เมื่อนางพาเซียนเกอเอ๋อร์มาในวันรุ่งขึ้น นางก็แจ้งว่าเบี้ยหวัดรายปีของกุ้นเอ๋อร์อยู่ที่สามร้อยตำลึงกุ้นเอ๋อร์ชอบเงิน แต่เขารู้ว่าเขาไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย เขาจึงรีบปฏิเสธไปว่า "ไม่ต้อง ปีละหกสิบตำลึงก็ถือว่าเยอะแล้ว สามร้อยตำลึง ข้ารับแล้วไม่สบายใจ"ไม่ว่านางจีจะพูดอย่างไร เขาก็ปฏิเสธที่จะรับเงินสามร้อยตำลึง และยืนกรานรับเพียงหกสิบตำลึงต่อปีก็เพียงพอแล้วนางจีมองไปที่ซ่งซีซีอย่างขอความช่วยเหลือ และหวังว่านางจะช่วยพูดซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "หกสิบตำลึงก็หกสิบตำลึงเถอะ ฟังที่อาจารย์เมิ่งพูด ไม่ว่าจะเป็นหกสิบตำลึงหรือสามร้อยตำลึง คำสอนนั้นก็เหมือนกัน นี่จะช่วยให้เขาไม่ต้องรู้สึกมีภาระมากด้วย"พระชายาเอ่ยปากพูดมาเช่นนี้แล้ว นางจีจึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณอย่างสุดซึ้งไปจะอ่านเขียนก็ดี ฝึกวรยุทธก็ช่าง ขอแค่ให้ได้เรียนรู้ทักษะ ไม่สำคัญว่านางจะใช้เงินไปเท่าไหร่ตราบเท่าที่มันยังอยู่ในขอบเขตที่นางสามารถรับไหว กุ้นเอ๋อร์คิดว่าเงินห้าตำลึงต่อเดือนก็ถือว่าเยอะแล้ว ชาวบ้านทั่วไป ในปีหนึ่งอาจจะใช้เงินไม่ถึงห้าตำลึงด้วยซ้ำยิ่งไปกว่านั้น เขาเพียงแค่ชี้แนะ ไม่ได้สอนอย่างสุดกำลัง เพราะท้ายที่สุดแล้ว
อันที่จริงเซี่ยหลูโม่เองก็ไม่สนใจเรื่องสามีภรรยาของคนอื่น เพียงแต่เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ตอนนี้จึงเผลอพูดออกมาเซียนเกอเอ๋อร์ฝึกฝนเกือบสองชั่วยาม จนจวนจะถึงยามไฮ่แล้วถึงกลับจวน หลังจากฝึกติดต่อกันหลายวัน เขาก็ยังไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ยิ่งไม่รู้สึกว่าการเรียนในตอนนี้มันน่าเบื่อ กระทั่งบางครั้งเขายังท่องตำราไปด้วย ฝึกท่าขี่ม้าไปด้วยบางครั้งเมื่อซ่งซีซีมองไปที่เขา มันช่างยากที่จะจินตนาการจริงๆ ว่าเขาคือบุตรชายของหวังเบียว แต่เมื่อนางคิดว่าเขาเป็นบุตรชายของนางจี นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลในเวลานี้เอง อาจารย์หยูก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบแล้วพูดว่า "ท่านอ๋อง มีรายงานกลับมาแล้ว ยังไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ"เซี่ยหลูโม่ไม่แปลกใจสักนิด เพียงแค่ถามไปว่า "มีคนลอบอารักขาไปหรือไม่?"“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ มียอดฝีมือคอยคุ้มกันไปตลอดทาง ประมือกันสามครั้ง แต่ทางเรากลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย”เซี่ยหลูโม่ถามว่า "เป็นนักรบสิ้นหวังหรือไม่?"“อิงตามรูปแบบการต่อสู้ พวกเขาไม่ใช่นักรบสิ้นหวังพ่ะย่ะค่ะ ล้วนแต่งกายในชุดชาวยุทธ ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าเป็นกระบวนท่านิกายไหน”ซ่งซีซีฟังอยู่ด้านข้าง ในตอนแรกนางฟังไม่เ
ช่วงนี้ เสิ่นว่านจือออกเช้ากลับดึก นางจะออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย ก็ไม่เห็นเงาคนแล้วแต่ทว่า นางจะกลับไปอยู่ที่โรงงานราวหนึ่งชั่วยามทุกวัน โรงงานตอนนี้มีหญิงสาวเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน นั่นคือเฉินชีเหนียง นางถูกไล่ส่งกลับบ้านเกิด พี่ชายฝั่งตระกูลมารดายินยอมจะรับนางกลับไป แต่ทว่าพี่สะใภ้ไม่ยอม นางเองก็ไม่อยากทำให้พี่ชายลำบากใจ จึงให้นางมาทำงานที่โรงงานแทนพวกนางปักถักเย็บร้อยด้วยกัน พูดคุยกันไปด้วย แต่ละคนไม่พูดถึงเรื่องอดีต มีแต่เรื่องในอนาคตเสิ่นว่านจือชอบบรรยากาศเช่นนี้ แถมบางครั้งนางยังหันไปพูดคุยกับหลานเอ่อร์ และยังมีศิษย์พี่ซือโซ ศิษย์พี่หลัวควังอยู่ที่นี่ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางราวกับสนิทสนมกันในบัดดลนางจีเองก็จะมาหาด้วย ตอนที่นางมาวันนี้ได้พบกับเสิ่นว่านจือพอดี จึงได้สนทนาร่วมกับนางไปด้วยเสิ่นว่านจือรู้ว่าเซียนเกอเอ๋อร์กำลังเรียนรู้วิชาวรยุทธ์กับกุ้นเอ๋อร์ จึงได้เอ่ยคำพูดตรงไปตรงมาว่า “เซียนเกอเอ๋อร์ขยันก็จริง ทว่าขาดพรสวรรค์ไปบ้าง แต่เป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการเรียนหนังสือ”นางจีเองก็พูดยิ้มๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ขอให้เรียนรู้ทักษะวรยุทธ
เรื่องของหวังชิงหลู ซ่งซีซีเองก็รู้เช่นกันเพราะนางเองก็อยู่ในที่เกิดเหตุพอดีวันนี้นางได้ซุ่มดูการลาดตระเวนของค่ายลาดตระเวน เพราะการลาดตระเวนเป็นหนึ่งในรายการสอบช่วงนี้ แม้ว่าพฤติกรรมชั่วร้ายก่อนหน้านี้จะถูกแก้ไขแล้ว แต่ก็มีพ่อค้าจำนวนมากนำของมาติดสินบน เพื่อเป็นการเอาใจพวกเขาเหมือนแต่ก่อนเดิมทีนางส่งคนไปเฝ้าดู ทุกคนล้วนบอกไม่ได้รับสินบน เพียงแต่ขาดความกระตือรือร้นไปบ้าง ลาดตระเวนได้ไม่นาน ก็หาร้านชานั่งดื่มชาพูดคุยกัน เช่นนี้ไม่เข้าท่าซ่งซีซีคิดหากจับจุดอ่อนได้คาหนังคาเขา จะได้เชือดไก่ให้ลิงดูได้ง่าย ทว่าไม่คิดว่าจะเจอเรื่องนี้เข้าจนได้นางลาดตระเวนไปถึงร้านขายยาเย่าหวังพอดี จึงเข้าไปขอน้ำดื่มถ้วยหนึ่ง และได้เห็นความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดผ่านม่านสีเขียวอ่อนบริเวณห้องโถงด้านหลังแรกเริ่มนางได้ยินของหวังชิงหลูก่อน คิดในใจว่าไม่อยากเจอหน้าทักทายนาง ดังนั้นถึงได้เลือกนั่งอยู่ข้างหลังห้องโถง คิดว่าหากนางซื้อยาเสร็จแล้ว ก็คงกลับ แต่ไม่คิดว่ายาที่นางจะซื้อคือยาดันเสวี่ย พ่อค้าบอกกับนางว่าไม่มี แต่นางไม่เชื่อขณะนั้น ลู่ซื่อชินเพิ่งกลับถึงร้าน แล้วเจอกับนางพอดี เพื่อทำเหมือนว่าไม่มี
นับได้ว่าภายในจวนป๋อผิงซียุ่งเหยิงไปหมดแล้วอวี้เอ๋อร์ยังเล่าได้ไม่ชัดเจนพอ ต้องรอนางจีกลับมาถามให้เข้าใจ ถึงจะรู้ว่าเรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตมากเพียงใดนางลู่ตบหน้าหวังชิงหลูไปหลายครั้ง นอกจากคนไข้ในร้านขายยาเย่าหวังที่เห็น ก็ยังมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเข้ามาดูแวบหนึ่งหงเอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายหวังชิงหลูยังบอกอีกว่า ได้ยินคนตะโกนประโยคหนึ่งท่ามกลางความวุ่นวายว่า พระชายาอยู่ด้านใน หากก่อความวุ่นวายขึ้นมาจะเป็นการเสียมารยาทนางจีตะลึง จากนั้นก็นึกได้ว่า พระชายาท่านนี้คงจะเป็นซ่งซีซี เพราะนางมักจะไปร้านขายยาเย่าหวังบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นพระชายาพระองค์ใด เรื่องล้วนแพร่ออกไปแล้ว คราวนี้หน้าตาของจวนป๋อผิงซีไม่เหลือแล้วจริงๆนางจีนั่งดื่มชาที่ลานด้านนอกสักพักหนึ่ง ถึงได้เข้าไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินผู้เฒ่าดึงมือนาง ร่ำไห้ พลางเอ่ยว่า “เจ้าว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี คิดหาวิธีปกปิด หรือหาตัวนางลู่ผู้นั้นออกมา นางต้องการสิ่งใด ก็ให้สิ่งนั้น ให้นางออกหน้าชี้แจง บอกว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แบบนี้ถึงจะสงบได้”นางจีได้ยินวาจานี้ ก็รู้ว่า แม้ว่านางจะคับแค้นใจ แต่ก็คิดหาวิธีมากมายเช่นกัน
นางจีต้องการท่าทีเช่นนี้ของนาง แต่เมื่อบรรลุเป้าหมายขึ้นมาจริงๆ ในใจนางก็ไม่สบอารมณ์เช่นกันปกติหญิงชรานับว่ารู้เหตุรู้ผล แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง ใจก็ลำเอียงเป็นอย่างยิ่งวาจาเฉียบขาดที่เอ่ยในยามโมโห เอ่ยแค่ประโยคเดียว ก็สงสารเสียแล้วนางจีรู้สึกเสียใจให้กับตัวเองมากกว่า เพราะเรื่องที่นางต้องเผชิญก็ปวดเศียรเวียนเกล้ามากเช่นกัน เดิมนางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะสามารถช่วยนางได้บ้าง แต่ดูท่าทีที่นางมีต่อหวังชิงหลูในตอนนี้ คิดดูก็รู้แล้วว่า หวังเบียวต้องการแต่งภรรยาซึ่งมีสถานะเท่าเทียม กว่าครึ่งคงให้นางอดทนไว้กับเรื่องของผู้อื่น นางล้วนรู้เหตุรู้ผล มีเพียงเรื่องของบุตรชายและบุตรสาวของตนเองที่ใจกว้างอย่างไร้ขีดจำกัดเดิมเป็นหวังชิงหลูที่โวยวายเกินไปก่อน ตัวนางเองก็บอกแล้วว่าจะไม่สนใจอีก แต่ไม่ว่าจะเอ่ยประโยคนั้นไปกี่ครั้ง สุดท้ายก็ยังต้องสนใจอยู่ดี“มีท่านแม่ตามใจเช่นนี้ ช่างดีเสียจริง”ฮูหยินผู้เฒ่ากุมมือนาง ดวงหน้าเปลี่ยนเป็นมีเมตตาและความรัก “แม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเท่าเทียม ในภายหลังหากเบียวเอ๋อร์กล้ารังแกเจ้า แม่จะไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้นแน่นอน”นางจีหล
จ้านเป่ยว่างตะคอกจ้านเส้าฮวนให้ออกไป แล้วเรียกป้าซุนให้บอกข้ารับใช้ทุกคนถอยออกไป ให้บิดากับพี่ใหญ่อยู่ก็พอระยะนี้จ้านเป่ยว่างดื่มสุราหนักไปหน่อย ทั่วร่างดูแล้วสีหน้าซีดเซียว จอนผอมยาวเหมือนวัชพืชที่เติบโตขึ้นอย่างกำเริบเสิบสานหนวดเคราอาจจะเพิ่งโกนไปเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้ยาวออกมารอบหนึ่งแล้ว สีเขียวครึ้มซึ่งล้อมรอบริมฝีปากซีดขาวหนังลอกนั้น ทำให้คนมองดูแล้วเหมือนปากสุนัขสีดำอาภรณ์ยับย่น ร่างแผ่กลิ่นสุราเป็นระลอกๆ นางจีมองเขา ก็นึกถึงตอนที่เขามาสู่ขอหวังชิงหลูเป็นภรรยา แม้ว่าจะไม่ได้มีจิตใจกระฉับกระเฉง แต่ก็เป็นบุรุษหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่ง ตอนนี้ถึงกับมีสภาพตกอับย่ำแย่เช่นนี้เหมือนบุปผาที่เหี่ยวเฉาก่อนเวลาอันควรดอกหนึ่ง ดวงหน้าซีดเซียว เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวเขานิ่งเงียบ บิดาเขา จ้านจี้จึงเอ่ยก่อน “ป๋อเจวี๋ยฮูหยิน ตอนนี้ข้างนอกแพร่กระจายไปทั่วแล้ว บอกว่าตอนที่หวังชิงหลูอยู่ที่ตระกูลฝางได้ทำความผิดใหญ่หลวง ยามนี้ข่าวลือซุบซิบสับสนวุ่นวาย ไม่อาจสงบสุข แม้ว่าจวนแม่ทัพของข้าจะไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์อะไร แต่ไม่อาจยอมรับสะใภ้ซึ่งเป็นสตรีที่มีศีลธรรมเสื่อมเสียเช่นนี้ได้เช่นกัน”นางจีรู
หลังจากเกิดเรื่อง นางจีก็ไปพบหวังชิงหลูเป็นครั้งแรกนางนอนอยู่บนเตียงและใช้ผ้าห่มผืนบางๆ คลุมหน้า ราวกับว่าไม่อยากเจอใครเลยแม่สามีนำเก้าอี้ไม้จันทน์เข้ามา เพื่อให้นางจีนั่งข้างเตียง ขณะที่คนบนเตียงตัวสั่นเล็กน้อย“เรื่องก็มาถึงตรงนี้แล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ” นางจีพูดตรงประเด็น “หนีไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข ความหมายของแม่คือให้เจ้าไปขอร้องนางลู่ ให้นางชี้แจงแทน ไม่รู้ว่านางจะเห็นด้วยไหม ส่วนจ้านเป่ยว่าง วันนี้ข้าไปที่จวนแม่ทัพ เขาบอกว่าเขารู้เรื่องของเจ้ามานานแล้ว แต่เขาไม่เคยเปิดเผย เขาบอกว่าถ้าเจ้าตกลงที่จะไม่หย่า ก็จะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป แล้วพวกเจ้าก็จะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายืนกรานนั่นก็คือการร่วมทัพ”ผ้าผืนบางถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่บวมแดงอย่างน่าสงสารของหวังชิงหลู ดวงตาของนางบวมเป่งราวกับลูกท้อจากการร้องไห้ รูม่านตายังคงสั่นไหวจนยากที่จะปกปิด “เขาไม่รู้ เขาจะรู้ได้อย่างไร? เขามีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว เขาจะเข้าร่วมกองทัพ”“ไปเป็นพลทหารตัวน้อยเนี่ยน่ะ?” หวังชิงหลูน้ำตาคลอหน่วยอีกรอบ “เช่นนั้นไม่สู้ให้ข้ากลับไป