่เขาถามทันทีที่นั่งลง ใจของพวกเขาก็สั่นเทาเฉิงเอินป๋อรีบพูดอขึ้น "ท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ด้วย ไม่มีใครรังแกไทเฟย... "เซี่ยหลูโม่พูดอย่างเย็นชา "เฉิงเอินป๋อหมายความว่าเสด็จแม่ของข้าพูดโกหกและใส่ร้ายพวกเจ้าหรือ?""เปล่า ไม่ได้หมายความอย่างนั้นขอรับ" แม้ว่าเฉิงเอินป๋อจะเป็นขุนนางในราชสำนัก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเป่ยหมิงอ๋องที่แม่ทัพเลือดเย็นนั้น รัศมีของเขาก็อ่อนลงมาก ภายใต้การจ้องมองของดวงตาที่เยือกเย็นของเขา เขาก็รู้สึกขนลุก เสียวสันหลังวาบ "มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดขอรับ""เป่ยหมิงอ๋องต้องการรังแกคนอื่นด้วยอำนาจของตนเองหรือ" ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกลับมามีสติและถามทันทีในที่สุดเหลียงเส้าก็จำได้ว่าตนเองเป็นนักวิชาการ เขาดูถูกเชื้อพระวงศ์ที่ถือตัวมากที่สุด จึงพูดอย่างไม่แยแสว่า "ไทเฟยใช้อำนาจของนางเพื่อรังแกผู้อื่นและเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายในของจวนป๋อของข้า ตอนนี้แม้แต่ท่านอ๋องยังต้องปกป้องอีกด้วย แล้วอยากจะร่วมมือมารังแกจวนป๋อเล็กน้อยของข้าเหรอ?"เซี่ยหลูโม่ไม่แม้แต่จะมองเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมย "พูดมากไป จางต้าจ้วง ตบปาก!"จา
แน่นอนว่าหัวของนางไม่ได้ชนเสาเข้า เพราะมีคนจำนวนมากอยู่ในห้อง และการเคลื่อนไหวของนางก็ช้ามาก มีเวลามากพอให้ลูกหลานของนางดึงนางกลับนางแค่อยากใช้วิธีนี้เพื่อขู่เซี่ยหลูโม่ให้หวาดกลัว และให้ทหารประจำจวนหยุดทุบสิ่งของต่างๆอย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่ยังคงเฉยเมย และทหารประจำจวนก็ไม่ได้หยุดการกระทำ พังทุกสิ่งที่พวกเขามองเห็นได้ สตรีที่ขี้ขลาดบางคนกรีดร้องด้วยความตกใจและวิ่งไปที่สวนหลังบ้านฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงโกรธมากจนตามืดดับไป นางไม่คาดคิดว่าเซี่ยหลูโม่จะหยิ่งผยองขนาดนี้ และไม่กลัวว่านางจะขนเสาจนตายทหารประจำจวนไม่ได้บุกเข้าไปในลานด้านใน ลานด้านในเป็นบริเวณที่บุรุษห้ามเข้า กุ้นเอ๋อร์รู้กฎนี้ ดังนั้นเขาจึงทุบแค่ลานหน้าบ้านและห้องโถงดอกไม้เท่านั้นเฉิงเอินป๋อมองดูฉากนี้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว เขารู้ว่าทำไมเป่ยหมิงอ๋องถึงมีอารมณ์รุนแรงมากในคืนนี้ เพราะท่านหญิงถูกเส้าเอ๋อร์ผลักและทำให้ทารกในครรภ์ตกอยู่ในอันตรายในวันนี้หาใช่ว่าเขาไม่ต้องการลงโทษเขา เพียงแต่ฟันของเขาจนทุบตีจนหลุดไปสองซี่ ซึ่งเป็นฟันซี่ใหญ่อีกด้วย หญิงชรารู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างมากเมื่อเห็ฯเขามีเลือดในปาก เลยไม่ได้ทำลงโ
บางคนจากจวนเฉิงเอินป๋อรีบออกไปดู แต่กลับเห็นสภาพยุ่งเหยิงเลอะเทอะไปหมดไม่ต่างจากห้องโถงใบหน้าของเฉิงเอินป๋อดูสิ้นหวัง เขาก้าวไปข้างหน้าและประสานมือ "ท่านอ๋องหายโกรธแล้วใช่ไหม?"เซี่ยหลูโม่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกแต่ยังคงเงียบ ซ่งซีซีเอ่ยปากพูดว่า "เฉิงเอินป๋อ เจ้ามีความแค้นในใจบ้างไหม"เฉิงเอินป๋อกัดฟันกรามแล้วพูดว่า "ไม่กล้า""ไม่กล้าเหรอ?" สีหน้าของซ่งซีซีดูเฉยเมย "หวังว่าจะไม่กล้าจริงๆ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าข้าสัญญากับเจ้าว่า จวนเฉิงเอินป๋อจะต้องพังทลายลง"เฉิงเอินป๋อเคยเห็นฉากที่นางออกเรือน และรู้ว่าเบื้องหลังของนางไม่ใช่แค่จวนเป่ยหมิงอ๋องเท่านั้น แต่ยังมีคนจากแวดวงการต่อสู้อีกมากมายที่สนับสนุนนาง แม้แต่จวนเฉิงเอินป๋อก็มีสองคนอย่าว่าแต่พังจวนเฉิงเอินป๋อ แม้กระทั่งฆ่าทุกคนในจวนเฉิงเอินป๋อ นางก็สามารถทำได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นวันนี้เขาถือว่าเสียหน้าบรรพบุรุษไปอย่างสิ้นเชิง หากสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้ถูกกระจายออกไป เขาจะไม่มีหน้าไปพบผู้คนได้อีกเขาไม่รู้ว่าจะตอบคำพูดของซ่งซีซีอย่างไร แต่เหลียงเส้ากลับพูดอย่างเคร่งขรึม "ผู้คนที่อาศัยอำนาจไปกดขี่ข่มเหงคนอื่นนั้น จะต้องรับผลที่ตามมาแน
เสิ่นว่านจือเหลือบมองที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีพยักหน้าไปทางนางเล็กน้อยเสิ่นว่านจือยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า "เจ้าหญิงแสดงความสามารถเท่านั้นงั้นหรือ เจ้าสามารถหลอกลวงคนไร้สมองเช่นเหลียงเส้าได้ คิดว่าหลอกลวงพวกเราได้งั้นหรือ"ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป เหลียงเส้าก็เดือดดาลมาก "เจ้ากล้าใส่ร้ายนางหรือ?"เสิ่นว่านจือหัวเราะเยาะ "ใส่ร้ายนางงั้นหรือ ข้าไม่กล้าหรอก เยียนหลิว เจ้าจะบอกทุกคนไหมว่าอันที่จริงเจ้าไม่ได้ชื่อเยียนหลิว เจ้าชื่ออะไรนี่น่ะ ได้ยินมาว่าพ่อของเจ้า ผู้ที่เป็นฝู้หม่าได้ตั้งชื่อไพเราะให้เจ้า ชื่อกู้ชิงหวู่ใช่ไหม แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่เรียกเจ้าเช่นนั้น นางเรียกเจ้าว่านางหวู่ใช่ไหม"ทันทีที่อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ใบหน้าของเยียนหลิวก็ซีดลงแต่เพียงชั่วพริบตาเอง นางก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที "เจ้า...เจ้ากำลังพูดบ้าอะไร?"สีหน้าของเฉิงเอินป๋อและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปทันทีทันใด พวกเขามองดูใบหน้าที่สวยงามและสง่างามของเยียนหลิว นางกลับเป็นบุตรสาวขององค์หญิงใหญ่งั้นหรือแน่นอนว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ได้ให้กำเนิดบุตรสาวชื่อเจียอี้คนเดียว แต่ได้ยินมาว่าองค์หญิงใหญ่ได้แต่
เยียนหลิวยังคงร้องห่มร้องไห้อยู่ ร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ แต่นิ้วของนางกำเสื้อผ้าของเหลียงเส้าไว้แน่น และไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอีกถึงกระนั้น เสียงร้องก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจและความสงสาร"ทุลักทุเล" เซี่ยหลูโม่ยืนขึ้นจับมือของซ่งซีซี และพูดกับสนมฮุ่ยไทเฟยที่ตกตะลึง "เสด็จแม่ กลับกันเถอะ"สนมฮุ่ยไทเฟยระงับความประหลาดใจของนางและยืนขึ้น แต่มองไปที่พระชายาอ๋องฮวยแวบหนึ่ง "เมื่อกี้ข้าเข้าไปหาหลานเอ่อร์แล้ว นางคิดว่าเป็นเจ้ามาเลยดีใจมาก แต่พอเห็นว่ามิใช่เจ้าก็รู้สึกผิดหวังด้วย เป็นแม่คนอ่อนแอเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่บุตรสาวของเจ้าก็อ่อนแอตามเจ้า ที่ข้ามาอาละวาดที่นี่ เจ้าคงรู้แก่ใจว่าข้าทำเพื่อใคร หากยังเป็นแม่คนบ้าง เรื่องในวันนี้ก็อย่าคิดจบง่ายๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะดูถูกเจ้า"ซ่งซีซีพูดอย่างเรียบๆ "เสด็จแม่ ไปกันเถอะ แม่ทุกคนล้วนมีใจเป็นแม่คน คิดว่าเสด็จอาสะใภ้คงรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร""ซีซี!" พระชายาอ๋องฮวยหยุดนางพลางน้ำตาคลอเบ้า "ข้ารู้ว่าที่เจ้ามาวันนี้เพื่อหลานเอ่อร์ แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหม หลังจากพวกเจ้ามาก่อปัญหาเช่นนี้ งั้นชีวิตของนางจะอยู่ในจวนเฉิงเอินป๋อยิ่งลำบากกว่าเดิม""ตอนนี้
พระชายาอ๋องฮวยปิดปากนางแล้วเตือนว่า "อย่าเอ่ยคำว่าหย่าอีก เจ้าเป็นท่านหญิงเจ้ามีเงินเดือนและที่ดินของตนเอง เลี้ยงตัวเองได้ เจ้าไม่ต้องสนใจใครในจวนเฉิงเอินป๋อ ส่วนลูกเขยนั้น แม่เชื่อว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นเป็นบุตรอนุขององค์หญิงใหญ่ ที่นางเข้ามาจวนนี้มีแผนการของตนเอง"หลานเอ่อร์รู้สึกผิดหวังมาก นางไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะใช้วิธีสกปรกแค่ไหน ตราบใดที่เหลียงเส้าเชื่อนาง ก็ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในวันนี้นางสิ้นหวังกับเหลียงเส้าแล้วเมื่อเห็นว่านางนิ่งเงียบ พระชายาอ๋องฮวยก็คิดว่านางเชื่อฟังแล้ว จึงพูดต่อว่า "จงฟังเสด็จแม่นะ เมื่อรอลูกเกิดมา ลูกเขยเห็นแก่เด็กก็จะเปลี่ยนไป แล้วหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่านั้นเห็นเด็กแล้ว นางจะไม่รักเหลนของตนเองได้ไหม พวกเขาจะดีกับเจ้า แค่อดทนไว้ก่อน ทนผ่านเวลานี้ไปทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง""จะว่าไปจริงๆ แล้วเป็นความผิดของหญิงชราคนนั้น พ่อสามีและแม่สามีของเจ้าต่อต้านผู้หญิงต่ำช้าคนนั้นเข้ามา เมื่อวันนี้ที่เสด็จแม่เห็นหน้านาง ไม่แปลกใจที่ลูกเขยจะหลงใหลนางจนหัวปักหัวปำ แม้ว่านางตกอยู่สภาพน่าอนาถ แต่ยังดูมีเสน่
หลังจากที่สองสามีภรรยาอ๋องฮวยจากไป คนรับใช้ของจวนเฉิงเอินป๋อก็จัดเก็บข้าวของนอกจากนี้ เหลียงเส้าและเยียนหลิวถูกให้อยู่ห้องโถงดอกไม้ต่อ และผู้คนในบ้านอื่นก็แยกย้ายกันไปฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็ไม่อยู่ต่อเช่นกัน และถูกเฉิงเอินป๋อสั่งให้ส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับห้องก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับไป นางสั่งเฉิงเอินป๋อห้ามสร้างปัญหากับเหลียงเส้า "ลูกหลานที่เรียนหนังสือมาในจวนของเรามีผู้ใดบ้างที่โดดเด่นอย่างเขา เขาเป็นถ้านฮัวที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ และการถูกไล่ออกจากตำแหน่งก็เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น มีครอบครัวไหนที่ไม่ได้แต่งภรรยาหลายๆ คน ก็แต่พวกคนเจตนาไม่ดีกำลังก่กวนเรื่องเท่านั้น""แม่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เฉิงเอินป๋อไม่ตอบตกลง แต่ให้ฮูหยินช่วยพาฮูหยินผู้เฒ่ากลับเฉิงเอินป๋อมองดูเยียนหลิวที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเหลียงเส้าและยังคงร้องไห้ไม่หยุด เขารู้สึกหงุดหงิดถึงที่สุด "ร้องไห้อะไรนักหนา หากวันนี้เจ้าไม่ยั่วยุท่านหญิง คืนนี้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรือ?"เหลียงเส้ายังคงปกป้องเยียนหลิว และพูดว่า "ท่านพ่อ ท่านจะโทษเยียนเอ๋อร์ได้อย่างไร ท่านคงไม่รู้ว่าคนที่เรือนของท่านหญิงมันโหดร้ายมากแค่ไหน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ