การนินทาอาจารย์ของตนเองกับอาจารย์ของคนอื่น เป็นเรื่องสบายมากซ่งซีซีสะบัดมือขึ้น แล้วให้สาวใช้พวกนางออกไปเฝ้าประตูเสิ่นว่านจือกล้าพูดทุกเรื่อง นางพูดว่า "เราอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว แต่เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง อาจารย์ของเจ้าเป็นคนสั่ง ให้เราอยู่ในโรงเตี้ยมในอำเภอเล็กๆ ที่นอกเมือง ขโมยที่นั่นก็มีไม่น้อย ดีที่เรามีคนต่อศู้เก่งๆ มากมาย ถึงไม่ได้ทำให้สินเดิมหาย"เมื่อสองวันก่อน นั่นก็คือวันเวลาที่ที่ศิษย์พี่ใหญ่จากไป อาจจะออกจากเมืองเพื่อไปพบกับอาจารย์"แต่ อาจารย์ของเจ้าจะพาศิษย์พี่สาวรองของเจ้าเข้าเมืองหลวงทุกวัน มาตั้งแต่เช้ากลับเย็น ไม่รู้ว่าเขาสอบถามข่าวอะไร วันนี้พวกเรารออยู่นอกเมืองตอนเที่ยง เมื่อถึงเวลาสินเดิมของเจ้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว เราก็วิ่งเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว"เสิ่นว่านจือบ่นว่า "ข้าไม่เคยตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ แต่ก็มีความสุขมาก รู้สึกเหมือนคนทั้งเมืองกำลังให้ความสนใจเรา"เฉินเฉินก็รู้สึกตื่นเต้นมาก "ข้าไม่เคยเห็นฉากนี้มาก่อน ว้าว มันครึกครื้นมากจริงๆ นิกายจิ้งฮัวของเราเป็นศิษย์พี่รายงาน เสียงของศิษย์ได้ดังก้องมาก ข้าว่าทุกคนในเมืองหลวงจะได้ยินมันหมดเลย"ซ่
วันนี้ จวนอ๋องคึกคักมากเป็นพิเศษขุนนางต่างๆ ตราบใดที่มีระดับชั้นสี่ขึ้นไป ส่วนมากก็มาแล้ว ส่วนที่ไม่มานั้น หากไม่ได้ไปงานเลี้ยงออกเรือนของจวนป๋อผิงซี ไม่ก็ไปงานเลี้ยงแต่งงานของฝ่ายจ้านเป่ยว่างอย่างไรก็ตาม หัวข้อที่ทุกคนกล่าวถึงมากสุด กลับไม่ใช่ซ่งซีซีผู้เป็นพระชายาท่านอ๋อง กลับเป็นเหรินหยางอวิ๋นนำกลุ่มผู้ต่อสู้จากแวดวงการต่อสู้เพียงหัวข้อเรื่องเหรินหยางอวิ๋นอย่างเดียวก็มากเพียงพอที่ทุกคนแอบกระซิบลับหลังแล้วเหรินหยางอวิ๋นคือใครกัน? ตระกูลเหรินเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลในเมืองหลวงในสมัยก่อน เพียงแต่สุดท้ายพวกเขาก็ถอนตัวออกจากกลุ่มชนชั้นสูง และก่อตั้งสถาบันขึ้น ผู้ที่รู้ความบางคนกล่าวว่าแม้ว่าจะไม่มีผู้นำในแวดวงการต่อสู้ แต่ด้วยสถานะของเหรินหยางอวิ๋นนั้น โดยหลักแล้วก็เท่ากับผู้นำแวดวงการต่อสู้ไม่มีอะไรมากไปกว่าต่อสู้เก่งมีเงินเยอะต่อสู้เก่ง มีทักษการต่อสู้เก่งจนน่าทึ่ง ไม่รู้ว่าบุคคลนี้ได้เจออะไรมา กลับสามารถฝึกฝนทักษการต่อสู้อย่างเหลือเชื่อจริงๆมีเงินเยอะ นี่คงไม่ต้องอธิบาย ทรัพย์สินสมบัติที่ตระกูลเหรินสะสมมาหลายชั่วอายุคน และคาดว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถนับจำนวนเนินเขาแ
หลังจากดื่มไปสักพักแล้ว เหรินหยางอวิ๋นก็นำลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมินออกไปดื่มอวยพรอย่าว่าแต่เหรินหยางอวิ๋น แม้ว่ามีเสิ่นชิงเหอจะอยู่ด้วย เมื่อพวกเขาก็มาดื่มอวยพร แล้วเสนาบดีก็ต้องยืนขึ้นและตอบสนองเดิมทีการแต่งงานครั้งนี้รับประกันโดยหยานไท่ฟู่ ดังนั้นเหรินหยางอวิ๋นจึงเสนอดื่มให้หยานไท่ฟู่สามแก้ว และเขาจะดื่มหมดแก้ว ส่วนหยานไท่ฟู่เพียงจิบสักหน่อยก็พอ ถือว่าให้เกียรติไท่ฟู่มากแล้ว และคำนึกถึงสุขภาพของเขาไม่เหมาะที่ดื่มมากด้วยทันใดนั้นดวงตาของซ่งซีซีก็แดงขึ้นขณะที่นางมองดูผู้คนจากสถาบันว่านซงเหมินยืนขึ้นเพื่อดื่มอวยพรให้แขกต่างๆไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขากำลังสร้างหน้าตาให้นาง แม้ว่าสถานที่จัดงานในวันนี้จะอยู่ที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ทว่าพวกเขาก็ต้องบอกทุกคนว่าสถานที่นี้จะเป็นของนาง ซ่งซีซีจากนี้ไปเช่นกันแม้ว่าการแต่งงานในตระกูลชั้นสูงจะไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าวเช่นนี้ แต่พวกเขาก็มาจากแวดวงการต่อสู้ ใครจะไปถือสาพวกเขาล่ะ? นอกจากนี้ เหรินหยางอวิ๋นก็เกิดมาในครอบครัวชั้นสูงด้วย และยังมีเสิ่นชิงเหออยู่ด้วย ผู้ใดที่ไม่เห็นแก่หน้าเขาบ้าง?ใครกล้าว่าพวกเขาทำผิด?ส่วนองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้
ท่านหญิงเจียอี้หัวเราะอยู่ข้างๆ ว่า "ท่านแม่ ไม่ได้เลยนะ ถ้าซ่งซีซีถามขึ้นมาในภายหลัง และโทษไทเฟย จะไม่... โอ้ อย่าพูดเลย ไทเฟยไม่กล้าหรอก"บอกตรงๆ ว่า แม่ลูกสองคนพวกนางรู้วิธีจัดการสนมฮุ่ยไทเฟย นางอย่างง่ายดาย นาง "ไร้เดียงสา" มากจนน่ากลัว และยิ่งรับมือกับลูกไม้ที่คนอื่นมายั่วยุนางไม่ได้มากที่สุดนางพูดทันที "ก็แค่ไข่มุกตงจูไม่กี่เม็ดนี่เอง หากข้าหยิบแล้ว นางกล้าโกรธจริงๆ หรือ"เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อกี้นางยังกังวลว่า ซ่งซีซีมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง นางที่เป็นแม่สามีจะสร้างอำนาจไม่ได้ แต่พอคำพูดไม่กี่คำในตอนนี้ นางก็ทำได้แล้ว มีความมั่นใจมากด้วยนางออกจากโต๊ะทันที ยกคางขึ้นแล้วพาแม่นมเกาไปที่ห้องโถงด้านข้างในขณะนี้ มีกินเลี้ยงบ้าง ดื่มอวยพรบ้าง คนที่เฝ้าสินเดิมนั้นมีแค่สองสามตน เพราะแขกรับเชิญในจวนต่างเป็นผู้มีอำนาจ ไม่มีใครจะทำต่ำช้าแบบนี้คนที่ดูแลสินเดิมนั้นคือองครักษ์ที่อาจารย์หยูจินจัดให้ เมื่อพวกเขาเห็นสนมฮุ่ยไทเฟยมา ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ดังนั้นจึงโค้งคำนับและปล่อยให้นางเข้าไปสนมฮุ่ยไทเฟยประสานมือไว้ด้านหลัง แล้วเดินไปรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยสินเดิม เป็นเรื่องยากมากที่จะเดินทาง พื้
เขาไม่ได้พูดอะไรเลย วันนี้เป็นวันสำคัญของท่านอ๋อง ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องเลื่อนออกไปแต่อาจารย์หยูก็ถอนหายใจว่า ไทเฟยคิดอะไรอยู่เนี่ย? ทำไมถึงเอาสินเดิมของลูกสะใภ้ให้คนอื่นล่ะ?คนปกติสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้หรือ?ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไม ไทเฟยที่ "ไร้เดียงสา" ขนาดนี้ ถึงให้กำเนิดลูกชายที่ฉลาดอย่างกับท่านอ๋องได้ซ่งซีซีเพียงดื่มอวยพรสักรอบเท่านั้น เซี่ยหลูโม่ก็กลับเรือนหอพร้อมนาง เขาเป็นเจ้าบ่าว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ถูกจะปล่อยเขากลับเร็วขนาดนี้ ดังนั้น เขาจึงต้องออกไปข้างนอกอีกครั้งซ่งซีซีถูกเขาจับมือไปจนสุดทาง และมองดูเขาจากไป ฝ่ามือของตนเองดูเหมือนจะยังคงมีความอบอุ่นของเขาหลงเหลืออยู่ข้างในห้องยังคงมีเตาทำความอุ่นเผาไหม้อยู่ ช่างอบอุ่นเลยอบอุ่นจนถึงหัวใจเลยปรากฎว่าการหวั่นไหวนั้นคือสิ่งที่ตนเองควบคุมไม่ได้ นางอยากควบคุมใจของตนเอง จะได้แต่ดูดายหัวใจของตนเองจมอยู่กับดวงตาที่อ่อนโยนของเซี่ยหลูโม่แม่นมเหลียงเข้ามา ให้พวกเป่าจู ออกไปร่วมกินเลี้ยง คนรับใช้ก็ทานมือ้หนึ่งได้ และอาหารก็มีมากมายหลายอย่าง แต่อยู่ที่ลานหลัง แทนที่อยู่ลานหลักเมื่อกี้พวกเป่าจูติดตามคุณหนูไปดื่มอวยพรมา เด
แม่นมทายาบนมืออีกข้างของนาง ลดคิ้วลง และปกปิดความโศกเศร้าในดวงตาที่ต้องเล่าถึงฮูหยิน "ตอนที่เจ้ากลับมาเพื่อหาคู่ครอง คนที่มาสู่ขอมีเยอะมากมาย พวกผู้ลากมากดี ลูกหลานตนะกูลชั้นสูงไม่รู้ตั้งเท่าไร"ซ่งซีซีพยักหน้า "เรื่องนี้ข้ารู้""อืม แต่มีเรื่องที่ท่านไม่รู้ด้วย นั่นคือตอนนั้นท่านยังไม่ได้กลับมาจากภูเขาเหม่ยชาน" แม่นมเหลียงนวดยาเบาๆ แล้วถอนหายใจ "ตอนนั้น ข่าวที่ท่านโหว... ท่านเสนาบดีกั๋วกงคุณกัวและพวกคุณชายน้อยเสียชีวิตถูกส่งกลับมา แล้วแน้วหน้าจะไม่มีแม่ทัพได้ยังไง ดังนั้นให้เป่ยหมิงอ๋องดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาเพื่อฟื้นฟูเขตหนานเจียง"ซ่งซีซีดึงมือของนางกลับ นวดมือเองพลางลดตาลง และขนตาของนางก็เปื้อนไปด้วยความชื้น "เรื่องพวกนี้ ข้ารู้ทั้งนั้น แม่นมไม่ต้องพูดอีก"วันนี้มาพูดถึงท่านพ่อและพวกพี่ชาย นางจะรู้สึกเศร้ามาก"ฟังแม่นมพูดจบนะ" แม่นมกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ว่ายังไงวันนี้ต้องไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมา "คืนก่อนที่ท่านเป่ยหมิงอ๋องจะนับจำนวนกองทหารและออกเดินทางไปจากเมือง ข้าจำได้ว่ามันเป็นเวลายามไฮ่ ฮูหยินก็พักผ่อนแล้ว เมื่อได้ยินมาว่า เป่ยหมิงอ๋องมาเยี่ยม ฮูหยินก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปพ
หลังจากที่แม่นมเหลียงพูดจบ สาวใช้ก็เดินเข้ามาพร้อมบะหมี่หนึ่งชามเมื่อกี้ซ่งซีซียังรู้สึกหิวเลย แต่เมื่อเวลานี้มองดูบะหมี่กำลังร้อนนั้นกลับไม่อยากอาหารแล้วแม่นมเหลียงพูดเบาๆ "กินเถอะ ฮูหยินที่อยู่สวรรค์คงจะมีความสุขมากเมื่อเห็นท่านแต่งงานกับท่านอ๋อง แม่นมรับประกันกับท่าน"ซ่งซีซีถือชามบะหมี่ น้ำตาไหลลงมาบนแกงบะหมี่ทีละหยด นาง สำลักว่า "มงกุฎเฟิ่งฮวงนี้หนักมากจริงๆ มันหนักมากจนคอของข้าเจ็บ มันเจ็บมากจนข้าอยากจะร้องไห้"แม่นมปาดน้ำตาให้นาง ตนเองพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่เจ้าสาวสามารถร้องไห้สักหน่อยได้ "เด็กโง่เอ๊ย กินบะหมี่ให้เสร็จเร็วๆ เดี๋ยวจะถอดมงกุฎให้ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนนี้ข้างนอกคึกคักมาก ไม่ถึงยามจือท่านอ๋องคงกลับเรือนดอกบ๊วยไม่ได้นะ"ซ่งซีซีกินบะหมี่ไปสองสามคำ สะอื้นเล็กน้อย และเสียงของนางก็นุ่มนวลขึ้นมาก "กริชที่เขาให้ไปอยู่ที่ไหน? ตอนนั้นท่านแม่ไม่ได้ส่งของแทนใจให้เขาเป็นการตอบกลับเหรอ?"“กริชถูกวางไว้ในคลังอาวุธของท่านเสนาบดีกั๋วกง ข้าน้อยได้เก็บไว้ พรุ่งนี้ไปหยิบมาให้ท่านดู แน่นอนว่าฮูหยินมีของแทนใจตอบกลับ” แม่นมเหลียงกล่าวพลางหัวเราะอีกครั้ง "มอบผ้าเช็ดหน้าให้ บอก
เพื่อที่จะแต่งงาน นางทำเสื้อผ้าใหม่มากมายบวกกับของขวัญหมั้นจากจวนเป่ยหมิงอ๋องแล้ว ยังมีผ้าชั้นดีอีกมากมายในกล่องเสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยเสื้อตามฤดูกาล มีเป็นกองเลย หลากสีสันและงานปักอันประณีตขนสุนัขจิ้งจอกและเสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกใส่ไว้ในกล่องต่างหากเมื่อมองดูของขวัญหมั้นและสินเดิมเหล่านั้นแล้ว นางแค่รู้สึกว่ามันเพียงพอให้นางสวมใส่ไปตลอดชีวิตส่วนชุดที่นางใส่ตอนนี้และชุดที่นางเพิ่งเก็บใส่ตู้ก็เป็นชุดที่นางจะใส่ในช่วงนี้ ล้วนเป็นสีสดใส ไม่ดูล้าสมัยนอกจากนี้ นางยังเหมาะกับการสวมชุดสีแดงอีกด้วยโดยเฉพาะตอนนี้ที่นางสวมชุดสีม่วงแดง ไม่ใช่สีม่วงเข้ม แต่เป็นสีม่วงที่มีสีแดงตอนที่ดอกทอบานเต็มที่ สะท้อนผิวของนางให้ดูขาวยิ่งขึ้น เติมเต็มความสวยให้ไฝ่หางตาเสื้อผ้าชั้นนอกมีน้ำหนักเบาและนุ่มเป็นพิเศษ และพื้นผิวผ้าแวววาวเรียบๆเพียงว่านางแต่งตัวน้อยชิ้น แต่ดีที่มีเครื่องทำความร้อน เลยไม่เป็นไรซ่งซีซีรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว เมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ไปจนทำให้จมูกถูกปิดกั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ จมูกของนางก็หายใจได้เลยมีข่าวจากลานหลักว่า ท่านอ๋องเมาแล้ว อาจจะอีกเดี๋ยวก็คงกลับเรือนหอแล้วตอนนี้
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด