เมื่อนางพาเซียนเกอเอ๋อร์มาในวันรุ่งขึ้น นางก็แจ้งว่าเบี้ยหวัดรายปีของกุ้นเอ๋อร์อยู่ที่สามร้อยตำลึงกุ้นเอ๋อร์ชอบเงิน แต่เขารู้ว่าเขาไม่คุ้มกับเงินที่จ่าย เขาจึงรีบปฏิเสธไปว่า "ไม่ต้อง ปีละหกสิบตำลึงก็ถือว่าเยอะแล้ว สามร้อยตำลึง ข้ารับแล้วไม่สบายใจ"ไม่ว่านางจีจะพูดอย่างไร เขาก็ปฏิเสธที่จะรับเงินสามร้อยตำลึง และยืนกรานรับเพียงหกสิบตำลึงต่อปีก็เพียงพอแล้วนางจีมองไปที่ซ่งซีซีอย่างขอความช่วยเหลือ และหวังว่านางจะช่วยพูดซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "หกสิบตำลึงก็หกสิบตำลึงเถอะ ฟังที่อาจารย์เมิ่งพูด ไม่ว่าจะเป็นหกสิบตำลึงหรือสามร้อยตำลึง คำสอนนั้นก็เหมือนกัน นี่จะช่วยให้เขาไม่ต้องรู้สึกมีภาระมากด้วย"พระชายาเอ่ยปากพูดมาเช่นนี้แล้ว นางจีจึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณอย่างสุดซึ้งไปจะอ่านเขียนก็ดี ฝึกวรยุทธก็ช่าง ขอแค่ให้ได้เรียนรู้ทักษะ ไม่สำคัญว่านางจะใช้เงินไปเท่าไหร่ตราบเท่าที่มันยังอยู่ในขอบเขตที่นางสามารถรับไหว กุ้นเอ๋อร์คิดว่าเงินห้าตำลึงต่อเดือนก็ถือว่าเยอะแล้ว ชาวบ้านทั่วไป ในปีหนึ่งอาจจะใช้เงินไม่ถึงห้าตำลึงด้วยซ้ำยิ่งไปกว่านั้น เขาเพียงแค่ชี้แนะ ไม่ได้สอนอย่างสุดกำลัง เพราะท้ายที่สุดแล้ว
อันที่จริงเซี่ยหลูโม่เองก็ไม่สนใจเรื่องสามีภรรยาของคนอื่น เพียงแต่เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ตอนนี้จึงเผลอพูดออกมาเซียนเกอเอ๋อร์ฝึกฝนเกือบสองชั่วยาม จนจวนจะถึงยามไฮ่แล้วถึงกลับจวน หลังจากฝึกติดต่อกันหลายวัน เขาก็ยังไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ยิ่งไม่รู้สึกว่าการเรียนในตอนนี้มันน่าเบื่อ กระทั่งบางครั้งเขายังท่องตำราไปด้วย ฝึกท่าขี่ม้าไปด้วยบางครั้งเมื่อซ่งซีซีมองไปที่เขา มันช่างยากที่จะจินตนาการจริงๆ ว่าเขาคือบุตรชายของหวังเบียว แต่เมื่อนางคิดว่าเขาเป็นบุตรชายของนางจี นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลในเวลานี้เอง อาจารย์หยูก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบแล้วพูดว่า "ท่านอ๋อง มีรายงานกลับมาแล้ว ยังไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ"เซี่ยหลูโม่ไม่แปลกใจสักนิด เพียงแค่ถามไปว่า "มีคนลอบอารักขาไปหรือไม่?"“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ มียอดฝีมือคอยคุ้มกันไปตลอดทาง ประมือกันสามครั้ง แต่ทางเรากลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย”เซี่ยหลูโม่ถามว่า "เป็นนักรบสิ้นหวังหรือไม่?"“อิงตามรูปแบบการต่อสู้ พวกเขาไม่ใช่นักรบสิ้นหวังพ่ะย่ะค่ะ ล้วนแต่งกายในชุดชาวยุทธ ตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าเป็นกระบวนท่านิกายไหน”ซ่งซีซีฟังอยู่ด้านข้าง ในตอนแรกนางฟังไม่เ
ช่วงนี้ เสิ่นว่านจือออกเช้ากลับดึก นางจะออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย ก็ไม่เห็นเงาคนแล้วแต่ทว่า นางจะกลับไปอยู่ที่โรงงานราวหนึ่งชั่วยามทุกวัน โรงงานตอนนี้มีหญิงสาวเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน นั่นคือเฉินชีเหนียง นางถูกไล่ส่งกลับบ้านเกิด พี่ชายฝั่งตระกูลมารดายินยอมจะรับนางกลับไป แต่ทว่าพี่สะใภ้ไม่ยอม นางเองก็ไม่อยากทำให้พี่ชายลำบากใจ จึงให้นางมาทำงานที่โรงงานแทนพวกนางปักถักเย็บร้อยด้วยกัน พูดคุยกันไปด้วย แต่ละคนไม่พูดถึงเรื่องอดีต มีแต่เรื่องในอนาคตเสิ่นว่านจือชอบบรรยากาศเช่นนี้ แถมบางครั้งนางยังหันไปพูดคุยกับหลานเอ่อร์ และยังมีศิษย์พี่ซือโซ ศิษย์พี่หลัวควังอยู่ที่นี่ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางราวกับสนิทสนมกันในบัดดลนางจีเองก็จะมาหาด้วย ตอนที่นางมาวันนี้ได้พบกับเสิ่นว่านจือพอดี จึงได้สนทนาร่วมกับนางไปด้วยเสิ่นว่านจือรู้ว่าเซียนเกอเอ๋อร์กำลังเรียนรู้วิชาวรยุทธ์กับกุ้นเอ๋อร์ จึงได้เอ่ยคำพูดตรงไปตรงมาว่า “เซียนเกอเอ๋อร์ขยันก็จริง ทว่าขาดพรสวรรค์ไปบ้าง แต่เป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการเรียนหนังสือ”นางจีเองก็พูดยิ้มๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ขอให้เรียนรู้ทักษะวรยุทธ
เรื่องของหวังชิงหลู ซ่งซีซีเองก็รู้เช่นกันเพราะนางเองก็อยู่ในที่เกิดเหตุพอดีวันนี้นางได้ซุ่มดูการลาดตระเวนของค่ายลาดตระเวน เพราะการลาดตระเวนเป็นหนึ่งในรายการสอบช่วงนี้ แม้ว่าพฤติกรรมชั่วร้ายก่อนหน้านี้จะถูกแก้ไขแล้ว แต่ก็มีพ่อค้าจำนวนมากนำของมาติดสินบน เพื่อเป็นการเอาใจพวกเขาเหมือนแต่ก่อนเดิมทีนางส่งคนไปเฝ้าดู ทุกคนล้วนบอกไม่ได้รับสินบน เพียงแต่ขาดความกระตือรือร้นไปบ้าง ลาดตระเวนได้ไม่นาน ก็หาร้านชานั่งดื่มชาพูดคุยกัน เช่นนี้ไม่เข้าท่าซ่งซีซีคิดหากจับจุดอ่อนได้คาหนังคาเขา จะได้เชือดไก่ให้ลิงดูได้ง่าย ทว่าไม่คิดว่าจะเจอเรื่องนี้เข้าจนได้นางลาดตระเวนไปถึงร้านขายยาเย่าหวังพอดี จึงเข้าไปขอน้ำดื่มถ้วยหนึ่ง และได้เห็นความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดผ่านม่านสีเขียวอ่อนบริเวณห้องโถงด้านหลังแรกเริ่มนางได้ยินของหวังชิงหลูก่อน คิดในใจว่าไม่อยากเจอหน้าทักทายนาง ดังนั้นถึงได้เลือกนั่งอยู่ข้างหลังห้องโถง คิดว่าหากนางซื้อยาเสร็จแล้ว ก็คงกลับ แต่ไม่คิดว่ายาที่นางจะซื้อคือยาดันเสวี่ย พ่อค้าบอกกับนางว่าไม่มี แต่นางไม่เชื่อขณะนั้น ลู่ซื่อชินเพิ่งกลับถึงร้าน แล้วเจอกับนางพอดี เพื่อทำเหมือนว่าไม่มี
นับได้ว่าภายในจวนป๋อผิงซียุ่งเหยิงไปหมดแล้วอวี้เอ๋อร์ยังเล่าได้ไม่ชัดเจนพอ ต้องรอนางจีกลับมาถามให้เข้าใจ ถึงจะรู้ว่าเรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตมากเพียงใดนางลู่ตบหน้าหวังชิงหลูไปหลายครั้ง นอกจากคนไข้ในร้านขายยาเย่าหวังที่เห็น ก็ยังมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเข้ามาดูแวบหนึ่งหงเอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายหวังชิงหลูยังบอกอีกว่า ได้ยินคนตะโกนประโยคหนึ่งท่ามกลางความวุ่นวายว่า พระชายาอยู่ด้านใน หากก่อความวุ่นวายขึ้นมาจะเป็นการเสียมารยาทนางจีตะลึง จากนั้นก็นึกได้ว่า พระชายาท่านนี้คงจะเป็นซ่งซีซี เพราะนางมักจะไปร้านขายยาเย่าหวังบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นพระชายาพระองค์ใด เรื่องล้วนแพร่ออกไปแล้ว คราวนี้หน้าตาของจวนป๋อผิงซีไม่เหลือแล้วจริงๆนางจีนั่งดื่มชาที่ลานด้านนอกสักพักหนึ่ง ถึงได้เข้าไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าฮูหยินผู้เฒ่าดึงมือนาง ร่ำไห้ พลางเอ่ยว่า “เจ้าว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี คิดหาวิธีปกปิด หรือหาตัวนางลู่ผู้นั้นออกมา นางต้องการสิ่งใด ก็ให้สิ่งนั้น ให้นางออกหน้าชี้แจง บอกว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แบบนี้ถึงจะสงบได้”นางจีได้ยินวาจานี้ ก็รู้ว่า แม้ว่านางจะคับแค้นใจ แต่ก็คิดหาวิธีมากมายเช่นกัน
นางจีต้องการท่าทีเช่นนี้ของนาง แต่เมื่อบรรลุเป้าหมายขึ้นมาจริงๆ ในใจนางก็ไม่สบอารมณ์เช่นกันปกติหญิงชรานับว่ารู้เหตุรู้ผล แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง ใจก็ลำเอียงเป็นอย่างยิ่งวาจาเฉียบขาดที่เอ่ยในยามโมโห เอ่ยแค่ประโยคเดียว ก็สงสารเสียแล้วนางจีรู้สึกเสียใจให้กับตัวเองมากกว่า เพราะเรื่องที่นางต้องเผชิญก็ปวดเศียรเวียนเกล้ามากเช่นกัน เดิมนางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจะสามารถช่วยนางได้บ้าง แต่ดูท่าทีที่นางมีต่อหวังชิงหลูในตอนนี้ คิดดูก็รู้แล้วว่า หวังเบียวต้องการแต่งภรรยาซึ่งมีสถานะเท่าเทียม กว่าครึ่งคงให้นางอดทนไว้กับเรื่องของผู้อื่น นางล้วนรู้เหตุรู้ผล มีเพียงเรื่องของบุตรชายและบุตรสาวของตนเองที่ใจกว้างอย่างไร้ขีดจำกัดเดิมเป็นหวังชิงหลูที่โวยวายเกินไปก่อน ตัวนางเองก็บอกแล้วว่าจะไม่สนใจอีก แต่ไม่ว่าจะเอ่ยประโยคนั้นไปกี่ครั้ง สุดท้ายก็ยังต้องสนใจอยู่ดี“มีท่านแม่ตามใจเช่นนี้ ช่างดีเสียจริง”ฮูหยินผู้เฒ่ากุมมือนาง ดวงหน้าเปลี่ยนเป็นมีเมตตาและความรัก “แม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเท่าเทียม ในภายหลังหากเบียวเอ๋อร์กล้ารังแกเจ้า แม่จะไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้นแน่นอน”นางจีหล
จ้านเป่ยว่างตะคอกจ้านเส้าฮวนให้ออกไป แล้วเรียกป้าซุนให้บอกข้ารับใช้ทุกคนถอยออกไป ให้บิดากับพี่ใหญ่อยู่ก็พอระยะนี้จ้านเป่ยว่างดื่มสุราหนักไปหน่อย ทั่วร่างดูแล้วสีหน้าซีดเซียว จอนผอมยาวเหมือนวัชพืชที่เติบโตขึ้นอย่างกำเริบเสิบสานหนวดเคราอาจจะเพิ่งโกนไปเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้ยาวออกมารอบหนึ่งแล้ว สีเขียวครึ้มซึ่งล้อมรอบริมฝีปากซีดขาวหนังลอกนั้น ทำให้คนมองดูแล้วเหมือนปากสุนัขสีดำอาภรณ์ยับย่น ร่างแผ่กลิ่นสุราเป็นระลอกๆ นางจีมองเขา ก็นึกถึงตอนที่เขามาสู่ขอหวังชิงหลูเป็นภรรยา แม้ว่าจะไม่ได้มีจิตใจกระฉับกระเฉง แต่ก็เป็นบุรุษหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่ง ตอนนี้ถึงกับมีสภาพตกอับย่ำแย่เช่นนี้เหมือนบุปผาที่เหี่ยวเฉาก่อนเวลาอันควรดอกหนึ่ง ดวงหน้าซีดเซียว เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวเขานิ่งเงียบ บิดาเขา จ้านจี้จึงเอ่ยก่อน “ป๋อเจวี๋ยฮูหยิน ตอนนี้ข้างนอกแพร่กระจายไปทั่วแล้ว บอกว่าตอนที่หวังชิงหลูอยู่ที่ตระกูลฝางได้ทำความผิดใหญ่หลวง ยามนี้ข่าวลือซุบซิบสับสนวุ่นวาย ไม่อาจสงบสุข แม้ว่าจวนแม่ทัพของข้าจะไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์อะไร แต่ไม่อาจยอมรับสะใภ้ซึ่งเป็นสตรีที่มีศีลธรรมเสื่อมเสียเช่นนี้ได้เช่นกัน”นางจีรู
หลังจากเกิดเรื่อง นางจีก็ไปพบหวังชิงหลูเป็นครั้งแรกนางนอนอยู่บนเตียงและใช้ผ้าห่มผืนบางๆ คลุมหน้า ราวกับว่าไม่อยากเจอใครเลยแม่สามีนำเก้าอี้ไม้จันทน์เข้ามา เพื่อให้นางจีนั่งข้างเตียง ขณะที่คนบนเตียงตัวสั่นเล็กน้อย“เรื่องก็มาถึงตรงนี้แล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ” นางจีพูดตรงประเด็น “หนีไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข ความหมายของแม่คือให้เจ้าไปขอร้องนางลู่ ให้นางชี้แจงแทน ไม่รู้ว่านางจะเห็นด้วยไหม ส่วนจ้านเป่ยว่าง วันนี้ข้าไปที่จวนแม่ทัพ เขาบอกว่าเขารู้เรื่องของเจ้ามานานแล้ว แต่เขาไม่เคยเปิดเผย เขาบอกว่าถ้าเจ้าตกลงที่จะไม่หย่า ก็จะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป แล้วพวกเจ้าก็จะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายืนกรานนั่นก็คือการร่วมทัพ”ผ้าผืนบางถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่บวมแดงอย่างน่าสงสารของหวังชิงหลู ดวงตาของนางบวมเป่งราวกับลูกท้อจากการร้องไห้ รูม่านตายังคงสั่นไหวจนยากที่จะปกปิด “เขาไม่รู้ เขาจะรู้ได้อย่างไร? เขามีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว เขาจะเข้าร่วมกองทัพ”“ไปเป็นพลทหารตัวน้อยเนี่ยน่ะ?” หวังชิงหลูน้ำตาคลอหน่วยอีกรอบ “เช่นนั้นไม่สู้ให้ข้ากลับไป
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป